ศูนย์บัญชาการกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงเวลานี้กำลังมีผู้คนไม่น้อยจัดเก็บสิ่งของของตนเองด้วยสีหน้าหม่นหมอง พวกเขาต้องย้ายออกจากที่นี่ให้หมดก่อนบ่ายสองวันนี้
จากกฎการดวลของโรงเรียนทหาร ถ้าหากกลุ่มหุ่นรบระดับต่ำกว่าโค่นล้มได้สำเร็จในการประลอง สวัสดิการทั้งหมดของกลุ่มหุ่นรบระดับสูงจะส่งต่อให้กับกลุ่มที่ได้รับชัยชนะ ดังนั้น ศูนย์บัญชาการกลุ่มหุ่นรบที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดของโรงเรียนซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งนี้ก็จะไม่ใช่ของกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นศูนย์บัญชาการของกลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนอย่างเป็นทางการ
ช่วงเวลาที่ให้กลุ่มหุ่นรบเหลยถิงเก็บของมีแค่สามวันเท่านั้น และวันนี้ก็คือวันที่สามนั่นเอง
ไม่นาน เวลาก็ใกล้จะถึงบ่ายสองโมงแล้ว สมาชิกกลุ่มไม่น้อยที่เก็บของเสร็จแล้วกำลังเตรียมตัวจากไป สมาชิกกลุ่มเหลยถิงหนึ่งในนั้นแบกของตัวเองขึ้นมา มองไปรอบๆ สถานที่ที่อยู่มานานหลายปีนี้ ดวงหน้าเผยสีหน้าหดหู่ใจ ถอนหายใจกล่าวว่า “ไม่นึกเลยว่า มีวันที่พวกเราจากที่นี่อย่างโศกเศร้าด้วย ฉันคิดมาตลอดว่า ที่นี่จะเป็นสถานที่เติบโตของพวกเราจนกว่าจะจบจากโรงเรียน”
เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของเขาก็อดเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นไม่ได้ “ใช่ ต้องรู้นะว่า หลายปีมานี้เหลยถิงของเราเป็นกลุ่มหุ่นรบที่แข็งแกร่งที่สุดของโรงเรียนมาตลอด ดูแคลนคนอื่นๆ… น่าเสียดายที่พวกเราดันแพ้ในสถานการณ์ที่ไม่อาจแพ้มากที่สุด การตัดสินใจของหัวหน้ากลุ่มคราวนี้…” กล่าวถึงตรงนี้ เขาพลันหุบปากและส่ายหน้าเท่านั้น ความจริงแล้ว เขาไม่พอใจการวางแผนตัดสินใจของหัวหน้ากลุ่มในครั้งนี้มาก คิดว่าหัวหน้ากลุ่มเฉียวถิงมั่นใจในตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตามากเกินไป ถ้าหากกลุ่มหุ่นรบเฉียวถิงส่งหัวกะทิออกมาทั้งหมด เหลยถิงของพวกเขาจะพ่ายแพ้อีกได้อย่างไร? เช่นนั้นวันนี้พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องออกจากศูนย์บัญชาการอย่างน่าเศร้าใจแบบนี้ด้วย
“ครั้งนี้หัวหน้ากลุ่มบุ่มบ่ามนิดหน่อยจริงๆ” สมาชิกกลุ่มที่อยู่ด้านข้างได้ยินทั้งสองคนสนทนากันก็อดเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งไม่ได้ ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเฉียวถิงคือผู้ควบคุมไพ่ราชาเพียงหนึ่งเดียวของโรงเรียน มีบารมีสูงสุดในกลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนละก็ บางทีการพ่ายแพ้ในครั้งนี้เพียงพอที่จะทำให้ลูกน้องบีบให้สละตำแหน่งแล้ว
“ชู่ เลิกพูดได้แล้ว คนของหลิงเทียนมาแล้ว” สมาชิกกลุ่มที่ออกไปด้วยกันเห็นว่ามีคนเข้ามาจากหน้าประตูใหญ่ ก็เอ่ยปากเตือนทุกคนให้ระวังคำพูด
คำเตือนของเขาทำให้ทุกคนเก็บเสียงทันที สายของทุกคนทอดมองไปทางประตูใหญ่ จับจ้องไปที่ตัวกลุ่มเด็กหนุ่มซึ่งตอนนี้กำลังก้าวเท้าเข้ามาในห้องโถง
พวกเขามีประมาณสิบห้าสิบหกคน ใบหน้าของคนส่วนใหญ่ต่างเผยรอยยิ้มตื่นเต้น เห็นได้ว่าก้าวเดียวทะยานสู่สวรรค์กลายเป็นกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของโรงเรียนทหารทำให้เด็กหนุ่มเลือดร้อนกลุ่มนี้ดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง ตื่นเต้นนิดหน่อย เด็กหนุ่มมากกว่าครึ่งที่อ่อนวัยไม่ประสีประสาอยู่บ้างยังไม่ได้เรียนรู้ว่าจะปิดบังความรู้สึกของตัวเองอย่างไร รอยยิ้มสว่างไสวเหล่านี้ดูเสียดแทงตานิดหน่อยจริงๆ ทำให้แววตาของสมาชิกกลุ่มเหลยถิงไม่น้อยที่ยังไม่ได้ออกจากศูนย์บัญชาการจ้องมองอย่างอาฆาตมาดร้ายขึ้นมาทันที
“เหอะ คางคกขึ้นวอจริงๆ หวังว่าเดือนหน้าพวกเขาจะไม่ออกจากที่นี่ไปอย่างน่าอับอายล่ะ” ยามนี้สมาชิกกลุ่มเหลยถิงคนหนึ่งที่เจ้าอารมณ์อดแค่นหัวเราะเสียงต่ำขึ้นมาไม่ได้
โรงเรียนทหารตั้งกฎเอาไว้ว่า ทุกปีกลุ่มหุ่นรบแต่ละกลุ่มหุ่นรบจะมีโอกาสท้าประลองกับกลุ่มหุ่นรบอื่นหนึ่งครั้ง และไม่ว่ากลุ่มหุ่นรบใดก็ถูกท้าประลองได้เพียงหนึ่งครั้งต่อเดือนเท่านั้น ปีนี้ เหลยถิงไม่มีโอกาสล้างแค้นซ้ำแล้ว แต่บรรดาสมาชิกกลุ่มเหลยถิงเชื่อว่า กลุ่มอำนาจอื่นๆ ในโรงเรียนไม่มีทางปล่อยโอกาสได้เป็นกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน หนึ่งเดือนให้หลังย่อมต้องมีกลุ่มหุ่นรบอื่นท้าประลองกับหลิงเทียน ไม่รู้ว่าเป็นเทียนจี อู๋จี๋ หรือโดฮาซึ่งเป็นสามกลุ่มหุ่นรบที่เหลืออยู่จากในสี่กลุ่มอำนาจใหญ่ ใครจะท้าประลองหลิงเทียนเป็นคนแรกกันนะ
“บางทีพวกเขาอาจจะสร้างสถิติรักษาช่วงเวลาเป็นกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งที่สั้นที่สุดก็ได้” สมาชิกกลุ่มเหลยถิงอีกคนเยาะหยันทันที คำพูดของเขาทำให้มุมปากของพวกสมาชิกกลุ่มเหลยถิงไม่น้อยเผยรอยยิ้มหยันสบประมาทและยินดีในความโชคร้ายของคนอื่น พวกเขาลืมไปแล้วว่า คนที่ดึงพวกเขาลงจากแท่นบูชาคือกลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนที่พวกเขาดูหมิ่นนี่เอง
พวกเด็กหนุ่มตรงหน้าประตูไม่สนใจแววตาอาฆาตที่อยู่ข้างๆ เหล่านี้เลย แม้พวกเขาจะตื่นเต้นมาก แววตาเต็มเปี่ยมไป ด้วยความปรารถนาอยากเข้ามาสำรวจศูนย์บัญชาการ ทว่าพวกเขาไม่ได้รุดหน้าเข้ามาต่อ หากแต่หยุดตรงหน้าประตูหลัก คอยหันหน้ามองกลับไป ราวกับกำลังรอใครบางคนอยู่
คนที่สะดุดตามากที่สุดคือเด็กหนุ่มที่งดงามอย่างหาใครเทียมผู้หนึ่ง ทุกรอยยิ้มทุกท่วงท่าไม่มีสิ่งใดไม่ล่อลวงวิญญาณผู้คนเลย แม้คนของเหลยถิงเห็นคนของหลิงเทียนเป็นอริมาก แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพวกเขาโดนเด็กหนุ่มคนนั้นสะกดจนเคลิบเคลิ้มแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะรู้ว่าคนที่เข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้เป็นผู้ชายทั้งนั้นละก็ คงมีผู้คนไม่น้อยสงสัยว่าหมอนี่เป็นผู้หญิงปลอมตัวมาหรือเปล่าแน่นอน ถึงแม้หน้าอกจะแบนราบมาก ทว่าในสังคมที่ทุกคนในชาติล้วนเป็นทหารนี้ องค์หญิงนมแบนเช่นนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยจริงๆ
ทันใดนั้นเอง รอยยิ้มจางๆ แต่เดิมของเด็กหนุ่มรูปงามคนนั้นพลันเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง พราวพร่างเสียจนทำเอาคนเคลิบเคลิ้มตาพร่า ทุกคนในที่นี่ตกอยู่ในภวังค์ทันที…
“ลูกพี่!” เสียงที่อบอุ่นควบคู่กับรอยยิ้มอบอุ่นทำให้คนของเหลยถิงไม่น้อยอยากให้เสียงนี้ขานชื่อของตัวเองเหลือเกิน
ทว่าไม่นาน ทุกคนต่างสะดุ้งตื่นอย่างหนาวเหน็บ เด็กหนุ่มที่เคร่งขรึมเย็นชาคนหนึ่งก้าวเท้าผ่านประตูใหญ่ของกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งเข้ามาในห้องโถงท่ามกลางสายตาเคารพนับถือของพวกเด็กหนุ่ม เมื่อเขาเข้ามา อุณหภูมิทั่วทั้งห้องโถงคล้ายกับลดฮวบไปถึงจุดเยือกแข็งทันที
“ลูกพี่!” เหล่าเด็กหนุ่มจากหลิงเทียนเห็นเด็กหนุ่มที่เคร่งขรึมเย็นชาผู้นี้ก็ร้องเรียกเป็นเสียงเดียวกันด้วยสีหน้าเคารพโดยพลัน
เด็กหนุ่มที่เคร่งขรึมเย็นชากวาดสายตาเย็นเยียบมองพวกเขารอบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ทีหนึ่งเป็นการตอบรับ การกระทำนี้ดูขอไปทีอยู่บ้าง แต่พวกเด็กหนุ่มกลับไม่รู้สึกเช่นนี้ ตรงกันข้าม สีหน้าที่เดิมทีสงบเสงี่ยมพลันผ่อนคลายลงมากเพราะการกระทำนี้
นี่ถึงเป็นสีหน้าและการกระทำที่ลูกพี่ของพวกเขาควรมี ถ้าหากเปลี่ยนสีหน้าหรือท่าทางละก็ บางทีพวกเขาอาจจะตกใจกลัวว่าตัวเองทำเรื่องผิดพลาดอะไรไปจนลูกพี่ของเขากำลังจะเตรียมตัวเก็บพวกเขาแล้วหรือเปล่า
พวกสมาชิกกลุ่มหลิงเทียนที่ตอนแรกจ้องมองเด็กหนุ่มจากหลิงเทียนกลุ่มนี้ด้วยความดูแคลน พอเห็นคนผู้นี้เข้ามาก็เก็บรอยยิ้มหยันบนใบหน้าทันที พวกเขาย่อมไม่ลืมว่า หมอนี่เป็นคนโค่นราชันสายฟ้าของพวกเขาลงจากบัลลังก์
ถูกต้อง เด็กหนุ่มที่เคร่งขรึมเย็นชาผู้นี้ก็คือหลิงหลานตัวเอกของพวกเรานี่เอง วันนี้เธอมาที่นี่เพื่อรับศูนย์บัญชาการของกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่ง เมื่อรับที่นี่ไปแล้วก็หมายความว่ากลุ่มหุ่นรบหลิงหลานกลายเป็นกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าหากต้องการนั่งตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย จากนี้ไปอีกหลายเดือน พวกเขาต้องรับการเวียนท้าประลองจากกลุ่มอำนาจอื่นๆ ของโรงเรียนทหาร ทว่าสิ่งที่หลิงหลานไม่หวาดกลัวมากที่สุดก็คือการท้าประลองนี่แหละ
ด้านหลังหลิงหลานยังมีคนตามมาด้วยสามคน พวกเขาก็คือหัวหน้ากลุ่มอีกสามคนของกลุ่มหุ่นรบหลิงเทียน ฉีหลง อู่จย่ง และหลี่อิงเจี๋ย
อู่จย่งเดินตามหลังหลิงหลานเข้าไปในห้องโถง เขากวาดตามองห้องโถงรอบหนึ่ง เมื่อไม่เห็นเป้าหมาย เขาก็รีบเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวไปที่ข้างกายหลิงหลาน เอ่ยพลางหัวเราะเสียงเบาว่า “ลูกพี่หลาน เฉียวถิงยังไม่มาเลย” อู่จย่งกำลังคิดว่า เฉียวถิงรู้สึกอับอายขายหน้าหรือเปล่า ถึงได้ไม่ปรากฏตัวก่อนล่วงหน้า
มุมปากของหลิงหลานยกขึ้นน้อยๆ “พอถึงบ่ายสอง เขาต้องโผล่มาแน่” โรงเรียนทหารไม่อนุญาตให้ละเมิดกฎระเบียบ ต่อให้เฉียวถิงคัดค้านอีกสักแค่ไหน พอถึงช่วงเวลาสุดท้ายก็ต้องจัดการเรื่องนี้อยู่ดี
“ตอนเฉียวถิงท้าประลองพวกเรา เขาไม่มีทางคิดถึงช่วงเวลานี้แน่ๆ เขาไม่มีหน้ามาก่อนอยู่แล้ว ฮ่าๆๆ…” หลี่อิงเจี๋ยได้ยินบทสนทนาระหว่างอู่จย่งกับหลิงหลานก็หัวเราะดังลั่นขึ้นมาอย่างวางก้าม
เทียบกับท่าทีสำรวมของอู่จย่งกับหลิงหลานแล้ว เสียงของหลี่อิงเจี๋ยดังมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด สมาชิกกลุ่มเหลยถิงในห้องโถงที่ยังไม่ได้จากไปต่างเดือดดาลเพราะความกำแหงของเขา มีหลายคนถึงขนาดอยากกำหมัดเข้ามาอัดคน แต่ถูกเพื่อนที่ใจเย็นรั้งไว้ พริบตาเดียว บรรยากาศทั่วทั้งห้องโถงพลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมา
นี่ทำให้หน้าผากของหลิงหลานกับอู่จย่งพลันขึ้นขีดดำหลายเส้น หลี่อิงเจี๋ยนี่เป็นตัวก่อปัญหาจริงๆ พวกเขามารับศูนย์บัญชาการนะ ไม่ใช่มาหาเรื่องต่อยตี…
ฉีหลงที่ตามหลังทุกคนอยู่รั้งท้ายสุดดูเอื่อยเฉื่อยอย่างมาก ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าบรรยากาศห้องโถงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา เขาก็กระตือรือร้นทันที สายตาทอดมองไปรอบๆ อย่างมีชีวิตชีวา กวาดความเนือยๆ ตอนที่เข้ามาออกไป เขาเลียริมฝีปาก เอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “ลูกพี่ มีเรื่องกันหรือเปล่า?”
—————————-