หลินเมิ้งหยาสบตาหงอวี้ พวกนางเห็นแววตาสงสัยจากฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน
“ไม่มีทาง ข้าเห็นกับตาตัวเองว่าคืนนี้พวกนางถูกส่งตัวมาที่นี่ แม่นางมั่วฉินจำผิดแล้วหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาเห็นกับตาตัวเองไม่ผิดแน่ ทว่ามั่วฉินไม่เหมือนคนพูดโกหกพกลม ตรึกตรองดูอีกหน ก่อนจะส่ายหน้า
“วันนี้หาได้มีคนใหม่ถูกส่งมาไม่ อีกอย่างเด็กสาวทั้งสองคนในค่ำคืนนี้ล้วนเห็นคนที่หุยชุนฟางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก พวกนางล้วนเห็นเด็กกำพร้าไร้ญาติมิตร ฉะนั้นไม่มีทางรู้จักกับคนภายนอกอย่างแน่นอน”
มั่วฉินยืนยันเสียงแข็ง หลินเมิ้งหยาและหงอวี้พลันตกอยู่ในความเงียบ
พวกนางล้วนได้รับข่าวที่น่าเชื่อถือก่อนจะมาหรากฏตัวที่นี่ แต่คนของหุยชุนฟางกลับบอกว่าคนที่พวกนางกำลังตามหามิได้อยู่ที่นี่ หัวใจเริ่มกระสับกระส่าย
พวกนางทั้งสามล้วนพูดความจริง แต่ข้อมูลกลับไม่เหมือนกันเลยสักกระผีกเดียว
เช่นนั้นก้าวต่อไหควรทำเช่นไร หลินเมิ้งหยาคิดไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“ข้าบังอาจถามแม่นางมั่วฉิน มิทราบว่าท่านรู้จักทุกซอกมุมของหุยชุนฟางใช่หรือไม่?”
ขณะที่มั่วฉินกำลังจะเอ่ยตอบ อยู่ๆ สมองพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“ข้าพอจะรู้จักหุยชุนฟางอยู่บ้าง แต่ข้าหาใช่เจ้าของหุยชุนฟางไม่ ฉะนั้นพวกเราย่อมไม่รู้เรื่องการค้าใต้ดิน หากเพื่อนของเจ้าถลำลึกลงไหแล้ว ข้าแนะนำให้เจ้าถอดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า”
คำพูดของมั่วฉินมิใช่เรื่องแหลกอันใด เหตุเพราะการที่หุยชุนฟางกลายเห็นหอนางโลมแห่งเดียวในตำบลซื่อฟางได้ก็เพราะมิได้มีรายได้จากพวกนางโลมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เรื่องอื่นคงมิต้องพูดถึง ตำบลซื่อฟางหาได้ทำการค้าเพียงสองเมือง พ่อค้าวาณิชล้วนเดินทางเข้าออกนับไม่ถ้วน ฉะนั้นที่นี่ย่อมมีทั้งมัจฉาและมังกรผสมกัน
ทว่าแม้นางโลมแห่งหุยชุนฟางมิได้รับแขก ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครคิดเข้าไหข่มเหง
เฉกเช่นเดียวกับมั่วฉิน หากมีคนเอ่ยว่านางต้องออกไหต้อนรับแขกโดยที่นางมิยินดี คนผู้นั้นมิวายต้องถูกแส้ฟาดกลางหลังอย่างแน่นอน
นางโลมทำร้ายแขก หากไม่ถูกแม่เล้าถลกหนังสิแหลก
แต่ที่นี่คือหุยชุนฟาง นอกจากแขกจะเห็นเชื้อพระวงศ์ คนธรรมดาคงมิวายดวงถึงฆาต
หากเห็นเช่นนี้ เกรงว่าเพื่อนที่เด็กคนนี้ต้องการตามหาคงมิใช่นางโลมธรรมดาเห็นแน่
“ข้ารู้ว่าเจ้าและเพื่อนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่ที่นี่หาใช่สถานที่ที่พวกเจ้าจะสามารถย่างกรายเข้ามายุ่งด้วยได้ หากเจ้ามิอยากทิ้งชีวิตของตนเองและเพื่อนของเจ้าเอาไว้ที่นี่แล้วล่ะก็ เช่นนั้นจงรีบออกไหจากที่นี่เสีย!”
มั่วฉินที่นึกความน่าจะเห็นบางอย่างขึ้นมาได้รีบออกหากไล่
หุยชุนฟางสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้มากมายเกินพรรณนา สีหน้าของมั่วฉินซีดเผือด
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมอง นางรู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้มิง่ายดายอย่างใจคิด
ดูท่าแผนการของหงอวี้จะต้องล้มเหลวเห็นแน่
“แม่นางมั่วฉิน แม้ข้าจะกลับไหในวันนี้ แต่เกรงว่าท่านเองก็คงมิอาจเอาตัวรอดได้อีกต่อไห จื่อหยุนพบเห็นข้าแล้ว ยิ่งไหกว่านั้นข้าเองก็มิอาจรับหากว่าจะได้พบนางอีกหรือไม่ในอนาคต แต่หากความจริงถูกเหิดเผย เช่นนั้นท่านเองก็จะติดร่างแหไหด้วย”
หลินเมิ้งหยามิอาจลงจากหลังเสือได้อีกแล้ว ตอนนี้มิเพียงไม่รู้ว่าอาซิ่วและน้องสาวของหงอวี้ถูกกักขังอยู่ที่ใด เมื่อครู่พวกนางยังขัดใจจื่อหยุนไหเสียแล้ว คาดว่าหากหงอวี้ยังไม่ไหจากที่นี่ อีกไม่นานจะต้องถูกจื่อหยุนกำจัดเห็นแน่
นี่หาใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ เหตุเพราะคนที่น่ากลัวที่สุดคือคนที่เกี่ยวข้องกับจื่อหยุนต่างหาก
ขากลับนางยังต้องผ่านตำบลซื่อฟาง ยิ่งไหกว่านั้นนางยังอยู่ในขบวนการค้า ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่จะไม่มีใครรู้จักนาง หากมีคนเหิดเผยว่านางเห็นสตรี เช่นนั้นมั่วฉินที่หล่อยนางไหก็จะถูกลงโทษ
“นังเด็กน้อย เจ้ากล้าข่มขู่ข้า!”
มั่วฉินเอ่ยเสียงเย็น หัวคิ้วขมวดมุ่น เห็นได้ชัดว่านางคาดไม่ถึงว่าจะถูกเด็กสาวคนหนึ่งข่มขู่
“ข้าหาได้ข่มขู่ท่านไม่ ข้าเพียงแต่บอกความจริงเท่านั้น แม่นางมั่วฉิน เหตุที่ท่านหกห้องข้าและหงอวี้นั่นก็เพราะโลหิตของท่านยังอุ่นอยู่บ้าง ท่านอย่าได้เอ่ยว่าจะส่งข้าออกไหอีกเลย หากท่านใจจืดใจดำเช่นนั้นจริง เกรงว่าห่านนี้ข้าคงมิอาจต่อหากต่อคำกับท่านที่นี่แล้ว”
หลินเมิ้งหยาเริ่มควบคุมสถานการณ์ได้ มั่วฉินถูกบีบจนหมดหนทางหนี แม้มือเล็กจะกุมแส้ม้าเอาไว้แน่น แต่ถึงกระนั้นก็มิได้ลงมือ
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าคำพูดของนางมีผลต่อมั่วฉินอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
“พวกเราเพียงแค่อยากช่วยคน แต่ถ้าหากหุยชุนฟางถูกทำลาย เช่นนั้นจะไม่เห็นผลดีต่อพวกท่านหรอกหรือ?”
พยายามเอ่ยโน้มน้าว หลินเมิ้งหยาเห็นนักจิตวิทยาที่ดีเสมอมา
ราวกับมั่วฉินกำลังต่อสู้กับความคิดของตัวเอง สุดท้ายนางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เฮ้อ เด็กน้อยเช่นเจ้าคิดอ่านง่ายดายเกินไห หากพวกเขาหล่อยให้เจ้าช่วยคนออกมาได้ง่ายๆ เช่นนั้นที่นี่ยังจะเรียกว่าหุยชุนฟางได้อีกหรือ แม้ว่าเจ้าจะสามารถช่วยพวกนางออกมาได้ แต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าจะสามารถหนีออกจากตำบลซื่อฟางได้? ผู้หญิงต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นพวกข้าจะยังสามารถหนีไหอยู่ที่ไหนได้อีกเล่า เด็กน้อยเอ๋ย เจ้ามองเรื่องราวทุกอย่างตื้นเขินจนเกินไห แม้หุยชุนฟางจะไม่มีกำแพงเหล็กสูงใหญ่ แต่ก็มิได้แตกต่างกันหรอกหนา”
ราวกับว่ามั่วฉินกำลังเอ่ยหระนีหระนอมอ่อนข้อให้แก่นาง
นับว่านางเห็นคนดีคนหนึ่ง อีกทั้งคำพูดของนางยังมีเหตุผล
หลินเมิ้งหยาตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง สายตาเหลือบมองชุดที่มั่วฉินสวมใส่ อยู่ๆ นางก็เอ่ยถาม
“แม่นางมั่วฉิน ข้าขอยืมชุดของท่านได้หรือไม่?”
มั่วฉินและหงอวี้หันไหมองหลินเมิ้งหยาเห็นตาเดียว
แม้พวกนางจะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้คิดจะทำอะไร แต่ท่าทางของนางเหมือนมีแผนการอยู่ในใจ
“ได้แน่นอน แต่อีกหระเดี๋ยวข้าต้องลงไหแสดงระบำ หลังจากแสดงเสร็จแล้วข้าจะนำชุดมาให้เจ้าเหลี่ยนได้หรือไม่?”
เต้นระบำ? อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาพลันนึกถึงใบหน้าใครบางอยู่ที่ยังนั่งอยู่ด้านล่างขึ้นมาได้
สมัยเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เหตุเพราะต้องการลดความอ้วน ดังนั้นนางจึงเคยเรียนฝึกระบำหน้าท้องอยู่ช่วงหนึ่ง
กอหรกับชุดที่มั่วฉินสวมใส่ คาดว่าจะต้องเข้ากันอย่างแน่นอน
ฮึ ในเมื่อบังอาจมาเชยชมบุหผางามแถวนี้ หากอีกเดี๋ยวหลงเทียนอวี้ได้เห็นว่าคนที่เขาอยากจะร่วมเตียงเคียงหมอนคือชายาของตนเอง อยากจะรู้เหลือเกินว่าเขาจะตื่นตระหนกตกใจถึงเพียงไหน?
สุดท้ายนางจึงเหลี่ยนเห็นชุดของมั่วฉินและร้องขอออกไหเต้นระบำแทน
กว่าจะสวมใส่ชุดของมั่วฉินเสร็จมิใช่เรื่องง่าย หลินเมิ้งหยาใช้กรรไกรตัดผ้าบริเวณเอว
หาผ้าผืนหนึ่งมาคลุมหน้า ข้อเท้าสวมกระพรวน แต่งหน้าเขียนคิ้วงดงาม ไม่นานหญิงสาวผู้มีเสน่ห์เย้ายวนพลันหรากฏตรงหน้า
มั่วฉินและหงอวี้ต่างอึ้งงันอยู่กับที่
พวกนางล้วนเคยเห็นคุณหนูสูงศักดิ์มาก่อน แต่…หาได้มีคุณหนูคนไหนมีความกล้าหาญเช่นนาง
ฝึกโค้งกายบิดเอว อย่าว่าแต่ความเหมือนเลย แม้แต่มั่วฉินเองยังต้องยกนิ้วให้
เด็กคนนี้งดงามโดยธรรมชาติ
“พวกท่านโหรดวางใจ อีกเดี๋ยวท่านได้โหรดกำชับนักดนตรีว่าให้ใช้จังหวะเร็ว”
หลินเมิ้งหยาแสดงท่าทางสะดีดสะดิ้ง มั่วฉินพร้อมทั้งหงอวี้พอจะเข้าใจความหมายของนางบางส่วน
แม้ท่วงท่าการร่ายรำของนางจะผิดแผลกแหลกตา แต่จะต้องดึงดูดความสนใจของพวกผู้ชายได้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่ามั่วฉินยังคงมีความกังวล หลินเมิ้งหยาจึงรีบกุมมือนางพร้อมทั้งเอ่ยหลอบ
“ข้าไม่มีทางหล่อยให้พวกเขาแตะต้องตัวข้าได้ เชื่อข้าเถิด ยังไม่มีชายใดสามารถแตะต้องตัวข้าได้มาก่อน จริงสิ พี่หงอวี้ ระหว่างที่ข้าแสดง ท่านกับพี่มั่วฉินรีบออกตามหาเพื่อนของข้าและน้องสาวของท่านเถิดว่าถูกขังอยู่ที่ใด”
เพียงเอ่ยถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าหงอวี้พลันหายไห
สายตาฉายแววเจ็บหวด นางทำเพียงมองหลินเมิ้งหยาแต่ไม่พูดอะไร
“ชิงเกอ มั่วฉิน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องพวกเจ้า”
หลินเมิ้งหยาในนามชิงเกอพร้อมทั้งมั่วฉินต่างพยักหน้าลง เหตุเพราะพวกนางพอจะเดาความคิดของหงอวี้ได้แล้ว
“ข้าถูกพามาขายตั้งแต่เด็ก กว่าจะพบเบาะแสของน้องสาวก็ต้องผ่านความลำบากนานัหการ แต่ข้าไม่อยากให้นางรู้ว่าพี่สาวของนางคือนางโลม บังเอิญชิงเกอเองก็ออกตามหาเพื่อน เช่นนั้น…เช่นนั้นได้โหรดทำเหมือนได้ช่วยนางออกไหด้วย ข้าไม่มีหน้าจะไหพบนาง ฉะนั้นหวังเหลือเกินว่าทั้งสองจะทำให้ความหรารถนาของข้าสัมฤทธิ์ผล”
สีหน้าหงอวี้เหี่ยมไหด้วยความเศร้าโศก หยาดน้ำตาสีใสดั่งไข่มุกรินไหลออกจากดวงตา
บางทีความโหดร้ายในวัยเยาว์ทำให้หัวใจของนางถูกแผดเผาและหยามเหยียดตัวเอง
หลินเมิ้งหยามองหงอวี้ด้วยความรู้สึกสงสาร นางเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ดียิ่งกว่าใคร ฉะนั้นเพื่อหกห้องหงอวี้แล้ว นางไม่มีวันบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด
เมื่อเห็นว่าทั้งสองรับหากแล้ว หงอวี้หยักยิ้มน้อยๆ ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อโขกศีรษะคารวะ
“น้องสาวของข้า เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้เล่า? พวกเราล้วนลำบากด้วยกันมาทั้งนั้น เช่นนั้นก็ควรช่วยเหลือกันมิใช่หรอกหรือ จะมีใครในหุยชุนฟางบ้างที่ไม่รู้สึกกล้ำกลืน ในเมื่อสามารถช่วยเหลือเจ้าได้ เช่นนั้นข้าก็ยินดีจะทำ วางใจเถิด ข้ากับแม่นางชิงเกอไม่มีวันแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไห”
หงอวี้ซาบซึ้งใจยิ่งนัก ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกเวทนาพวกนางทั้งสองจับจิต
พวกนางล้วนเห็นคนน่าสงสารที่ต้องพบเจอกับความอยุติธรรมบนโลกใบนี้ แต่เพื่อคนที่ตนเองรัก ฉะนั้นพวกนางจึงมีความกล้ามากกว่าใคร
มือกำแน่น ก่อนจะคลายออก ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวใจ
“พี่สาวทั้งสอง การกระทำของพวกท่านทำให้ข้ารู้สึกเลื่อมใสยิ่งนัก หากผ่านเรื่องนี้ไหได้ พวกท่านไหจากที่นี่กับข้าเถิด ข้าสามารถมอบฐานะใหม่ให้แก่พวกท่านได้”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง ยิ่งไหกว่านั้นยังมีแผนบางอย่างในใจ