บทที่ 778 พร้อมหน้าพร้อมตา
จวงไทเฮาที่เก็บตั๋วเงินอยู่พลันชะงัก
ฝนตกมาห่าใหญ่ ลมก็กระโชกแรง จวงไทเฮาเงยหน้าแต่ลืมตาแทบจะไม่ขึ้น
นางยังคงนั่งยองๆ ตัวแข็งทื่อบนพื้นเปียกเจิ่งนองอยู่อย่างนั้น ราวกับหญิงชราบ้านนอกที่กำลังเด็ดผักในแปลง
นางชะงักไปเล็กน้อยแล้วก็เก็บตั๋วเงินต่อ
คงเพราะตนคิดถึงเจียวเจียวมากเกินไปแน่ๆ หูจึงได้ฝาด
ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ เจียวเจียวจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“ท่านย่า”
เสียงคุ้นหูดังขึ้นอีกหน เสียงนี้ประชิดอยู่เหนือศีรษะนาง
เด็กหนุ่มสวมชุดกันฝนมะพร้าวกับหมวกสานคุกเข่าข้างหนึ่งลงข้างกายนาง
จวงไทเฮายังคงไม่อาจเหลือบตาขึ้นมองได้ แต่นางชำเลืองไปเห็นหอกพู่แดงอัปลักษณ์ที่เปียกอยู่เล็กน้อยกับดอกไม้ดอกใหญ่สีแดงสดด้ามนั้นแล้ว คุ้นตาจนไม่รู้จะคุ้นอย่างไร
ทว่าจู่ๆ สายตาของจวงไทเฮาก็ไม่ได้เหลือบขึ้นมองต่อ
นางก้มหน้าลง สางผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงปรกข้างแก้มท่ามกลางสายฝน หมายจะสางผมเผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ให้ตนดูแล้วไม่อเนจอนาถเท่าใด
นางขยับนิ้วเท้าชาดิกไปมา ราวกับอยากจะวางมาดนั่งยองๆ ที่ไม่ได้ดูอนาถเพียงนั้น
กู้เจียวโคลงศีรษะมองนาง “ท่านย่า เป็นท่านจริงๆ รึ ท่านมาได้อย่างไร”
คำว่า ‘ท่านย่า’ ในครานี้น้ำเสียงไร้ซึ่งความสงสัยแล้ว นางมั่นใจยิ่งว่าตัวเองเจอคนที่ไม่มีทางมาปรากฏตัวที่แคว้นเยี่ยน และเป็นคนที่ตนห่วงหามาตลอด
หญิงชราพลันน้อยอกน้อยใจขึ้นมา โดนขโมยของไปต่อหน้า ร้อนอุดอู้ในรถม้าเป็นกุ้งสุก โดนลมโดนฝนเทกระหน่ำใส่ ล้มจนลุกแล้วลุกเล่าก็ลุกไม่ขึ้น นางล้วนแต่ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยแม้แต่น้อย
แต่เพียงคำเดียวของกู้เจียวอย่าง ‘ท่านย่า’ ทำเอาความเข้มแข็งของนางพลันพังทลายลง
ราวกับเด็กน้อยโดนรังแกนอกบ้านในที่สุดก็ถูกผู้ปกครองมาพบ
นางเบะปากคว่ำ จมูกพลันแสบ เอ่ยเจือสะอื้น “ไยเจ้าเพิ่งจะมา… ข้ารอเจ้ามาทั้งวันแล้ว…”
กู้เจียวพลันทำอะไรไม่ถูก เอ่ยอย่างตกตะลึง “ขะ ขะ ข้าเดินมาช้า คราหน้าข้าจะระวัง ข้าไม่นั่งรถม้าแล้ว ข้าจะขี่ม้า ขี่ราชาม้าเฮยเฟิง”
หญิงชราไม่เข้าใจว่าราชาม้าเฮยเฟิงมันคืออะไร นางคว้าตั๋วเงินนั่งสะอึกสะอื้นบนพื้นอย่างน้อยอกน้อยใจ
“ข้าไม่ได้ร้อง”
นางเอ่ยอย่างดื้อรั้น
“เอ่อ ใช่ ท่านย่าไม่ได้ร้อง” กู้เจียวรีบถอดเสื้อกันฝนบนร่างมาคลุมให้จวงไทเฮา
“ข้าไม่ใส่ เจ้าใส่ไว้เถิด” จวงไทเฮาเอ่ย นางไม่เพียงปฏิเสธเสื้อกันฝนของกู้เจียวอย่างเดียว ยังจะถอดหมวกสานบนศีรษะให้ด้วย
กู้เจียวห้ามนางไว้
จากแรงกำลังของกู้เจียวนั้น ห้ามหญิงชราคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องยาก
นางผูกหมวกสานกับเสื้อกันฝนให้แน่น ให้จวงไทเฮาอยากถอดก็ถอดไม่ออก
จวงไทเฮาเห็นเข้าก็ไม่ดิ้นอีก นางสูดน้ำมูก ชี้ตั๋วเงินใบหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า “ใบสุดท้ายแล้ว ข้าขาชาแล้ว”
กู้เจียวไปเก็บตั๋วเงินมายื่นให้จวงไทเฮา
จวงไทเฮารับตั๋วเงินมากลับไม่ได้รีบร้อนเก็บไว้ แต่ยื่นให้กับเจียวเจียวด้วยกันกับตั๋วเงินใบอื่น “อ่ะ ให้เจ้า”
หลายปีต่อมา กู้เจียวสามารถจำฉากนี้ได้ตลอดเวลาที่นางควบม้าอยู่ในสนามรบ ฝนเทกระหน่ำ ท่านย่าที่เดินทางไกลเป็นพันลี้ สภาพอเนจอนาถยิ่ง นั่งย่อตัวลงเก็บตั๋วเงินทีละใบที่ปลิวว่อนบนพื้นขึ้นมา เพียงเพื่อจะมอบให้กับนางอย่างไร้รอยขีดข่วน
ตอนที่นางพักอยู่ในมหาวิทยาลัยในชาติก่อน นางไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่าเหตุใดแม่ของรูมเมทถึงเปลี่ยนรถหลายสายมาจากชนบทไกลได้เพียงนั้น เมารถจะแย่ เพียงเพื่อส่งผักดองโหลหนึ่งให้ถึงมือลูกสาวที่อยู่ในหอพักมหาวิทยาลัย
ตอนนี้นางว่านางเข้าใจความรู้สึกนั้นแล้ว
กู้เจียวแบกท่านย่าไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่แถวนี้ แล้วกลับมาแบกจี้จิ่วอาวุโสไปอีกรอบ
“เอาห้องพักสองห้อง” กู้เจียวเอ่ย
จี้จิ่วอาวุโสป้วนเปี้ยนอยู่หน้าประตูสำนักบัณฑิตหลิงโป ทำให้ร้านค้าละแวกนั้นจับตามองอยู่นานแล้ว เดิมทีผู้ดูแลโรงเตี๊ยมจะตรวจสอบตัวตนของผู้สูงวัยทั้งสอง กู้เจียวจึงยื่นป้ายของตำหนักกั๋วซือออกมาให้ดู
ผู้ดูแลพลันตัวแข็งทื่อ “เชิญนายท่าน เชิญนายหญิง! เชิญท่านชายน้อย!”
“เอาน้ำร้อนมาสองถังด้วย” กู้เจียวสั่ง
ผู้ดูแลรีบขานรับทันที “ขอรับ! ขอรับ! จะไปเดี๋ยวนี้!”
จวงไทเฮามองผู้ดูแลที่มีท่าทีเปลี่ยนไป “เจ้าถือป้ายอะไรอยู่จึงใช้ได้ดีเช่นนี้”
ยังนึกห่วงอยู่ว่าพวกเด็กๆ จะมีวันคืนลำบากมากมายเพราะสาเหตุต่างๆ นานา ทว่าเหมือนจะตรงกันข้ามกับที่ตนคิดไว้เสียแล้ว
“ป้ายของตำหนักกั๋วซือเจ้าค่ะ” กู้เจียวตอบตามตรง
จวงไทเฮาตอบอืมเสียงเรียบ
นางกำลังตื่นเต้นกับการได้พบกับกู้เจียวอีกครั้ง จึงไม่ได้ฉุกคิดว่าตำหนักกั๋วซือคืออะไร
แม้ว่าผู้สูงวัยทั้งสองจะนำสัมภาระมาด้วย แต่ก็เปียกฝนจนชุ่มไปหมด
กู้เจียวส่งผู้อาวุโสทั้งสองที่ห้องแล้วจึงไปซื้อเสื้อผ้าสะอาดสองสามชุดที่ร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปละแวกนี้มาให้ ส่วนนางเองใช้เสื้อผ้าสำรองที่อยู่ในรถม้า
วันนี้กู้เจียวเป็นคนมารับเสี่ยวจิ้งคง ใครจะคิดว่าเจ้าหนูน้อยจะเข้าวังไปกับองค์หญิงน้อยแล้ว
จวงไทเฮามุมปากกระตุก เจ้าเณรน้อยใช้ชีวิตที่นี่อย่างสุขสบายเพียงนี้เชียวหรือ สามารถเข้าออกประตูวังต้าเยี่ยนได้แล้ว
“เช่นนั้นเจ้าพกอาวุธมาทำไม”
สมกับเป็นไทเฮา สายเนตรคมกริบจริงๆ
กู้เจียวเกาหัวแก้เก้อ “หมู่นี้ศัตรูค่อนข้างเยอะ เอาไว้ป้องกันตัวเจ้าค่ะ”
จวงไทเฮานั่งอยู่ในอ่างน้ำหลังฉากบังลม ส่งเสียงอืมอย่างสงบ
ราวกับกำลังบอกว่า นี่เป็นวิธีที่ถูกต้องในการเปิดมัน นางรู้อยู่แล้วว่าไม่ค่อยจะสงบสุข นางมาได้จังหวะพอดียิ่ง
ครั้นจวงไทเฮากับจี้จิ่วอาวุโสต่างเก็บข้าวของเรียบร้อย เซียวเหิงก็เร่งรุดมาแล้ว
ตอนที่กู้เจียวลงไปซื้อเสื้อผ้านั้น นางให้สารถีกลับไปที่ตำหนักกั๋วซือ ให้เซียวเหิงมายังโรงเตี๊ยมแห่งนี้
เซียวเหิงยังไม่รู้ว่าท่านย่ากับจี้จิ่วอาวุโสมาหา ครั้นเขาเข้ามาในห้องก็เห็นสองผู้เฒ่านั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ตกอกตกใจจนปากอ้าไม่หุบ
ได้เห็นเซียวเหิงเสียกิริยาเช่นนี้ช่างหาได้ยากนัก
กู้เจียวนั่งอยู่ข้างกายท่านย่า มองเขาอย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวาย มุมปากยกขึ้นน้อยๆ
เห็นได้ชัดว่ากำลังเพลิดเพลินกับสีหน้างุนงงของสามี
พักใหญ่กว่าเซียวเหิงจึงได้สติกลับมา เขารีบเข้าห้องแล้วปิดประตู ลงกลอนไว้พร้อม
“ท่านย่า ท่านอาจารย์” เขาทักทายด้วยความตกใจ
จี้จิ่วอาวุโสกระแอมขึ้นเบาๆ “มาเรียกอาจารย์อะไรล่ะ เดี๋ยวความก็แตกพอดี”
“ท่านปู่” เซียวเหิงแก้ใหม่
จี้จิ่วอาวุโสยกถ้วยชาข้างมือขึ้นมาอย่างพอใจ ดื่มอึกหนึ่งด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน
เซียวเหิงมึนงงไปหมดแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นทั้งหมดนี้ แต่ผู้อาวุโสทั้งสองปรากฏตัวอยู่ที่เซิ่งตูแห่งต้าเยี่ยนอย่างจริงแท้แน่นอน
เซียวเหิงสูดหายใจลึก ข่มความตกใจที่หลงเหลืออยู่ในใจเอาไว้ ถามผู้อาวุโสทั้งสอง “ท่านย่า ท่านปู่ พวกท่านมาที่แคว้นเยี่ยนกันได้อย่างไร”
จี้จิ่วอาวุโสจีบปากจีบคอถาม “เจ้าถามหาสาเหตุ หรือว่าวิธีการเล่า”
เซียวเหิงเอ่ย “ท่านอย่าอ้อมค้อม”
“ก่อนจะตอบคำถามเจ้า เจ้าบอกข้ามาก่อนว่าเกิดอะไรกับใบหน้าเจ้า” จี้จิ่วอาวุโสมองไฝรองน้ำตาตรงใต้ตาขวาของเขาพลางถาม
ไฝเม็ดนี้เดิมทีถูกองค์หญิงซิ่นหยางลบไปแล้ว
เซียวเหิงลูบไฝใต้ตาพลางเอ่ย “วาดเอาขอรับ”
จี้จิ่วอาวุโสเอ่ย “วาดเพื่อการใด”
เซียวเหิง “เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเลย ท่านบอกมาก่อนว่ามากับท่านย่าได้อย่างไร”
จี้จิ่วอาวุโสตีหน้าจริงจัง “ก็เพราะเป็นห่วงพวกเจ้าน่ะสิ พวกเจ้าไปกันตั้งนานแล้ว แม้แต่จดหมายสักฉบับก็ไม่ส่งมา”
พวกเราจากแคว้นเจามาแค่สามเดือนกว่าๆ เท่านั้นเอง พวกท่านออกเดินทางกันมาเมื่อหนึ่งเดือนก่อนกระมัง รอแค่สองเดือนเอง เจียวเจียวไปรบยังนานกว่านี้อีก
“ด้วยวิธีใดเล่า” เซียวเหิงถาม
จี้จิ่วอาวุโสปัดแขนเสื้อ พลางเอ่ยอย่างลำพองไม่น้อย “ปู่เจ้าอย่างข้าปลอมแปลงหนังสือจ้างงานของสำนักบัณฑิตหลิงโปน่ะสิ”
เซียวเหิง “…”
ท่านไม่ต้องเน้นย้ำคำว่าปู่เพียงนี้ก็ได้
ส่วนเหตุใดจี้จิ่วอาวุโสถึงทราบว่าหนังสือจ้างงานของสำนักบัณฑิตหลิงโปหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น ก็เพราะเฟิงเหล่าเคยได้รับมาก่อน ความรู้ความสามารถของเฟิงเหล่าถูกด้อยค่าที่แคว้นเจา แต่ละสำนักบัณฑิตของแคว้นเยี่ยนต่างพากันแย่งตัวเขากันใหญ่ อย่างน้อยๆ หกสำนักที่ออกเทียบเชิญเฟิงเหล่ามา หนึ่งในนั้นมีสำนักบัณฑิตหลิงโปของเมืองเซิ่งตูด้วย
น่าเสียดายที่ถูกเฟิงเหล่าปฏิเสธไป
จี้จิ่วอาวุโสเคยเห็นหนังสือเชิญเหล่านั้น จึงปลอมแปลงจากความทรงจำ
ทว่าสำนักบัณฑิตหลิงโปนั้นมีวิธีการป้องกันการปลอมแปลงหนังสืออันแสนแยบยล เขาปลอมอยู่เดือนกว่าถึงจะสำเร็จ
หากเป็นคนอื่น คงจะปลอมแปลงไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ
กู้เจียวพิงข้างกายท่านย่าฟังสองอาจารย์ศิษย์สนทนากันอยู่เงียบๆ น้อยนักที่นางจะเข้าใกล้คนอื่นเช่นนี้ ดูแล้วเหมือนอิงซุกอยู่ในอ้อมแขนของท่านย่า
ยามนี้นางไม่ใช่ผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิงที่ต่อสู้นองเลือด และไม่ใช่หมอเทวดาหนุ่มที่ช่วยคนบาดเจ็บล้มตายด้วย นางเป็นเพียงเจียวเจียวของท่านย่า
จวงไทเฮาก็ไม่ใช่คนที่ชินกับการใกล้ชิดคนอื่น แต่กู้เจียวอยู่ข้างกายนาง นางจึงลดกำแพงทั้งหมดลง
แน่นอนว่านางไม่ได้เป็นฝ่ายโอบกู้เจียวเข้ามาในอ้อมอกแบบเลี่ยนๆ อย่างนั้น นั่นไม่ใช่นิสัยนาง และไม่สอดคล้องกับนิสัยของกู้เจียว
ความรู้สึกระหว่างทั้งสองมีมากกว่าความใกล้ชิดเพียงผิวเผิน เป็นความรู้ใจที่สามารถจุดประกายชีวิตให้กันและกันได้
หลักๆ มีเพียงเซียวเหิงกับจี้จิ่วอาวุโสที่ต่อบทสนทนากัน
ท่านย่ากับกู้เจียวรับบทผู้ฟังอยู่ในห้อง มองสองอาจารย์ศิษย์คุยกันไปคุยมาจนหนวดปลิว ตาเบิกโต พลางเพลิดเพลินกับความใกล้ชิดและสงบสุขที่ไม่ได้สัมผัสมานาน
ทั้งคู่ต่างรู้สึกดีมาก
มีท่านย่าอยู่ข้างกายช่างดีนัก
ได้มาหาเจียวเจียวแล้ว ช่างดีนัก
…
“เอาละ เล่าเรื่องของพวกเราจบแล้ว ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ย
เขาไม่ได้เอ่ยถึงความลำบากในการเดินทางเลย แต่ขนาดเซียวเหิงกับกู้เจียวยังเดินทางลำบาก นับประสาอะไรกับผู้สูงอายุสองคนอย่างพวกเขา
“เอาละ สถานการณ์ทางพวกเจ้าเล่า” จี้จิ่วอาวุโสกลัวการปลุกใจกะทันหันเป็นที่สุด จึงรีบเร่งเซียวเหิงให้แลกเปลี่ยนข่าวคราวของเซิ่งตู
สถานการณ์ทางพวกเขานั้นค่อนข้างซับซ้อน จู่ๆ เซียวเหิงก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน จึงต้องเริ่มจากตัวตนปัจจุบันของเขากับกู้เจียว
“ว่าอย่างไรนะ เจ้าเข้ามาแทนที่ซ่างกวานชิ่ง กลายเป็นพระนัดดารึ” จี้จิ่วอาวุโสตกใจยกใหญ่ การที่เขากับจวงจิ่นเซ่อมายังเซิ่งตูไม่ใช่เรื่องน่าตกใจที่สุดแล้ว ตัวตนของเจ้าเซียวเหิงต่างหาก!
เซียวเหิงเอ่ยอีก “ลืมเล่าไป ซ่างกวานชิ่งก็คือเซียวชิ่ง ลูกชายของท่านแม่กับท่านพ่อข้า”
จี้จิ่วอาวุโสใคร่ครวญก่อนเอ่ย “ลูกชายขององค์หญิงซิ่นหยางกับเซวียนผิงโหวน่ะรึ เด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือ”
“ขอรับ” เซียวเหิงเอ่ย “ถูกท่านแม่ข้าพามาที่แคว้นเยี่ยนน่ะ”
จี้จิ่วอาวุโสชักตั้งรับไม่ทัน “แม่เจ้าเป็น…”
เซียวเหิงตอบอย่างจริงจัง “รัชทายาทไท่หนี่ว์แห่งต้าเยี่ยน ซ่างกวานเยี่ยน”
ดังนั้นตอนนั้นสตรีที่ถูกเซวียนผิงโหวพากลับมาเมืองหลวงไม่ใช่ทาสสาวแคว้นเยี่ยน แต่เป็นองค์หญิง
เซวียนผิงโหววาสนาดีเพียงนี้เชียวรึ
จวงไทเฮาอย่างไรเสียก็เป็นคนในวัง จึงมีความเฉียบไวและทำใจยอมรับกับเรื่องนี้ได้มากกว่าจี้จิ่วอาวุโส ปฏิกิริยาของนางนับว่าราบเรียบ
แต่ต่อมาเมื่อเซียวเหิงเอ่ยถึงเรื่องของกู้เจียว นางก็นิ่งไม่ไหวแล้ว
บุตรบุญธรรมแห่งจวนกั๋วกง ผู้บัญชาการกองทหารม้าเฮยเฟิง ศัตรูของสิบตระกูลใหญ่…
จวงไทเฮามุมปากกระตุก
นางว่าแล้วว่าเด็กสาวนางนี้จะไม่ก่อเรื่องได้อย่างไร
ดูสิ นางแทบจะก่อเรื่องให้ทั้งเซิ่งตูแล้ว
…ซ้ำยังใช้กำลังของตัวเองด้วย
เซียวเหิงกับจี้จิ่วอาวุโสคุยกันหนึ่งชั่วยามเต็มๆ จึงได้แลกเปลี่ยนข่าวคราวกับหมด
สองผู้อาวุโสพลันเงียบงันกันไป
พวกเด็กๆ หาเรื่องที่นั่นที่นี่ไปทั่ว เคลื่อนไหวใหญ่โต ก็น่าตกใจพอแล้ว พวกเขาต้องการเวลาในการทำความเข้าใจ
เซียวเหิงกับกู้เจียวแม้จะได้รับชัยชนะในช่วงเวลานี้ แต่จากประสบการจนแก่ของจวงไทเฮากับจี้จิ่วอาวุโส วิธีการต่อสู้ของพวกเด็กๆ ยังไม่สมบูรณ์แบบพอ คิดจะลงมือก็ลงมือ ขาดแผนการและความร่วมมือที่รัดกุม
นึกถึงตอนนั้นที่จวงไทเฮาปะทะกับจี้จิ่วอาวุโสอย่างรุนแรงแล้ว นั่นมันตั้งแต่ราชสำนักไปจนถึงวังหลัง จากวังหลังไปถึงราชสำนัก และถึงขั้นส่งผลกระทบทางอ้อมต่อสนามรบด้วย
วิธีการนี้ของเด็กๆ มันหน่อมแน้มนัก
จวงไทเฮาแค่นเสียงตรัส “ตอนนั้นหากเจ้าใช้วิธีไก่กาอย่างอาเหิง ข้าคงเนรเทศเจ้าไปไกลสามพันลี้ ชั่วชีวิตนี้ไม่ได้กลับเมืองหลวงมาแล้ว!”
จี้จิ่วอาวุโสร้องอุทาน “หากตอนนั้นเจ้าใช้วิธีการหน่อมแน้มอย่างเจียวเจียว ข้าก็ทำให้เจ้านั่งอยู่ในตำหนักเย็นจนไปถึงชาติหน้าแล้ว!”
เซียวเหิง กู้เจียว “…”
พวกท่านทะเลาะกันก็ทะเลาะไปสิ อย่าลากพวกเราไปเกี่ยวจะได้หรือไม่
พวกเราขายหน้ากันไม่เป็นหรือไร
อีกอย่างตอนนั้นพวกท่านก็ไม่ต้องปิดบังตัวตน ย่อมต่อสู้ได้อย่างตามใจคิดอยู่แล้ว!
พวกท่านลองมาปิดบังตัวตนอยู่ที่แคว้นเยี่ยนสิ!
น่าโมโหจริง
ทั้งสองคนหันหน้าหนี
“อะแฮ่ม” จี้จิ่วอาวุโสพ่ายแพ้ภายใต้การจ้องอย่างเอาเป็นเอาตายของจวงไทเฮา “อาเหิงเอ๋ย ยามนี้พวกเราพักกันที่ไหนหรือ”
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าคันหนึ่งก็ขับเข้าไปในตำหนักกั๋วซือ
ฝนเพิ่งจะหยุด อวี้เหอยกยาที่ต้มเสร็จเดินมาจากฝั่งตะวันตก มองปราดไปเห็นเซียวเหิงกับกู้เจียวเดินนำผู้สูงวัยแปลกหน้าสองคนเข้ามาในตำหนักฉีหลิน
เขาเอ่ยอย่างฉงน “พระนัดดา ท่านชายเซียว พวกเขาคือ…”
เซียวเหิงเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “พวกเขาเป็นผู้ป่วยของท่านชายเซียว ได้ยินชื่อเสียงจากนอกเมือง ฝนตกหนักไร้ที่ไป ข้าจึงเป็นฝ่ายพาพวกเขามาก่อน เดี๋ยวข้าจะบอกกับกั๋วซือเอง”
อวี้เหอรีบเอ่ย “ไม่ต้องพ่ะย่ะค่ะ แค่เรื่องเล็กน้อย อาจารย์เขาสั่งไว้แล้ว ให้พระนัดดาเห็นตำหนักกั๋วซือเป็นเหมือนบ้านได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
อย่างไรเสียพระนัดดาก็ไม่เคยเกรงใจกับกั๋วซืออยู่แล้ว
ท่านพาพวกหัวมังกุท้ายมังกรในยุทธภพพวกนั้นมาพักก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว ครานี้พาคนป่วยปกติสองคนมาล้วนนับว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีนัก
เซียวเหิงไหนเลยจะรู้ว่าซ่างกวานชิ่งไม่ปกติเพียงนี้ นึกว่ากั๋วซือเป็นคนขี้เกรงใจ
หมู่นี้ในเมืองตรวจเข้มมาก ให้ทิ้งพวกท่านย่าไว้ที่โรงเตี๊ยม เซียวเหิงกับกู้เจียวไม่วางใจ จึงได้พาทั้งสองกลับมาที่ตำหนักกั๋วซือชั่วคราว
แต่ตำหนักกั๋วซือก็ไม่ใช่ที่ที่จะอยู่นานได้ เช้าวันรุ่งขึ้น เซียวเหิงจึงออกเดินทางไปหาเรือนเหมาะๆ หลังหนึ่ง
ห้องปีกข้างที่ตำหนักฉีหลินมีมากมาย ห้องตรงทางเดินฝั่งตะวันออกสิบกว่าห้องมีเพียงเซียวเหิง กู้เจียว ซ่างกวานเยี่ยน เสี่ยวจิ้งคงและพวกคนรับใช้ไม่กี่คนพักอยู่ ยังเหลือห้องว่างอีกไม่น้อย
เพราะเป็น ‘สองสามีภรรยา’ หากพักแยกห้องกันจะน่าสงสัย กู้เจียวจึงให้คนรับใช้เก็บกวาดแค่ห้องเดียว
จี้จิ่วอาวุโสมองห้องกว้างขวาง พลางเอ่ยขึ้นอย่างวิตก “คะ คะ คือว่า คืนนี้ข้านอนพื้นแล้วกัน”
“หึ” จวงไทเฮากลอกตา ไปหากู้เจียวแล้ว
“พระนัดดา!”
นางกำนัลกับขันทีสี่คนที่กำลังทำความสะอาดทางเดินพากันคำนับให้เซียวเหิง
เซียวเหิงผงกศีรษะน้อยๆ “พวกเจ้าไปทำงานเถิด”
“เพคะ” ทั้งสี่คนทำงานกันต่อ
จวงไทเฮาเพิ่งจะเดินมาถึงหน้าห้องกู้เจียว
นางมองนางกำนัลสองนางกับขันทีสองนายที่กำลังทำความสะอาดแวบหนึ่ง
สายตาตกลงบนร่างหนึ่งในนั้น ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย