“เรื่องนั้น…คงไม่รบกวนเจ้าหรอก”
หลินเมิ้งหยาโอบบ่าหงอวี้ ทว่าหัวใจเต้นตึกตักดั่งกลอง
แม้จื่อหยุนจะเก่ง แต่นางเพียงแค่อยากแย่งตัวหลินเมิ้งหยาเท่านั้น นางหาได้มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความทะนงตนว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งหุยชุนฟาง ดังนั้นจึงมิอาจยินยอมให้นางโลมคนอื่นทำตัวเกินหน้าเกินตา
แต่หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่ามั่วฉินผู้นี้แตกต่างจากจื่นหยุนโดยสิ้นเชิง
ตรึกตรองครู่หนึ่ง จื่อหยุนคือบุปผางามแห่งหุยชุนฟาง บางทีนางอาจจะเป็นพี่ใหญ่ที่ทุกคนนับหน้าถือตา แต่เมื่อมั่วฉินปรากฏตัว นางกลับมิกล้าแม้แต่จะถกเถียง
อาจเพราะมิอยากสร้างปัญหาให้กับตัวเอง แต่เรื่องบาดหมางระหว่างสตรีนับเป็นเรื่องธรรมดา
หากมิใช่เพราะจื่อหยุนกลัวเกรงมั่วฉินอย่างยิ่ง เช่นนั้นนางคงไม่รีบหดหัวเก็บหางเดินจากไป
กอปรกับแส้ม้าที่เพียงได้เห็นก็รู้สึกเจ็บปวดอันนั้น หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของตนเองเย็นวาบทั้งยังชื้นเหงื่อ
มั่วฉินยังคงหยักยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ทว่านางกลับเอี้ยวตัวหลบเพื่อเว้นช่องว่างหน้าประตู
“เชิญเถิดคุณชายน้อย พวกผู้ชายด้านล่างล้วนถวิลหาพร่ำเพ้อให้ข้ามั่วฉินดูแลรับใช้ เด็กเช่นเจ้ามิควรปฏิเสธเมื่อโชคลาภมากองตรงหน้า”
วาจาแฝงนัยขู่บังคับอย่างชัดเจน
หลินเมิ้งหยาและหงอวี้ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่มิขยับเขยื้อน หากพวกนางหมุนตัวเดินจากไป นางจะไม่แปลกใจเลยหากแส้ม้าถูกฟาดลงบนหลังของตนเอง
ฝืนหยักยกมุมปาก ตอนนี้หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงประคองสีหน้าให้สงบนิ่ง
พี่สาวคนนี้มาจากไหนกันแน่เนี่ย!
“แน่…แน่นอน แม่นางมั่วฉินงดงามยิ่งนัก…”
ส่งเสียงเยินยอเอาอกเอาใจ ทว่ามั่วฉินกลับหมดความอดทน รอยยิ้มอ่อนหวานเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบจ้องนางเขม็ง
“เข้าไป”
ออกคำสั่งอย่างชัดเจน หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงพยักหน้าคล้อยตาม
เหตุเพราะนางจำประโยคหนึ่งได้ขึ้นใจ หากสู้ไม่ได้ เช่นนั้นจงก้มหัวยอมรับความพ่ายแพ้
ขยับเท้าก้าวเข้าไปในห้องของมั่วฉินพร้อมกับหงอวี้
หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าเวลาผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน
ขณะนี้หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าปล่อยให้จื่อหยุนรบเร้าเซ้าซี้ต่อไปยังจะดีกว่าการเหยียบย่างเข้ามาในห้องนี้
สมองของนางพลันปรากฏภาพเนื้อหนังฉีกขาดหลังจากโดนแส้ตี ซ้ำตนเองยังพยายามร้องขอชีวิตอย่างทรมาน
ล้อเล่นหรือไร หากถูกลงทัณฑ์จะมิส่งเสียงคร่ำครวญอย่างนั้นหรือ?
นางหาใช่ทหารที่พร้อมจะพลีชีพทุกเมื่อ หากเป็นที่ปรึกษาก็ว่าไปอย่าง
“ปัง” เสียงดังขึ้น ประตูด้านหลังพวกนางถูกมั่วฉินปิดอย่างไม่คิดทะนุถนอม
หลินเมิ้งหยาโอดครวญในใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ถึงกับทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องขอชีวิต
หงอวี้ยังคงสงบนิ่ง บางทีนางอาจกำลังคิดว่าในเมื่อมั่วฉินช่วยเหลือพวกนางแล้ว บางทีนางคงไม่ทรมานพวกตนเอง
น่าเสียดาย หงอวี้เพียงแค่คิดเท่านั้น
“เพียะ” เสียงดังขึ้น ข้อมือของมั่วฉินสะบัดแส้ม้าในมือ
เสียงใสกึกก้องทำให้หัวใจของหลินเมิ้งหยาสั่นระรัว ขณะเดียวกันก็ทำให้นางและหงอวี้ตกใจจนเกือบจะสลบไป
สีหน้าของมั่วฉินเริ่มน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
สวรรค์โปรด ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่!
“ในเมื่อเจ้าบอกว่ามีความชอบพิเศษ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าให้ ทุกคนล้วนขนานนามแส้ม้าของข้าว่าแส้ปลิดวิญญาณ คืนนี้ข้าจะขอรับใช้คุณชายดีหรือไม่?”
มั่วฉินเน้นย้ำทีละคำ ขนแขนของหลินเมิ้งหยาชูชัน
หากรู้แต่แรกคงไม่พูดเช่นนั้นออกไปเป็นแน่
ทว่านางเองก็มีประสบการณ์โชกโชน หลังจากตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง จิตใจจึงสงบลง
ถึงอย่างไรแม้คิดจะหนีตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้น เช่นนั้นทำใจประมือกับมั่วฉินดูสักครามิดีกว่าหรือ
มุมปากพลันแสยะยิ้มมีเลศนัย หลินเมิ้งหยาแสร้งแสดงท่าทางหื่นกระหาย
“ไม่มีปัญหา แต่ข้ามิชอบความรุนแรง หากแม่นางมั่วฉินสามารถให้ความร่วมมือได้ เช่นนั้นข้าจะค่อยๆ ทำให้เจ้าเกษมสำราญ”
แหวะ….หลินเมิ้งหยาเกือบจะอาเจียนออกมา นับตั้งแต่ตอนที่ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ นางรู้สึกว่าจิตใจของนางเริ่มต่ำทรามลงทุกทีๆ
ครุ่นคิด เหตุใดตนเองที่เคยหยักยิ้มพูดเล่นได้หลังจากแช่ศพด้วยฟอร์มาลีนเสร็จจึงรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดเหล่านี้กัน
“สมจริงยิ่งนัก เจ้าใช้วิธีนี้รับมือกับจื่อหยุนหรือ? ทั้งที่อายุยังน้อยแต่กลับรู้มากเหลือเกิน หรือว่าเจ้าเองก็เติบโตขึ้นมาในสถานที่เช่นนี้?”
ถูกจับได้แล้ว! หัวใจของหลินเมิ้งหยาสั่นระรัว แม้จะไม่ใช่วิธีการปราดเปรื่องไร้ที่ติ แต่ถึงกระนั้นก็สามารถใช้รับมือกับพวกผู้หญิงได้นี่นา
คิดไม่ถึงเลยว่ามั่วฉินจะไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังฉีกหน้ากากของนางได้อีกด้วย
น่าอึดอัดเหลือเกิน
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าติดตามท่านพ่อและพี่ชายออกเที่ยวตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ มิเช่นนั้นข้าคงไม่รู้จักกับแม่นางหงอวี้มาตลอดหลายปี”
ทั้งที่กำลังพูดจาเลื่อนเปื้อน แต่ใบหน้าของหลินเมิ้งหยากลับไม่แดงเลยแม้แต่น้อย
มั่วฉินไม่รีบร้อนหักหน้านาง กลับกันหันหน้าไปทางหงอวี้พลางบอกเสียงเรียบ
“หุยชุนฟางมิต้อนรับแขกที่เป็นสตรี เจ้าเองก็รู้เรื่องนี้ดีที่สุด ในเมื่อเจ้ากับเด็กคนนี้รู้จักกัน เช่นนั้นข้าจะปล่อยนางไปสักครา อย่าคิดว่าคนที่นี่จะไร้สมองดั่งเช่นจื่อหยุนไปเสียหมด หากมิต้องการทำร้ายนาง เช่นนั้นจงรีบพานางไปเสีย”
มั่วฉินกล่าวออกมาอย่างชัดเจน หงอวี้ทำได้เพียงก้มหน้าลงแล้วพยักหน้าเบาๆ
เมื่อเห็นว่าหงอวี้เข้าใจแล้ว มั่วฉินถอนหายใจ ก่อนจะเลื่อนสายตามองเด็กสาวที่เพิ่งจะสงบนิ่งลงคนนั้น
เด็กคนนี้มีรูปโฉมงดงาม นางโลมแห่งนี้เห็นจะมีเพียงไม่กี่คนที่โดดเด่นเทียบเท่า
เฮ้อ ไม่รู้ว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์จากตระกูลใด หรือนางคิดจะกระโดดลงนรกขุมนี้กัน?
“ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ที่นี่”
หลินเมิ้งหยามองสำรวจมั่วฉินเล็กน้อย นางพบว่าหญิงสาวแข็งแกร่งผู้นี้เป็นคนมีเหตุผล
ภายนอกท่าทีแข็งขืนโหดเหี้ยม ทว่าภายในกลับสุขุมใจเย็นเฉลียวฉลาด มิเช่นนั้นนางคงไม่รู้ว่าตนเองเป็นหญิง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่นางแก้สถานการณ์แทนตนเองและหงอวี้ ครู่ต่อมายังข่มขู่พวกนางทั้งสองอีก ราวกับมั่วฉินผู้นี้กำลังปกป้องนางอย่างไรอย่างนั้น
หากนางเป็นคนจำพวกเดียวกับจื่อหยุน เช่นนั้นนางจะลำบากจัดฉากเช่นนี้ทำไมเล่า?
ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจึงปฏิเสธเสียงแน่วแน่
มั่วฉินยื่นนิ้วเรียวยาวขึ้นนวดขมับ หางตาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“แม่นางน้อย หุยชุนฟางหาใช่สถานที่เที่ยวเล่นของเจ้าไม่ หากเจ้ากลับออกไปตอนนี้ยังคงทันการณ์ แต่หากถูกคนพบเห็นเข้า เจ้าคงมิอาจดำรงตำแหน่งคุณหนูสูงศักดิ์ได้อีก มิวายกลายเป็นดอกไม้โรยราหาเศษเงินอยู่ที่นี่”
น้ำเสียงเจือความเย็นชาอยู่หลายส่วน
นางคิดเพียงว่าหลินเมิ้งหยาคือคุณหนูสูงศักดิ์จอมเอาแต่ใจ หากเตือนแล้วไม่ฟัง เช่นนั้นก็คงโทษใครมิได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะส่ายหน้าพลางเอ่ย
“ข้าไม่ไป มิใช่ว่าข้าเอาแต่ใจตนเอง ข้ามาเพื่อตามหาเพื่อนคนหนึ่ง ข้ามิอาจทนมองนางกระโจนเข้าสู่กองไฟได้”
มั่วฉินคาดไม่ถึง อันที่จริงตลอดหนึ่งปีมานี้มีคุณหนูชนชั้นสูงจำนวนไม่น้อยเข้ามาระรานหาเรื่อง แต่สุดท้ายก็กลับออกไปอย่างเงียบเชียบ
หาคน? เกรงว่าจะมีแต่พวกผู้ชายน่ารังเกียจเหล่านั้นที่ต้องการมาหานางโลมระบายความใคร่ แต่ไหนแต่ไรมามิเคยพบเด็กสาวคนใดมาตามหาเพื่อนมาก่อน
ทัศนคติที่มีต่อเด็กสาวจึงเปลี่ยนไป
“ในเมื่อเพื่อนของเจ้ามาที่นี่ นั่นแสดงว่าโชคไม่ดีนัก วางใจเถิด แม้นที่นี่จะมิใช่สถานที่ที่ดีแต่อย่างใด แต่ขอเพียงนางว่านอนสอนง่ายรับรองว่านางจะไม่มีวันทุกข์ทรมาน เลิกเล่นได้แล้ว เพื่อนของเจ้าจะต้องไม่อยากเห็นเจ้าถูกทำร้ายเพราะนางอย่างแน่นอน”
นี่หมายความว่าอย่างไร? หลินเมิ้งหยารู้สึกไม่สบายใจ
ขัดเจตจำนงของผู้อื่น? แม้นางจะเคยชินกับการถูกบังคับให้ใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือในการหาเงินแล้ว แต่ถึงอย่างไรนี่ก็หาใช่เรื่องที่ดีไม่
บางทีอาจเพราะสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นมั่วฉินจึงยังคงนิ่งเฉยเช่นนี้ แต่นางเป็นเพื่อนของอาซิ่ว หากนางมองในมุมของหญิงสาวคนอื่นที่ถูกจับมาเป็นนางโลม เหตุการณ์เช่นนี้ล้วนน่าสลดหดหู่มิใช่หรือ
“แม่นางมั่วฉิน บางทีพวกเราอาจตกอยู่ในสถานการณ์แตกต่างกัน แต่ข้าคิดว่าคงไม่มีใครยินยอมขายเรือนร่างตัวเองและถูกขังอยู่ที่นี่หรอก ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อนของข้ายังถูกจับตัวมาขาย หากนี่เป็นทางรอดเดียวที่จะมีชีวิตอยู่ ข้าเชื่อว่านางยอมที่จะกลับไปอยู่ข้างกายบิดามารดาและใช้ชีวิตในฐานะคนธรรมดาต่อไป”
เพียงได้ยินคำพูดของนางมั่วฉินก็เลิกคิ้วสูง สายตาเจือไว้ซึ่งความสงสารอยู่หลายส่วน แต่ถึงกระนั้นก็ยังสงบนิ่งเพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากนัก
“แม่นางน้อย เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว มิใช่ทุกคนบนโลกใบนี้จะโชคดีมีครอบครัวผาสุกเช่นเจ้า ไสหัวไปได้แล้ว ที่นี่คือขุมนรกกินคนไม่คายกระดูก หาใช่สถานที่ธรรมดาอย่างที่เจ้าคิด อีกอย่างแม้ว่าพวกเราเหล่านางโลมจะได้รับการฝึกสอนจากแม่เล้ามาตั้งแต่เด็ก แต่ถึงอย่างไรก็มีสิทธิเลือกว่าจะขายตัวหรือไม่ จงบอกชื่อของเพื่อนเจ้ามาเถิด ข้าจะดูแลนางให้ดีเอง”
เพียงได้ยินคำพูดของมั่วฉิน หลินเมิ้งหยารับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง
มั่วฉินกล่าวว่านางโลมที่นี่ล้วนถูกฝึกสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่อาซิ่วเติบโตมากับตงฟางสวี ฉะนั้นนางไม่มีทางถูกแม่เล้าฝึกสอนอย่างแน่นอน!
“ชื่อของนางคือตงฟางซิ่ว ข้าเรียกนางว่าอาซิ่ว นางเป็นคนเมืองเลี่ยหยุน มิทราบว่าแม่นางมั่วฉินรู้จักหรือไม่?”
เอ่ยชื่ออาซิ่วเพื่อถามหยั่งเชิง ทว่าอีกฝ่ายกลับมองนางด้วยแววตาสงสัย
“ไม่มี หุยชุนฟางหาได้มีนางโลมชื่อนี้ไม่”