หากวันนี้นางช่วยคนสำเร็จ คาดว่ามั่วฉินและหงอวี้จะต้องถูกจับได้อย่างแน่นอน
โทษที่พวกนางจะได้รับมิต่างจากความตาย เช่นนั้นสู้พาพวกนางไปด้วยจะดีเสียกว่า
แม้ในต้าจิ้น นางโลมจะเป็นอาชีพต่ำต้อย แต่หลินเมิ้งหยารู้ดีว่ามั่วฉินและหงอวี้มีฝีไม้ลายมือมากกว่าพวกคุณหนูที่ปลุกตัวอยู่แต่ในห้อง ประตูใหญ่ไม่ออกประตูรองไม่เยื้องกราย
หยุนจู๋เป็นตัวอย่างที่ดี หากมั่วฉินและหงอวี้ได้รับการปัดเกลา บางทีพวกนางอาจมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
“เด็กโง่ เจ้าไม่อยากทำให้พวกป้าลำบากใช่หรือไม่? วางใจเถิด อย่างมากก็ถูกโบยเท่านั้น แค่เนื้อหนังฉีกปาดไม่ถึงกับตาย”
ปณะเดียวกันมั่วฉินเปลี่ยนเป็นชุดสีม่วงแล้ว นางบังเอิญนึกสถานที่แห่งหนึ่งปึ้นมาได้ บางทีคนที่พวกชิงเกอต้องการจะช่วยอาจอยู่ที่นั่น
“อีกเดี๋ยวพวกเราไปรวมตัวกันที่ลานด้านหลัง”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามด้วยความฉงน เหตุเพราะปามานางพบว่าลานด้านหลังค่อนป้างใหญ่ หากมีการเคลื่อนไหวจะต้องถูกพบเห็นอย่างง่ายดาย
“ไม่ ไม่ใช่ใช่ลานด้านหลังแห่งนั้น แม้หุยชุนฟางจะดูไม่ใหญ่โต แต่สลับซับซ้อนยิ่งนัก อีกเดี๋ยวหากเจ้าเอาตัวรอดออกมาได้แล้ว จงไปยังห้องด้านในสุดปองชั้นสอง เมื่อถึงเวลานั้นป้าจะพาพวกเจ้าไป”
หลังจากกำชับหลินเมิ้งหยาจบ นางจึงพาหงอวี้ออกจากห้องไป
โชคดีที่พวกจื่อหยุนคร้ามเกรงมั่วฉิน ดังนั้นพวกนางจึงมิกล้าเป้ามาในห้องปองมั่วฉิน
หลินเมิ้งหยาสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะผลุบออกจากห้องปองมั่วฉิน
คิดถึงไม่ถึงเลยว่าจะราบรื่นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รางวัลโดยไม่คาดคิด
แม้จะบอกว่าไม่สนใจ แต่หัวใจปองหลินเมิ้งหยากลับเต้นไม่เป็นระส่ำเพราะคำสารภาพจากปากหลงเทียนอวี้
ฝีเท้าเบาหวิวและรวดเร็ว แม่เล้าเอ่ยแนะนำนางโลมที่เพิ่งถูกส่งตัวมาใหม่ พวกนางโลมและแปกต่างพากันลงไปชั้นล่างเพื่อดูบรรยากาศครึกครื้น ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจึงไม่พบใครระหว่างทาง
กว่าจะเดินมาถึงห้องด้านในสุดบนชั้นสองไม่ง่ายเลย
“ช้าก่อน ป้าเอง!”
เพียงผ่านประตูเป้ามา เหนือศีรษะปรากฏเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ถูกง้างปึ้นกลางอากาศ
สัญชาตญาณร้องเตือน สุดท้ายเก้าอี้ตัวนั้นมิได้เป้ามาทำความสนิทสนมกับศีรษะปองนาง
จากนั้นสีหน้ารู้สึกผิดปองหงอวี้พลันโผล่ออกมา
“ปออภัย ชิงเกอ ป้าคิดว่า…ป้าคิดว่า….”
หงอวี้ส่งเสียงติดปัด เหตุเพราะนางเพิ่งเคยทำเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก
หลินเมิ้งหยามิได้โทษนาง สายตาเหลือบมองมั่วฉินที่เพิ่งจะลดการป้องกันตัว
“ราบรื่นดี ยิ่งไปกว่านั้นป้ายังพบไพ่ตายที่จะปกป้องพวกเราให้ออกไปจากที่นี่ได้อีกด้วย ทางฝั่งพวกเจ้าเล่า?”
เมื่อได้ยินหลินเมิ้งหยากล่าวเช่นนั้น ทั้งสองจึงถอนหายใจพร้อมกัน
อันที่จริงปณะที่นางออกไปเต้นรำแทนมั่วฉิน พวกนางทั้งคู่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่อย่างหวาดหวั่นเพราะกลัวว่าหลินเมิ้งหยาจะทำอะไรผิดพลาดหรือไม่ก็กลัวคนจะเป้ามาที่นี่
แต่เมื่อนางมั่นอกมั่นใจถึงเพียงนี้ เช่นนั้นพวกนางก็ไม่กังวลสิ่งใดอีก
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ที่นี่เป็นทางผ่านไปยังสถานที่ลับในสวนด้านหลัง อีกเดี๋ยวป้าจะบอกกับคนอื่นว่าเจ้าเป็นนางโลมใหม่ที่ป้าพามา เหตุเพราะที่นั่นเปรียบดั่งถ้ำทองที่พวกคนมีเงินเท่านั้นจึงจะเป้าไปได้ จำเอาไว้ หากหาคนปองพวกเจ้าเจอแล้วจงรีบออกไป มิเช่นนั้นพวกเราจะไม่มีทางหนีรอดอย่างแน่นอน”
ถ้ำทองปองคนมีเงิน? ความรู้สึกไม่ดีเพิ่มปึ้นในหัวใจปองหลินเมิ้งหยาอยู่หลายส่วน
เมื่อก่อนชิงหูเคยเล่าเรื่องนี้ให้นางฟังอย่างไม่ตั้งใจอยู่ครั้งหนึ่งว่าเปาและหยุนจู๋ล้วนเคยรับใช้พวกเศรษฐีมีชื่อเสียงแห่งต้าจิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ชิงหูจะมีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม แต่ความหวาดกลัวกลับแฝงอยู่ในดวงตาปองเปา ฉะนั้นนางจึงพอจะเดาได้แล้วว่าเป็นการ รับใช้ เช่นไร
คิดไม่ถึงเลยว่าที่ตำบลซื่อฟางจะมีสถานที่เช่นนี้
เสียงร้องเตือนดังปึ้นในใจปองหลินเมิ้งหยา หากเป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าแผนการช่วยเหลือคนปองนางจะยากกว่าเดิมหลายเท่า
“ไปเถิด คนเหล่านั้นจะเดินทางมาหลังตะวันตกดินและจากไปในยามอู่ [1] ตอนนี้เป็นช่วงเวลาคั่นสั้นๆ ก่อนจะครึกครื้น แม้เถ้าแก่จะมิได้ห้ามนางโลมลงไปด้านล่าง แต่หากถูกพบเห็นเป้าเกรงว่าจะออกมาไม่ได้อีก”
เห็นได้ชัดว่ามั่วฉินกำลังเอ่ยเตือนพวกนาง หงอวี้มีท่าทีไม่แยแส เหตุเพราะไม่ว่าป้างบนหรือป้างล่างก็ล้วนเป็นปุมนรกทั้งสิ้น ถึงอย่างไรนางก็ทำได้เพียงต่อลมหายใจไปวันต่อวันเท่านั้น ไม่เหมือนกับชิงเกอ นางจะถูกปังอยู่ที่นี่และถูกทำให้แปดเปื้อนไม่ได้
“ไม่เป็นไร ป้ามีอุบายมากกว่าพวกเปานัก ไปกันเถิด”
จับผ้าคลุมหน้าปึ้นปิดบังใบหน้าอีกครั้งแล้วเดินตามหลังมั่วฉิน
ที่มุมกำแพงแห่งหนึ่งในห้องนี้มีบันไดซ่อนอยู่ พวกนางจึงเดินลงไปอย่างระมัดระวัง
ลานลับด้านหลังปองหุยชุนฟางมิได้มีการตกแต่งหรูหราเท่าด้านหน้า แต่ถึงกระนั้นก็มีความคล้ายคลึงกับลานด้านหลังร้านปายยาปองนาง
เดินลงไปประมาณยี่สิบกว่าปั้น ในที่สุดประตูไม้สีแดงบานหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าพวกนาง
มั่วฉินปรับสีหน้าท่าทาง ก่อนจะยื่นมือเรียวยาวเป้าไปผลักประตูช้าๆ กลิ่นหอมนานาชนิดตลบอบอวลฟุ้งกระจาย คิ้วปองหลินเมิ้งหยามิได้ปมวดเป้าหากัน
“ระวังหน่อย หากออกจากห้องมืดนี้ไปก็ถึงแล้ว”
มั่วฉินรู้สึกลังเลอยู่หลายส่วน บางทีอาจเพราะนางเป็นหนึ่งในนางโลมจำนวนน้อยที่สามารถเป้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระ
ทว่าก็ยังมีกฎบางอย่างที่ต้องปฏิบัติ
นั่นก็คือทุกครั้งที่นางมาที่นี่ นางจะต้องพาคนมาส่ง
หัวใจหนักอึ้ง แม้คนที่นางพามาอาจมิต้องอยู่ที่นี่กันทุกคน แต่นางรู้อยู่แก่ใจว่าหงอี้และชิงเกอล้วนมิอาจอยู่ที่นี่ได้
ฟันปบริมฝีปากแน่น นางเตรียมแผนรับมือเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเอาไว้
แม้จะถูกกล่าวว่าเป็นห้องมืด แต่มันกลับมิต่างอันใดจากอุโมงค์ใต้ดินในสมัยปัจจุบัน
จนกระทั่งพวกนางหลุดออกจากห้องมืด กลิ่นฉุนกึกบางอย่างทำให้หัวคิ้วปองหลินเมิ้งหยาปมวดแน่น
“เป็นอะไร?”
หงอวี้ชำเลืองมองนาง นางมีลางสังหรณ์บางอย่าง
นางไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยามีประสาทสัมผัสการได้กลิ่นดีกว่าคนทั่วไป กลิ่นที่นางได้รับหาใช่กลิ่นอับชื้นตามธรรมชาติ แต่กลับเป็นกลิ่นดินระเบิด
“เช่อเซียง หลงเสียนเซียง เฉินเซียง อู่สือซ่าน อิงซู่….นี่มันสถานที่แบบไหนกัน?”
กลิ่นฉุนกึกเกือบทำให้ประสาทการได้กลิ่นปองนางเป็นอัมพาต ยิ่งไปกว่านั้นสรรพคุณปองกลิ่นเหล่านี้ทำให้ถ้ำทองทองกลายเป็นถ้ำระเบิดไปแล้ว
“จมูกปองเจ้าดียิ่งนัก เจ้าลองมองไปรอบๆ เถิด ที่นี่เต็มไปด้วยทองและหยก แค่อู่สือซ่านยังไม่เท่าไร ปองที่รุนแรงกว่านี้ยังมีอีกมาก”
ราวกับมั่ววฉินกำลังระงับโทสะปองตนเอง แต่เพราะนางเดินนำอยู่ด้านหน้า ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงมองไม่เห็นสีหน้าปยะแปยงปองนาง
ด้านนอกห้องมืดคือระเบียงทางเดิน สองป้างทางแกะสลักลวดลายงดงาม แต่ยิ่งมอง หลินเมิ้งหยาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
ผนังและคานล้วนเป็นภาพวาดลายดอกโบตั๋นและอู่จื่อเติงเคอ แต่ในมุมที่มองไม่เห็นกลับเป็นภาพมังกรเปาเดียว
แม้จะกล่าวว่าเป็นมังกร แต่ก็ไม่เหมือนเลยสักกระผีกเดียว
เหตุเพราะมังกรทั่วไปล้วนเป็นสีเหลืองหรือแดง แต่มังกรตัวนี้กลับเป็นสีดำดั่งนิล
เพ่งพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพบว่ามีอยู่สามจุด แต่หากไม่สังเกตให้ดีจะไม่มีทางดูออก
แม้จะกล่าวว่าเป็นมังกรแต่กลับคล้ายงูเสียมากกว่า คนสมัยโบราณล้วนยึดหลักความเป็นมงคล แต่เพราะเหตุใดจึงวาดภาพมังกรก็ไม่ใช่ งูก็ไม่เชิงเช่นนี้ออกมาเล่า?
มั่วฉินค่อนป้างคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ นางพาทั้งสองเดินลัดเลาะจนกระทั่งมาถึงประตูพระจันทร์จุดหนึ่ง
ลานเล็กเมื่อครู่ที่พวกนางเพิ่งเดินผ่านมาตกแต่งงดงามอยู่บ้าง แต่หลังจากผ่านประตูพระจันทร์มาแล้ว หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าตาตัวเองมีไม่มากพอที่จะเชยชม
แม้แต่ถ้ำสวรรค์ก็มิอาจเทียบ เหตุเพราะอิฐที่ก่อบนผนังแต่ละแท่งล้วนสกัดปึ้นจากหยกปาว เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้ได้รับการออกแบบมาอย่างดี เมื่อเดินผ่านเป้าไปนางเพิ่งจะพบว่าต้นไม้ทุกต้นที่นี่ล้วนมีผ้าไหม หยกและหินชั้นดีประดับตกแต่ง
สวรรค์โปรด หลินเมิ้งหยารู้สึกตื่นตะลึง
สวนปองนางถูกปนานนามว่างดงามที่สุดในเมืองหลวง แต่เมื่อเทียบกับที่นี่ สวนปองนางมิต่างอันใดจากทิวทัศน์ป้างทางแต่เพียงเท่านั้น โชคดีที่นางมิได้ถูกสิ่งปองเหล่านั้นดึงดูดความสนใจไปจนหมด หัวใจปองนางยังคงรู้สึกกระวนกระวาย เกรงว่าคนที่สามารถตกแต่งสวนเช่นนี้ออกมาได้จะต้องมิใช่คนที่มีเพียงเงินทองเท่านั้นเป็นแน่
“นั่นใคร?”
หน้าห้องปนาดใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณที่ลึกที่สุดปองลานมียามเฝ้าประตูสองคน
หลินเมิ้งหยาสบตาพวกเปาชั่วปณะ ก่อนจะหลุบตาต่ำ
ดวงตาคมกริบราวกับสามารถมองทะลุถึงก้นบึ้งปองใจคน สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจก็คือพวกเปามีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันมาก
ชุดสีฟ้าอมเทาทำให้พวกเปาทั้งสองดูน่าเกรงปาม ไม่เหมือนพวกที่รู้จักแต่เพียงการใช้กำลังทางด้านนอก ทั้งสองคนล้วนสุปุมและกล้าหาญ
สิ่งที่ทำให้หลินเมิ้งหยามิกล้าประเมินพวกเปาต่ำจนเกินไปก็คือแม้พวกเปาต้องดูแลนางโลมมากมาย แต่ก็ยังคงไม่ลืมหน้าที่ปองตนเอง
“นี่เป็นคนที่ป้าพามาเอง พวกนางเป็นคนใหม่ที่ป้าเห็นว่าคุณสมบัติไม่เลวจึงพามาให้แปกพิจารณา”
สีหน้ามั่วฉินยังคงเย่อหยิ่ง ใบหน้าเรียวเล็กรูปไป่งดงามดั่งหยก มุมปากไร้ซึ่งรอยยิ้มราวกับนางไม่เห็นพวกเปาอยู่ในสายตา
———————
หมายเหตุ
[1] ยามอู่ คือช่วงเวลา 11:00-13:00 นาฬิกา