บทที่ 584 ไม่ใช่ฝนตก แต่เป็นเขาที่กำลังร้องไห้
บทที่ 584 ไม่ใช่ฝนตก แต่เป็นเขาที่กำลังร้องไห้
ได้ยินดังนั้น ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนพลันสั่นไหว เธอลุกขึ้นยืน เทน้ำต้มสุกครึ่งถ้วยแล้วส่งให้เซี่ยจิ่งเฉิน ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าเขา
หญิงสาวนั่งไขว่ห้าง พลางกอดอก แล้วผลิยิ้มจาง ๆ “ทำไมพี่รองถึงถามแบบนี้ล่ะ?”
เมื่อบทสนทนาถูกเปิดขึ้นมา เซี่ยจิ่งเฉินจึงตัดสินใจพูดถึงเรื่องนี้ “ในตอนนั้น เพื่อให้ฉันได้แต่งงาน ครอบครัวของเราขอให้เธอออกจากโรงเรียนแล้วไปทำงาน ต่อมาก็มีเรื่องของจางอวี้เจียว ซึ่งทำให้เธอได้รับความคับข้องใจมากมาย…”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เซี่ยจิ่งเฉินก็ไม่อาจจะกล่าวต่อไปได้ รู้สึกเพียงว่าตนนั้นเป็นเศษสวะจริง ๆ
“พี่รอง” เซี่ยชิงหยวนเอ่ยยั้งเขาไว้ “อดีตก็คืออดีต ในอนาคตตราบใดที่พี่สามารถยืนหยัด มีชีวิตที่ดี ดูแลครอบครัว และกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
เซี่ยจิ่งเฉินโน้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว “แล้วเธอล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหน้า “ตอนนี้สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญสำหรับฉันอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มีเด็กสองคนที่พี่ต้องดูแลเลี้ยงดู สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้พวกเขา”
เธอจำไม่ได้ว่ามีน้ำตาไหลรินไปมากมายเพียงใดในราตรีอันมืดมนแห่งความปรารถนาในความรักและความยุติธรรม
ครอบครัวเดิมของเธอไม่ถือว่ามีความสุข แต่เธอรู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริงหลังจากได้สร้างครอบครัวใหม่กับเสิ่นอี้โจว
ไม่ใช่ว่าอดีตที่ผ่านมานั้นไม่สำคัญ เพียงแต่เธอไม่อยากใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตไปกับความเกลียดชัง
การโทษตัวเองเพราะความผิดพลาดของคนอื่นเป็นสิ่งที่โง่ที่สุด
เซี่ยจิ่งเฉินจ้องมองน้องสาวที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งแตกต่างไปจากคนแปลกหน้าเมื่อคราแรกที่พบกันในเมืองเตียนเฉิง
เขาจำได้ว่าในตอนนั้น เธอนั่งอ่านหนังสือที่โดยเอนกายไปด้านหลังเล็กน้อย พร้อมกับกอดอกในท่าป้องกันตัวตามสัญชาตญาณ
เซี่ยจิ่งเฉินรู้ว่าทุกอย่างนั้นสายเกินไปแล้ว
เซี่ยชิงหยวนเติบโตขึ้นเป็นต้นไม้สูงตระหง่านด้วยความแข็งแกร่งของเธอเอง ไม่มีอะไรที่จะเอาชนะเธอได้อีก
ทั้งยัง… ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนเธอได้โดยง่าย
เขาเผยยิ้มเศร้า พลางพยักหน้า “ขอเพียงเธอมีชีวิตที่ดี ก็พอแล้ว เป็นพี่เอง… ที่ต้องขอโทษเธอ”
เอ่ยจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยความซวนเซเล็กน้อย
เธอยังคงเรียกเขาว่า ‘พี่รอง’ พร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ทว่าเธอไม่ใช่น้องสาวคนเล็กคนเดิมที่เคยศรัทธาในตัวเขาอย่างสุดใจคนนั้นอีกแล้ว
เซี่ยจิ่งเฉินโบกมือ “เธอรีบพักผ่อนเถอะ รอให้กลับไปยังมณฑลอวิ๋นแล้ว พวกเราจะกลับมารวมตัวกันเป็นครอบครัวอีกครั้ง”
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยตอบว่า “อื้ม”
ร่างสูงของเซี่ยจิ่งเฉินสาวเท้าก้าวไปตามทาง เงาของเขาทอดยาวไปตามแสงไฟริมถนน
มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกเซี่ยชิงหยวน
เขาได้บังเอิญพบกับถานจิงเซียนในเมืองเซินเจิ้น
ถานจิงเซียนไม่ได้แต่งงานใหม่เลยนับตั้งแต่หย่าร้างไป หญิงสาวเอ่ยถามเขาว่าพวกเขาทั้งสองจะกลับมาสานสัมพันธ์กันได้หรือไม่ ทว่าเขาได้แต่นิ่งเงียบ
ในใจของเขา ทุกสิ่งที่เขามีในตอนนี้ล้วนเป็นเพราะเซี่ยชิงหยวนเสียสละความสุขของตัวเองเพื่อแลกมันมา และเขาเองรู้สึกผิดต่อเธอ จนไม่อาจกินอิ่มนอนหลับได้
โชคดีที่เสิ่นอี้โจวรักเซี่ยชิงหยวนมาก ทั้งยังไม่ทำให้ชีวิตของเซี่ยชิงหยวนลำบาก ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงให้อภัยตัวเองไม่ได้แม้จะตายไปเป็นหมื่น ๆ ครั้งก็ตาม
ครั้งนี้ที่เขามาหาเซี่ยชิงหยวน เขาเองตั้งใจที่จะชดใช้ความผิดของตนให้กับเธอ
ชายหนุ่มคิดว่าหากตนได้รับการอภัยจากน้องสาว เขาก็จะสานสัมพันธ์กับถานจิงเซียนได้
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือสิ่งที่เขาจดจำอยู่ในใจไม่อาจลืมเลือนกลับกลายเป็นสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนไม่สนใจ
เธอกล่าวว่าหวังว่าเขาจะสบายดีมีความสุข เขาจะสบายดีได้อย่างไรกัน?
เขายกมือขึ้นแตะแก้มที่เปียกชื้น ก่อนเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า
ปรากฏว่าฝนไม่ได้ตก แต่เป็นเขาที่กำลังร้องไห้เอง
…
เซี่ยชิงหยวนรีบกลับมาในวันส่งท้ายปีเก่า
ในตอนที่หญิงสาวกลับถึงหมู่บ้านก็เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว
ชาวบ้านนั้นทำความสะอาดบ้านกันเรียบร้อยแล้ว พร้อมติดตุ้ยเหลียนคู่ใหม่ไว้ที่ประตู และเตรียมพร้อมสำหรับอาหารค่ำของคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ในมือของเซี่ยชิงหยวนนั้นมีสิ่งของแปลกตา ซึ่งเหล่าไต้นำมาฝากจากกรุงปารีส เธอรวบเสื้อคลุมตัวนอก แล้วเดินเข้าไปในลานบ้าน
หญิงสาวยืนอยู่หน้าประตูบ้าน แล้วตะโกนเอ่ย “กลับมาแล้วค่ะ!”
หลินตงซิ่วและเสิ่นอี้โจวรีบออกมาจากห้องครัวพร้อมรอยยิ้มกว้างอันเปี่ยมด้วยความสุข “ในที่สุดก็กลับมาสักที วันนี้เด็ก ๆ นั่งรออยู่ที่ประตูทั้งวันเลย”
ปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมาน คนหนึ่งอุ้มเสิ่นทิงอวิ๋นไว้อ้อมแขน อีกคนถือกะละมังอาหารไก่อยู่ในมือ ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดีจริง ทันเวลาอาหารเย็นวันส่งท้ายปีเก่าพอดี”
เอ่ยจบ ปี่เหลาซานก็เงยหน้าขึ้นทางชั้นบน แล้วตะโกนว่า “อี้หลิน พี่สะใภ้ของเธอกลับมาแล้ว!”
เมื่อสิ้นสุดประโยคนี้ ก็มีร่างสองร่าง ร่างหนึ่งสูง ร่างหนึ่งเตี้ยเดินออกมาจากทางเดินของบ้านไม้ไผ่
คนที่เตี้ยกว่านั้นคือเสิ่นอี้หลิน ในขณะที่คนที่สูงกว่านั้นคือฉีจิ่นจือ
เซี่ยชิงหยวนระบายยิ้มด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ ฟื้นแล้วเหรอคะ?”
ฉีจิ่นจือซึ่งยืนอยู่ชั้นบนพร้อมอุ้มเสิ่นทิงหลานไว้ในอ้อมแขน ก้มศีรษะลงมองเซี่ยชิงหยวนซึ่งอยู่ชั้นล่าง
เธอยังสวยเหมือนเคย มีเพียงผมยาวสลวยที่ถูกมัดเอาไว้ ลักษณะท่าทางนั้นเมื่อมองดูแล้วให้ความรู้สึกมีเสน่ห์ ทั้งยังสะอาดปราดเปรียวขึ้นเรื่อย ๆ
ความคิดนับพันแล่นเข้ามาในหัวของเขา ก่อนที่มุมปากของฉีจิ่นจือจะยกขึ้น พร้อมเอ่ยว่า “ฟื้นแล้วก็มาที่นี่เลยน่ะ”
เสิ่นอี้โจวเดินไปหยิบของในมือเซี่ยชิงหยวนมาถือไว้เอง และกล่าวว่า “ลำบากคุณแล้ว รีบนั่งพักเถอะอีกสักพักเราจะกินข้าวกัน”
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยตอบด้วยเสียงสะอื้นเล็ก ๆ”ค่ะ”
สำหรับอาหารมื้อรวมญาติในวันนี้ต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาพบกันอีกครั้ง
ค่ำคืนนี้ปี่เหลาซานดื่มเสียจนเมามายเพราะอิ่มล้นด้วยความสุข
เขาดึงลูกศิษย์ทั้งสามของตนมาข้าง ๆ พลางเอ่ย “ตั้งแต่นี้ไป พวกเธออย่าได้ทิ้งให้ตาเฒ่าอย่างฉันไปทำเรื่องยิ่งใหญ่อีกเลย”
เขาตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ “ฉันยังขยับเขยื้อนได้ จากนี้ไปฉันจะดูแลเด็ก ๆ ให้กับพวกเธอสามศิษย์พี่น้อง เมื่อดูแลศิษย์หลานแล้ว ก็จะดูแลศิษย์เหลนอีก พวกเธอน่ะอย่าได้คิดทิ้งฉันไว้ข้างหลังเชียว”
เอ่ยจบก็ปาดน้ำตาออกจากใบหน้า แล้วจับมือของฉีจิ่นจือไว้แน่น “จิ่นจือ อาจารย์ตามหาเธอมาทั้งชีวิต เฝ้ารอเธอมาทั้งชีวิต อย่าปล่อยให้อาจารย์รออีกเลย”
น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นเครือ จึงหยุดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยต่อ “อาจารย์กลัว… กลัวว่าจะแก่เกินไปจนรอไม่ไหว”
“อาจารย์!” ฉีจิ่นจือรู้สึกละอายใจมากจนต้องคุกเข่าลงตรงหน้าปี่เหลาซาน
ปี่เหลาซานเมื่อเห็นดังนั้นก็สวมกอดเขา แล้วกล่าวว่า “ดีใจที่เธอกลับมา ดีใจที่เธอกลับมาจริง ๆ!”
เมื่อมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็พลันนัยน์ตาแดงก่ำ
หวังว่าต่อจากนี้ไป สวรรค์จะเมตตาผู้ที่มีความตั้งใจ
…
ครอบครัวของเซี่ยชิงหยวนกลับมายังมณฑลอวิ๋นในช่วงต้นฤดูร้อนที่ในปีต่อมา
สถานะของฉีจิ่นจือในตอนนี้นั้นค่อนข้างพิเศษ และเพราะอาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายดี เขาจึงอาศัยอยู่ที่อำเภอรุ่ยต่อเพื่อพักรักษาตัว
ด้วยเหตุผลบางประการ ปี่เหลาซานยกเลิกการเดินทางไปซื้อหยกที่เขาเคยจัดไว้กับเพื่อนเก่าของเขาชั่วคราว กล่าวบอกว่าเขาจะอยู่กับปี่ฟู่หมาน เพื่อคอยอยู่เป็นเพื่อนฉีจิ่นจือ
เซี่ยชิงหยวนราวกับว่ามีลางสังหรณ์ถึงบางสิ่งบางอย่าง จึงเอ่ยขึ้นว่า “แบบนี้ก็ดีค่ะ หากอยู่ที่มณฑลอวิ๋นพวกคุณจะต้องพะว้าพะวังไม่น้อย แต่หากอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็สบายใจได้มากกว่า”
ครอบครัวของเซี่ยชิงหยวนเดินทางออกจากหมู่บ้านในเช้าตรู่วันหนึ่ง โดยมีปี่ฟู่หมานมาส่งพวกเขา ในขณะทีฉีจิ่นจือยืนส่งพวกเขาอยู่ที่ชั้นบนของอาคารไม้ไผ่
แววตาอันสดใสของเขาพลันมืดมนลง ก่อนที่ในท้ายที่สุดก็กลับสู่ความสงบโดยไร้ซึ่งสิ่งอื่นใดอีก
เมื่อเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวต้องก้าวออกจากลานบ้านนี้ ความรู้สึกอ้างว้างระคนเศร้าสลดพลันพุ่งเข้าใส่สองสามีภรรยา แต่ตอนนี้พวกเขากลับไปพร้อมกับความรุ่งโรจน์อันไร้ที่สิ้นสุด
สถานที่พำนักเดิมของพวกเขาได้รับการดูแลรักษาไว้อย่างดีตามถ้อยคำของเซี่ยเจิ้ง “เลขาธิการเสิ่นต้องไปทำความดีเพื่อประชาชน อีกทั้งนี่ยังไม่ใช่การลดตำแหน่งที่มีคำสั่งออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร คุณมีสิทธิ์อะไรมารื้อบ้านของเขาไม่ทราบ?”
ตระกูลเสิ่นเองมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้คนในละแวกบ้าน และยังได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากมายในการสอดส่องดูแลบ้านให้พวกเขา
ไป๋อวิ๋นหลี่ทำอะไรไม่ได้นอกจากโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
วันที่พวกเขาย้ายกลับเข้าบ้าน ผู้คนในละแวกบ้านเกือบทั้งหมดต่างมาาแสดงความยินดี
ครอบครัวของเซี่ยชิงหยวนถูกเบียดเสียดอยู่ท่ามกลางฝูงชน พร้อมถ้อยเสียงแสดงความยินดีจากทุกคน
เธอรู้สึกไวพอที่จะมองเห็นเซี่ยจื่ออี้ ซึ่งยืนอยู่เพียงลำพังนอกวงล้อมของผู้คน
หน้าท้องของหญิงสาวยื่นออกมาเล็กน้อย ใบหน้าของเธอซีดเซียว และสายตาที่มองมายังเซี่ยชิงหยวนนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาต
เซี่ยชิงหยวนกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ
เธอเคยบอกไว้ว่าวันหนึ่งเธอจะกลับมาและบินสูงขึ้นไปอีก
ในทางกลับกัน เซี่ยจื่ออี้ทำได้เพียงยืนอยู่ในฝูงชนและเงยหน้ามองเธอเท่านั้น
เซี่ยจื่ออี้สังเกตเห็นท่าทางยั่วยุของเซี่ยชิงหยวน รอยแตกร้าวเล็ก ๆ พลันปรากฏบนใบหน้าของเธอ
เธอก้าวขึ้นมาข้างหน้า ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งจากข้างหลังเอ่ยรั้งเธอไว้
เป็นไป๋อวิ๋นหลี่ซึ่งยืนอยู่ข้างประตูที่เรียกให้เธอกลับไป
เซี่ยชิงหยวนสังเกตเห็นว่าร่างบางของเซี่ยจื่ออี้สั่นเทา ในขณะที่เธอหันหลังกลับเข้าไปข้างใน
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะจิปาก เห็นทีว่าคราวนี้จะมีละครสนุก ๆ ให้ดูซะแล้ว