EP.471 หยุนหลิงโหว
ณ วันที่สองพฤษภาคม ฉินอินนำกองกำลังราวสามแสนเดินทางจากมณฑลเทียนชู่ไปยังเมืองห้าหุบเขาด้วยตนเอง
ฤดูใบไม้ผลิทำให้บรรยากาศในเมืองแลดูสดใสและสวยงาม เหล่านกส่งเสียงไพเราะเสนาะหู ดอกไม้บานสะพรั่งเต็มสองข้างทาง หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงนำฉู่เหยา เว่ยโฉว ซือตู่เซิน ฉือเจี้ยนเทาและเหล่าทหารนายอื่นๆ มาต้อนรับองค์จักรพรรดินีพร้อมกับผู้คนราวห้าพัน
องค์จักรพรรดินีควบม้าเข้ามาอย่างเชื่องช้า หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงลงจากหลังม้าก่อนก้าวไปด้านหน้า พวกเขาประสานหมัดอย่างพร้อมเพรียงก่อนกล่าวออก “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
รอยยิ้มอันมีเสน่ห์ผุดขึ้นบนใบหน้าของฉินอิน นางยกฝ่ามือก่อนกล่าวคำออก “พี่อาอวี่และผู้บัญชาการเฟิงทำงานหนักมาโดยตลอด พวกท่านสองประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในศึกทุ่งอัคนี หลังจากกลับไปยังเมืองหลันเยี่ยน ข้าจะตอบแทนท่านทั้งสองอย่างสมเกียรติ!”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”
ขณะนั้นหลินมู่อวี่เหลือบไปเห็นเจิ้งอี้ฝานท่ามกลางฝูงชน เขาขมวดคิ้วพลางพึมพำ “เจิ้งอี้ฝาน…”
เจิ้งอี้ฝานก้าวออกมาพร้อมกล่าว “คารวะท่านผู้บัญชาการหลิน แผนการปล่อยน้ำให้ท่วมทุ่งเพื่อฆ่ากองทัพปีศาจของท่านนั้นหลักแหลมนัก!”
หลินมู่อวี่ไม่กล่าวตอบคำใด เขาหันไปหาฉินฮั่นพร้อมกล่าวอย่างนอบน้อม “ถวายบังคมท่านบรรพบุรุษ กระหม่อมมีนามว่าหลินมู่อวี่ พระเชษฐาของเสี่ยวอินพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินฮั่นมองเขาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลินมู่อวี่ ข้าได้ยินมาว่าท่านมีพลังโซ่เทวะงั้นหรือ? ปล่อยมันออกมา ข้าอยากเห็นว่าโซ่เทวะของเจ้านั้นบริสุทธิ์หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลินมู่อวี่ถอยหลังไปสองสามก้าว ทันใดนั้นโซ่เทวะทั้งเก้าเปล่งแสงสว่างรอบกาย
ฉินฮั่นผงะไปเล็กน้อย “เจ้าทะลวงสู่ขอบเขตปราชญ์ทั้งที่อายุยังน้อยนัก ดูเหมือนว่าจักรวรรดิจะมีด้วยยอดฝีมืออยู่มากทีเดียว เจ้าหนุ่ม พลังโซ่เทวะของเจ้าเกือบทะลวงสู่ขั้นสูงสุดแล้ว น่าประทับใจยิ่ง!”
การที่ฉินฮั่นกล่าวถึงพลังขั้นสูงสุด แสดงว่าพลังโซ่เทวะแต่ละขั้นต้องมีทักษะเฉพาะที่แตกต่างกันไปเป็นแน่
เมื่อความแข็งแกร่งของหลินมู่อวี่ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ วิญญาณยุทธ์สีทองรอบกายพลันกลับเข้าร่างทันที เขากล่าวออกด้วยความเคารพ “ขอบพระทัยสำหรับคำชมพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินฮั่นขี่ม้าเข้ามาใกล้ก่อนจับไหล่หลินมู่อวี่แผ่วเบาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มจาง “ ไม่ต้องมากพิธีหรอก เจ้าเป็นพระเชษฐาของเสี่ยวอินและเป็นลูกหลานของข้า เข้าไปในเมืองกันเถิด!”
“ขอบพระทัยท่านบรรพบุรุษ…”
หลินมู่อวี่มองด้านหลังของฉินฮั่นด้วยความรู้สึกว่างเปล่า จักรพรรดิผู้นี้ไม่ถือตนแม้แต่น้อย ซึ่งแตกต่างกับลั่วหลานผู้เย่อหยิ่งอย่างสิ้นเชิง ทว่าทักษะชีพจรวิญญาณของเขากลับไม่อาจสัมผัสถึงรัศมีพลังอันแกร่งกล้าของฉินฮั่นได้เลย หรือทั้งหมดเป็นเพียงแค่การเสแสร้ง?
ขณะนั้น ถังเสี่ยวซีและชวีฉู่ต่างเข้ามาทักทายกันและกัน ถังเสี่ยวซีคืนกองทหารมังกรผงาดทั้งสี่หมื่นให้แก่หลินมู่อวี่ทันทีที่มาถึง แม้ว่าการต่อสู้จะดุเดือดเพียงใด ความแข็งแกร่งของกองทัพมังกรผงาดก็ทำให้พวกเขาสูญเสียกองกำลังไปเพียงห้าพันราวกับปาฏิหาริย์
กองทัพเสินเวยเกือบหมื่นของเจิ้งอี้ฝานถูกจัดให้ตั้งค่ายอยู่นอกเมือง ขณะนี้หลินมู่อวี่เป็นผู้ควบคุมและจัดการกองทัพทั้งหมดในเมืองห้าทุบเขาและเขาไม่สามารถปล่อยให้กองทัพเสินเวยเข้ามาในเมืองได้
เจิ้งอี้ฝานก้าวขึ้นมาเดินเคียงข้างหลินมู่อวี่โดยที่เขาไม่รู้ตัว จางเฟิ้งที่เดินอยู่อีกด้านหนึ่งกระชับด้ามดาบในมือแน่น หลังจากไม่พบกันมาเนิ่นนาน จางเฟิ้งที่เคยเหลาะแหละไม่ใส่ใจสิ่งใดกลับมีความเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงมากขึ้น สีหน้าของเขาแลดูสุขุมแม้จะยังหลงเหลือความบ้าระห่ำอยู่บ้างก็ตาม
“สามปีที่ผ่านมาท่านเสินโหวไปอยู่ที่ใดมาหรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
เจิ้งอี้ฝานกล่าวตอบอย่างเฉยเมย “ป่าทางตอนเหนือของมณฑลเทียนชู่ ข้าทราบข่าวการสูญเสียเมืองหลันเยี่ยนช้าไปหลายเดือนนักจึงไม่ได้นำกองทัพเสินเวยออกมาช่วย ทว่าหลังจากนั้นข้าก็ได้รับคำสั่งให้ขึ้นเหนือไปตามหาองค์จักรพรรดิฉินฮั่นเพียงลำพัง หลังจากผ่านไปเกือบสองปี ข้าก็ได้พบพระองค์ที่ฝึกตนและอาศัยอยู่อย่างสันโดษในดินแดนหิมะ…ข้าจึงเดินทางกลับมาพร้อมกับองค์จักรพรรดิฉินฮั่นผู้ยิ่งใหญ่เพื่อช่วยเหลือองค์จักรพรรดินี”
หลินมู่อวี่ไม่รู้จะกล่าวตอบสิ่งใด เขานิ่งเงียบขณะปล่อยสายตาไปกับเกือกม้าที่เหยียบย่ำพื้นถนนเบื้องหน้า
เจิ้งอี้ฝานถอนหายใจก่อนกล่าวคำออก “องค์จักรพรรดิฉินฮั่นทรงมีเมตตา ทว่าพระองค์ก็ไม่อยากตายด้วยน้ำมือพี่น้องของตน น่าเห็นใจนัก ส่วนชีวิตของข้าเจิ้งอี้ฝานผู้นี้ก็น่าเศร้าไม่ต่างกัน ข้าเพียงต้องการรับราชการทหารเพื่อช่วยเหลือจักรวรรดิเท่านั้น หาต้องการทำให้องค์จักรพรรดินีเคลือบแคลงใจไม่ ข้าจำเป็นต้องจากเมืองหลันเยี่ยนไปโดยไม่เต็มใจ อีกทั้งยังคิดจะอยู่บนภูเขาจนแก่เฒ่าและตายตกไป ไม่คิดเลยว่าจักรวรรดิอี้เหอจะก่อกบฏ…”
เจิ้งอี้ฝานหันไปมองหลินมู่อวี่ก่อนกล่าวต่อ “ท่านหลิน เมื่อครู่ข้าละอายใจเกินกว่าจะกล่าวต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ท่าน…ยังเกลียดแค้นข้าอยู่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่ส่ายศีรษะก่อนยกยิ้มอย่างขมขื่น “ทุกสิ่งในจักรวรรดิล้วนกลับตาลปัตรไปจนหมดสิ้น ข้าจะเกลียดท่านได้อย่างไร ทว่าข้าและท่านเสินโหวต่างเคยเป็นศัตรูต่อกัน อีกทั้งพี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยังทำลายทะเลปราณของจางเฟิ้งจนยับเยิน ท่านเกลียดข้าหรือไม่?”
เจิ้งอี้ฝานผงะ
จางเฟิ้งด้านข้างสบตาหลินมู่อวี่ด้วยความรู้สึกวูบไหวก่อนกล่าวออก “เหตุใดข้าจึงต้องเกลียดชังท่าน? น้องสาวของข้าและฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนต่างตายตกในเมืองหลันเยี่ยน ท่านหลินมู่อวี่อย่าได้กังวลไปเลยขอรับ ครานี้ทั้งข้าและท่านพ่อตั้งใจกลับมายังเมืองหลันเยี่ยนเพื่อช่วยจักรวรรดิแห่งนี้ ข้าจะไม่ทำให้ผู้ใดต้องอับอายอีก”
“เช่นนั้นก็ดี”
หลินมู่อวี่ประสานหมัดพร้อมกล่าว “ข้าหวังว่าเราจะสามารถร่วมมือกันเพื่อช่วยจักรวรรดิฉินได้”
เจิ้งอี้ฝานและจางเฟิ้งประสานหมัดอย่างพร้อมเพรียง
หลินมู่อวี่ลอบถอนใจอยู่ภายใน สรรพสิ่งบนโลกล้วนแต่ไม่จีรัง วันเวลาไม่เพียงพัดพาความกังวลจากไป แต่ยังชำระล้างความเกลียดชังและเจ็บปวดจนหมดสิ้น ผู้คนต่างแปรผันไปตามกาลเวลา
…
ณ วันที่สิบสี่พฤษภาคม ซูอวี่ เซี่ยงอวี้ หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงกองทัพทั้งสี่ร่วมกันขับไล่เผ่าปีศาจที่เหลือออกจากอาณาเขตของจักรวรรดิจนหมดสิ้น พวกเขายึดกำแพงเหล็กกลับมาและเริ่มการซ่อมแซมทันที
พวกเขาเดินทางกลับสู่เมืองหลวงในวันที่ยี่สิบเก้าพฤษภาคมและได้รับการต้อนรับจากชาวเมืองอย่างยิ่งใหญ่
วันต่อมา พิธีมอบรางวัลถูกจัดขึ้นที่ตำหนักเจ๋อเทียน
ฉินฮั่นเพียงนั่งสมาธิและฝึกฝนตนไปเรื่อยๆ เขาทำเช่นที่กล่าวว่าตนจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในการกลับมาครานี้ จากสถานการณ์ที่ถังหลานและซูมู่หยุนแก่งแย่งอำนาจกันในขณะนี้ก็วุ่นวายมากพอแล้ว
ในด้านกองกำลังทหาร กองทัพของหลินมู่อวี่กับถังเสี่ยวซีรวมกันได้กว่าสองแสน อีกทั้งกองทัพองครักษ์ของเฟิงจี้สิงยังปรับโครงสร้างใหม่และรวบรวมกองกำลังได้ราวห้าหมื่น ซึ่งหมายความว่าขณะนี้ฉินอินมีกองกำลังเกือบสามแสนอยู่ในมือ หลังจากสงครามครั้งแรก กองทัพของมณฑลชีไห่และมณฑลอวิ้นจงก็มีกองกำลังรวมกันกว่าสองแสนซึ่งเกือบจะเทียบเท่ากับกองกำลังของจักรวรรดิ
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินอินรู้สึกมีอำนาจสมกับเป็นจักรพรรดินีอย่างแท้จริง
ฉินอินนั่งลงบนบัลลังก์อย่างเชื่องช้า ชุดคลุมสีขาวน้ำนมขับเรือนร่างของนางให้แลดูงดงามยิ่งขึ้นไปอีก ดวงตาคู่สวยทอดมองหลินมู่อวี่อย่างอ่อนหวาน ขณะที่หลินมู่อวี่ยกยิ้มพลางมองนางด้วยสายตารักใคร่ห่วงหาไม่ต่างกัน
เฟิงจี้สิงกระแอมก่อนกล่าว “พอเถอะ สายตานั่นมันอะไรกัน…”
หลินมู่อวี่พลันรู้สึกขัดเขินจนต้องก้มหน้าพร้อมลูบจมูกอย่างทำอะไรไม่ถูก
พลังยุทธ์ของฉินอินกำลังจะทะลวงสู่ขอบเขตปราชญ์ ประสาทสัมผัสทั้งห้าจึงดีเยี่ยมกว่าปกติจนได้ยินเสียงกระซิบของเฟิงจี้สิง ฉับพลันปรางทั้งสองขึ้นสี นางกล่าวออก “จิ้งเยว่ อ่านพระบรมราชโองการ”
“เพคะ!”
เสนาธิการหญิงขององค์จักรพรรดินีนามว่า ชางกวนจิ้งเยว่ ก้าวไปเบื้องหน้าพร้อมพระราชโองการสีทองในมือก่อนกล่าวคำออก “ในศึกชี้ชะตาของจักรวรรดิในครานี้ เหล่าผู้บัญชาการต่างทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ หลินมู่อวี่ผู้บัญชาการกองทัพมังกรผงาดได้คิดค้นกลยุทธ์อันหลักแหลมขึ้นมาแก้ไขเหตุการณ์วิกฤต ขณะที่เมืองห้าหุบเขากำลังตกที่นั่งลำบากเขาวางแผนล่อกองทัพปีศาจไปยังทุ่งอัคนีและปล่อยให้น้ำท่วมจนกำจัดอสูรเกราะไปกว่าหกหมื่นตน คุณความดีในครั้งนี้ได้นำชัยชนะมาสู่จักรวรรดิ เขาจะได้รับการขนานนามเป็นหยุนหลิงโหวแห่งเมืองห้าหุบเขา! กองทัพองครักษ์ของผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงได้จัดกระบวนทัพอย่างชาญฉลาดเพื่อสกัดกั้นกองทัพปีศาจในป่านิรันดร์และกำจัดกองทัพอสูรเกราะไปกว่าสองหมื่นตน อีกทั้งยังช่วยหลินมู่อวี่สังหารเหล่าปีศาจในทุ่งอัคนี ถือเป็นการกระทำอันอาจหาญนำชัยชนะอันยิ่งใหญ่สู่จักรวรรดิ เขาจะได้รับการขนานนามเป็นหยุนจงโหวแห่งเมืองเฉินหยิ่ง! เสินโหวเจิ้งอี้ฝานยังมีส่วนร่วมในความสำเร็จนี้อย่างยิ่ง เขาจะได้รับตำแหน่งคืนพร้อมเลื่อนยศเป็นแม่ทัพสูงสุด นอกจากนี้กองทัพเสิยเวยจะได้รับการแต่งตั้งเป็นหนึ่งในกองทัพแห่งจักรวรรดิซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบปกป้องชายแดนทางเหนือ! ส่วนแม่ทัพที่เหลือทั้งหมดจะได้รับรางวัลตามความคุณงามความดีของตน!”
หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิงและเจิ้งอี้ฝานก้าวมาด้านพร้อมประสานหมัดกล่าวขอบคุณอย่างพร้อมเพรียง
ศึกในครานี้ได้สร้างโหวถึงสองคนให้กับจักรวรรดิ เวลานี้ตำแหน่งของหลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงเทียบเท่ากับอี้ฝานแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฉินอินพึ่งพาพวกเขามากเพียงใด
ทว่าไม่มีแม่ทัพคนใดจากเมืองหยาดสายัณห์หรือเมืองชีไห่ที่ได้รับการอวยยศอย่างยิ่งใหญ่เลยสักนาย แม้แต่เซี่ยงอวี้ผู้สร้างผลงานมากมายมาโดยตลอดก็ยังไม่ได้รับการเลื่อนขั้น กงทั้งสองจึงค่อนข้างไม่พอใจ
ทว่าถังหลานและซูมู่หยุนกลับไม่กล้ากล่าวสิ่งใด พวกเขารู้ดีว่าเมืองหลันเยี่ยนเปลี่ยนไปแล้ว ฉินอินไม่เพียงได้รับการสนับสนุนจากหลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิงและเจิ้งอี้ฝาน หากแต่ยังมีจักรพรรดิฉินฮั่นคอยช่วยเหลือ แม้ฉินฮั่นจะเป็นคนนอกผู้ไม่ฝักใฝ่ในอำนาจใด เขาก็ยังปฏิบัติกับฉินอินเฉกเช่นหลานสาว ในยามนี้ผู้ใดที่ริอ่านท้าทายอำนาจขององค์จักรพรรดินีคงเป็นการหาเหาใส่หัวโดยแท้
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากศึกครานี้หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงต่างได้รับการแต่งตั้ง ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะกระจายอำนาจของฉินอิน
…
หลังจากการประชุมจบลง ทุกคนต่างกันทยอยออกไป
เหลือเพียงฉินอินและซูมู่หยุนในโถงหลักอันกว้างขวาง
ฉินอินก้าวลงจากบัลลังก์ก่อนเดินเข้าไปคว้าแขนของซูมู่หยุนพร้อมกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ท่านตา อย่าโกรธข้าเลย ในศึกกำแพงเหล็กกับเผ่าปีศาจครานี้ กองทัพเขี้ยวกระบี่และกองทัพฉินหลงแห่งเมืองหยาดสายัณห์ก็กล้าหาญมิน้อย ทว่าในสายตาข้าพี่อาอวี่และผู้บัญชาการเฟิงช่วยเหลือจักรวรรดิไว้อย่างมาก ข้าจึงมอบตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ให้แก่พวกเขา”
ซูมู่หยุนยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของฉินอินแผ่วเบาก่อนกล่าว “เสี่ยวอินของตาโตขึ้นแล้ว ข้ายินดีกับเจ้าจริงๆ เพียงแต่…เมืองเฉินหยิ่งนั้นอยู่ในมณฑลเทียนชู่ซึ่งอยู่ในความดูแลของซูหลง เจ้ามอบเมืองเฉินหยิ่งให้เป็นอาณาเขตของเฟิงจี้สิงเช่นนี้ ข้าเกรงว่าอาจเกิดการไม่พอใจในหมู่ทหารได้”
“ท่านตาจึงต้องช่วยข้าสักหน่อยเพคะ อย่างไรเสียซูหลงก็เป็นนักรบของท่าน”
ฉินอินกะพริบตาพร้อมกล่าว “ผู้บัญชาการเฟิงเก่งกาจเรื่องการรบนัก อีกทั้งเขายังเป็นวีรบุรุษแห่งจักรวรรดิ ท่านตาก็เห็นมิใช่หรือว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์และกล้าหาญเพียงใด ข้ามอบเมืองเฉินหยิ่งแก่เขาก็เพื่อปลอบประโลมจิตใจของผู้คน”
“ข้ารู้”
ซูมู่หยุนโอดครวญก่อนกล่าวต่อ “เจ้าโตขึ้นมาก เช่นนั้นข้าจะมอบเมืองเฉินหยิ่งให้แก่เจ้าแล้วกัน ทันทีที่กลับเมืองข้าจะเขียนสารถึงซูหลงเพื่อสั่งให้เขาถอนกองทัพจากเมืองเฉินหยิ่งและมอบให้เฟิงจี้สิงดูแลต่อไป”
“อื้ม ท่านตาเยี่ยมยอดที่สุด!”
………………………………….