อีวาเจอลีนสวมเดรสงสั้นสีดำสนิท ชายกระโปรงคลุมแค่ถึงเข่า เผยให้เห็นขาอ่อนที่สมบูรณ์แบบราวกับหยกขาว
ผมยาวสีดำของเธอถูกลมพัดปลิวไสวไปด้านหลัง ใบหน้างามยังหลงเหลือคราบน้ำตาหลังจากเพิ่งถูกต่อยไป
คุณหนูบ้านรวยที่เพิ่งอายุได้สิบเก้าปีผู้นี้ได้เห็นความโหดเหี้ยมและความจริงของสังคมในเวลาสั้นๆ เพียงสองนาที
สองกำปั้น หนึ่งฝ่ามือ หนึ่งเข่า ทำให้เธอเข้าใจแล้วว่าผู้ชายที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้อ่อนโยนขนาดไหน พวกเขาอ่อนโยนเหมือนกับดอกไม้ ไม่มีแรงต่อสู้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้
แม้เธอจะรู้สึกไปเอง แต่ลู่เซิ่งมีพลังแบบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“พวกเราจะไปไหน” อีวาเจอลีนถามเสียงแผ่ว
“ไปที่เพิ่งพบอุโมงค์ใต้ดินก่อนหน้านี้ เธอรู้จักที่นั่นไหม” ลู่เซิ่งถามกลับ
“อุโมงค์ใต้ดิน...รู้สิ คุณลุงของฉันรับผิดชอบการตรวจสอบและวิจัยที่นั่น เขาเป็นศาสตราจารย์สาขาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน...” อีวาเจอลีนอธิบายแผ่วเบา
“ดี พวกเราจะไปที่นั่น” ลู่เซิ่งคิดไปหยั่งเชิงดูความอันตราย ถ้าไม่มีปัญหา ก็จะจัดการแก้ไขเลยทันที ถ้าหากมีอันตราย ก็ถอยกลับมาก่อน ตั้งใจฝึกฝนตอนกลางคืน แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปใหม่
หลังจัดการอุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้แล้ว เขาคิดจะไปดูที่มหาวิทยาลับมิสกา ไม่แน่ว่าอาจจะเจอสิ่งที่ต้องการได้จากที่นั่น
ของบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในโลกใบนี้ทำให้เขาหลงใหล
ไหนจะความลับที่ถูกพบอย่างกะทันหัน ลู่เซิ่งคนเดิมซุกซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่ สถานะของเขาคืออะไร เหตุใดจึงมีสัญลักษณ์เหมือนเทพนอกรีตอยู่ด้วย เรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาที่จำเป็นต้องตอบให้หมด
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันชั่วขณะ เพียงขับรถอย่างเดียว
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงกว่า รถโบราณก็จอดลงบนเขตถนนที่กางเส้นกั้นสีเหลืองไว้มากมาย
ด้านในเส้นกั้น บนพื้นถนนที่เดิมทีลาดยางมะตอยไว้กลับเต็มไปหมดมีหลุมใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางห้าหกเมตร ขอบของหลุมไม่มีรูปทรงแน่นอน ด้านในล้ำลึกดำมืด มองอะไรไม่เห็นสักอย่าง เหมือนกับปากสัตว์กินคน
“ถึงแล้ว ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เลยไม่มีคนแถวนี้ คุณมาทำอะไรที่นี่” อีวาเจอลีนข่มความสงสัยในใจไม่อยู่ เอ่ยถามเสียงเบา
ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจเธอ หากเปิดประตูลงรถไป
เขาเดินวนรอบปากหลุมดูก่อน มองออกว่ารอบข้างนี้เดิมทีมีร้านค้ากับตึกอยู่อาศัยไม่น้อย แต่เวลานี้คล้ายเป็นเพราะหลุมขนาดยักษ์นี้ จึงไม่มีใครเลยสักคนเดียว
แม้แต่คนเดินถนนก็มีน้อยมาก
ความเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากปากหลุม ทำให้คนที่อยากรู้อยากเห็นยังอดที่จะหลบเลี่ยงที่นี่ไปไกลๆ ไม่ได้
“คุณจะทำอะไร อยู่ที่นี่นานไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นจะไม่สบายเอา ก่อนหน้านี้มีคนไม่น้อยอยู่ที่นี่สักพักใหญ่ ไม่นานก็ต่างล้มหมอนนอนเสื่อ ฉันไม่อยากจะเห็นป้าไคลีเสียใจนะ” แม้อีวาเจอลีนจะถูกทุบตีมาหลายที แต่เนื้อแท้ยังเป็นคนดี ตอนนี้ได้สติกลับมา รีบลงจากรถตามมาเกลี้ยกล่อมลู่เซิ่ง
“เธอกลับไปก่อนเถอะ ฉันมาที่นี่เพราะมีเรื่องต้องทำ” ลู่เซิ่งสั่ง
“คุณ…!?” อีวาเจอลีนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคุยกับคนโง่ อันตรายของที่นี่ไม่ใช่ธรรมดา ความเย็นเยียบที่ลอยออกมาจากปากหลุมนั้น ต่อให้เป็นทหารที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำก็ไม่อาจทนไหว ยิ่งอย่าว่าแต่เขาที่เป็นแค่ตำรวจธรรมดาเลย
ลู่เซิ่งไม่สนใจเธอ เขาพบปัญหาสำคัญแล้ว
หลุมนี้มีปัญหาจริงด้วย
“เธอกลับไปก่อน ฉันจะลองดูสถานการณ์รอบๆ” ลู่เซิ่งพูดจบก็ไม่ได้สนใจเธออีก เหลียวมองรอบข้างไม่นานก็เจอฝาปิดท่อระบายน้ำแผ่นหนึ่ง
เขาวิ่งเข้าไปเปิดฝาท่อเบาๆ แล้วหย่อนตัวกระโดดลงไป
อีวาเจอลีนอ้าปากตาค้าง
ในทางระบายน้ำใต้ดินที่มืดมิด
ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงบนพื้นหินแข็งตรงริมขอบอย่างมั่นคง ตรงกลางคือน้ำสกปรกของทางระบายน้ำใต้ดินที่กำลังกระเพื่อม
อากาศเหม็นฉุนไหลเวียนอยู่ในท่อระบายน้ำตามกระแสลม
เขากวาดตามองรอบด้านแยกแยะทิศทาง จากนั้นก็วิ่งไปยังด้านในอุโมงค์
วิ่งไปได้ไม่ไกลเท่าไร ไม่นานเขาก็เจออุโมงค์มืดที่ใหญ่โตและดำทะมึนฝังอยู่บนกำแพง
‘ที่นี่นี่เอง…’ ลู่เซิ่งเดินเข้าไปในความมืด
ดวงตาปรับตัวอยู่หลายวินาที คุณสมบัติร่างกายที่ไปถึงขีดจำกัดจนแข็งแกร่งทำให้เขามองเห็นภาพในถ้ำชัดเจนอย่างรวดเร็ว
หนูตาสีแดงขนาดต่างๆ รวมตัวกันอยู่ตามมุมอุโมงค์ กำลังกัดกินอะไรบางอย่างอยู่
บนกำแพงจะเห็นผิวผนังที่ถูกขัดจนเรียบหลายแห่ง ถูกใช้สีย้อมที่เหมือนกับเลือดเขียนอักขระตัวอักษรหลายแถวเป็นระยะ
เขารู้จักสัญลักษณ์อักขระเหล่านี้ ต่างเป็นภาษาภัยพิบัติฉบับตัวอักษร บางทีคนบนโลกใบนี้อาจไม่รู้จัก แต่ร่างหลักของเขาเคยเห็นมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งแล้ว
ภาษาประหลาดที่ไม่จำกัดสำหรับเผ่าพันธุ์ใดๆ นี่เป็นหนึ่งในภาษาที่แพร่หลายที่สุดในจักรวาลนับไม่ถ้วน
ลู่เซิ่งอาศัยแสงเล็กที่สาดลงมาจากพื้นอุโมงค์ มองไปยังผนังด้านในสุด แยกแยะตัวหนังสือที่สลักไว้บนนั้น
‘บุตรแห่งเซลาเซียน ผู้ดูแลแสงสว่างและสายน้ำในตำนาน ’
‘พวกมันคือสัญลักษณ์ของแสงและน้ำ พวกเขาข้ามผ่านโลกและจักรวาลมากมาย พวกเขาคือบุตรแห่งร่างองค์รวมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด…’
‘ยิ่งใหญ่ สูงตระหง่าน ยากบรรยาย เป็นชายขอบตัวแทนความไร้ระเบียบและความโกลาหล มิติจักรวาลไร้ระเบียบอยู่แล้ว ระเบียบที่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาได้แต่สาดส่องพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น ส่วนใหญ่คือความโกลาหล ความสับสน ความว่างเปล่า…เป็นถนนที่จะต้องเดินจากความโกลาหลไปสู่ความพินาศ’
อักขระต่อจากนั้นพร่ามัว ลู่เซิ่งอ่านไม่ออก แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เขาวิเคราะห์ได้มากกว่าเดิมแล้ว
เขาเดินไปยังด้านหน้าสัญลักษณ์อักขระสีแดงฉานอีกแห่งหนึ่ง
‘การรับรู้สิบสามชั้นของชีวิต...การดู การฟัง การได้ยิน การดมกลิ่น การสัมผัส เป็นเพียงห้าชนิดพื้นฐานที่สุด โลกที่ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นโครงสร้างไม่ใช่โลกที่สมบูรณ์…มีแต่การปรับปรุงตัวเอง โดยดูดซับและปลูกถ่ายตัวตนที่มีการรับรู้สูงกว่า หรือดูดซับอวัยวะส่วนหนึ่งของพวกมันเท่านั้น ถึงจะบุกเบิกเส้นทางที่มุ่งสู่ความสมบูรณ์แบบมากกว่าเดิมได้’
“อวัยวะหรือ” ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย
“เห็นแล้วหรือยัง นี่ก็คือการยกระดับต้นฉบับ…” อยู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นใกล้เขา
“การยกระดับต้นฉบับหรือ” น้ำเสียงของลู่เซิ่งสูงขึ้นเล็กน้อย
ดวงตาสีแดงที่เหมือนกับโคมไฟคู่หนึ่งค่อยๆ เปล่งแสงขึ้นด้านหลังเขา
สิ่งที่ตามมาด้วยยังมีสำเนียงแหบพร่าที่ทุ้มต่ำและแปลกประหลาด
“ใช่แล้ว การยกระดับต้นฉบับ…ตอนแรกข้านึกว่า ผู้ที่ฆ่าหมีดำจะเป็นตัวกลายพันธุ์ท้องถิ่นทั่วไป…ตอนแรกคิดจะกินเจ้าโดยตรง แต่หลังจากคอยสังเกตเจ้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนมาหลายวัน ถึงกับค้นพบสัญลักษณ์โบราณที่อยู่บนร่างเจ้าอย่างเหนือความคาดหมาย…”
เสียงแหบพร่านั้นว่าต่อไป
“อ้อ? แกพบอะไร เกี่ยวกับฉันงั้นหรือ” ลู่เซิ่งถามกลับหน้าตาย
“บนตัวเจ้ามีสัญลักษณ์เนตรเหยี่ยววัฏปฐม…ขอทายหน่อยนะ…เหยี่ยวแห่งวัฏปฐมสืบทอดมาถึงยุคนี้ได้หลายดาราสมัยแล้ว…ขุมกำลังขององค์กรที่ลึกลับและแข็งแกร่งเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตแห่งความว่างเปล่าทั่วไปอย่างข้าไม่กล้าหาเรื่อง…ดังนั้น…เจ้าที่มาถึงจักรวาลเขตดาวนี้ได้ สมควรจะอยู่ในระดับต่ำของเหยี่ยววัฏปฐมเท่านั้น…”
ดวงตาที่เหมือนโคมไฟนั้นจ้องเขม็งมาที่ลู่เซิ่ง สังเกตการเคลื่อนไหวเล็กๆ ทั้งหมดของร่างกายเขา
“ดูเหมือนข้าจะทายถูกสินะ…” เขาค้นพบต่อมภายในหลายชนิดที่กำลังเร่งความเร็วภายในร่างลู่เซิ่ง
“ขอข้าทายอีก...ก่อนหน้านี้ไม่นาน...สักสองสามร้อยปีก่อน ได้ยินมาว่าเหยี่ยววัฏปฐมเปลี่ยนผู้นำอย่างกะทันหัน…ทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ยาลีด ผู้แย่งชิงความว่างเปล่า ทั้งสองฝ่ายได้รับความเสียหายอย่างหนัก…เผ่ายาลีดได้คว้าชัยไป ส่วนเหยี่ยววัฏปฐมก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ซ่อนตัวเพื่อรักษาชีวิต...เอาล่ะ…สหายที่รัก บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้ามาที่นี่ มาที่ดาวเคราะห์ดวงนี้เพราะเป้าหมายอะไร”
ความคิดของลู่เซิ่งทำงานเร็วจี๋ ขณะดูดซับย่อยสลายทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูด และอนุมานขยายความข้อมูลทั่วไปที่เขารู้ได้ออกมามากกว่าเดิมผ่านคำศัพท์สั้นๆ เหล่านี้
“แกแน่ใจเลยหรือว่าฉันต้องเป็นคนของเหยี่ยววัฏปฐมแน่แท้ ดูแค่อักขระโบราณเนี่ยนะ” ลู่เซิ่งย้อนถาม “แกไม่กลัวว่าฉันจะปลอมตัวมาเหรอไง”
“พอได้แล้ว เจ้าเป็นศัตรูคู่แค้นกับยาลีด ผู้แย่งชิงความว่างเปล่าพวกนั้นโหดเหี้ยมกระหายเลือด ตอนนี้มีอำนาจมากล้น ถ้าจะปลอมเป็นใครสักคนก็คงไม่ต้องถึงขั้นปลอมเป็นคนที่อาจจะถูกตามฆ่าตายได้ตลอดเวลาหรอก” สัตว์ประหลาดตัวนั้นยิ้มเยาะ
“ขอบอกเจ้าตามจริงก็แล้วกัน ที่นี่คือเขตแดนของราชาแห่งวารี ราชาแห่งวารีผู้เก่าแก่ที่กำลังหลับใหล แต่พลังของท่านได้ฉายออกมาปกคลุมจักรวาลมากมายและดาราจักรนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว เจ้ามาที่นี่ นอกเสียจากว่าแองจีเซียผู้นำแห่งเหยี่ยววัฏปฐมจะมารับเจ้าออกไปเอง ไม่อย่างนั้น…”
มันไม่ได้กล่าวคำพูดต่อจากนั้นอีก ไม่ใช่มันไม่อยากพูด แต่เพราะอยู่ๆ มันก็เห็นบางสิ่งบางสิ่งที่ปรากฏออกมาจากร่างลู่เซิ่งเอง
แองจีเซีย
ลู่เซิ่งตัวสั่น ทันทีที่ได้ยินชื่อพิเศษนั้น เสียงของแองจีเซียก็ดังสะท้อนในหัวสมองของเขาอย่างต่อเนื่อง ชื่อนี้เหมือนกับกุญแจสำหรับไขประตู ขุดค้นความทรงจำที่ซ่อนในส่วนลึกของร่างกายออกมาในพริบตา
ชั่วพริบตานั้น ความทรงจำจำนวนเหนือคณานับแวบผ่านห้วงสมองของเขา
เหยี่ยววัฏปฐม…องค์กรเทพนอกรีตที่ยิ่งใหญ่และเหี้ยมหาญถึงที่สุดในจักรวาลอันว่างเปล่า ครั้งหนึ่งในการต่อสู้กับศัตรูคู่อาฆาต พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการทรยศของสมาชิกคนสำคัญ เดิมทีพวกเขาคิดจะหลบซ่อนตัวเอง รักษาชีวิต เพื่อที่จะได้ผงาดขึ้นอีกครั้ง
ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายก็คือ สมาชิกของพวกเขาดับสูญไปทีละคนๆ ตามกาลเวลา ขุมกำลังเล็กลง สูญหายและพินาศอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งเหลือคนสุดท้าย ผู้นำสุดแข็งแกร่งที่มีนามว่าแองจีเซีย
ผู้นำผู้นี้มีสติปัญญาและพลังไร้เทียมทาน เขารวมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน แล้วข้ามผ่านกระแสวังวนมิติเวลา เหาะเหินไปยังโลกมารสวรรค์ ดินแดนปลายทางของทุกจักรวาลอย่างสุดกำลัง
ณ ที่แห่งนั้น เขาได้พกพาจิตปณิธานที่ต้องการแก้แค้น สิ้นหวังและหวาดกลัว กลับชาติไปเกิดเป็นกายเนื้อของลู่เซิ่ง
เขาคือผู้นำแห่งเหยี่ยววัฏปฐม แม้จะไม่มีใครรู้ว่า ในเวลานี้องค์กรใหญ่ยักษ์ที่เคยถึงขั้นสั่นสะเทือนความว่างเปล่าเหลือแค่คนผู้เดียว สามารถดับสลายเป็นควันเมฆได้ตลอดเวลา แต่บารมีของเหยี่ยววัฏปฐมยังคงเลื่องลืออยู่ในความว่างเปล่า
ตามแผนการเดิมของเขา ลู่เซิ่งจะเติบโตไปถึงอายุสามสิบ จากนั้นสัญลักษณ์ในตัวจะระเบิดออก แล้วเดินบนเส้นทางกลืนกินทุกสิ่งด้วยสัญญะแห่งเทพนอกรีต
ทว่าเพราะแผนการของศัตรูและผู้ทรยศ ทำให้กายเนื้อร่างนี้เกิดจิตแข็งแกร่งดวงใหม่ขึ้น
ดังนั้นการต่อสู้จึงเริ่มต้น จิตที่ถือกำเนิดจากกายเนื้อที่เดิมทีแข็งแกร่งอยู่แล้วนั้นจึงป่าเถื่อนและร้ายกาจสุดขีด
และผลลัพธ์ในภายหลัง ก็เป็นอย่างที่ลู่เซิ่งทราบ เขาเป็นฝ่ายที่สามเป็นชาวประมงฉวยโอกาส
“นี่คือสัญญะแห่งเทพนอกรีตที่เจ้าปลอมแปลงซ่อนเร้นหรือ” สัตว์ประหลาดหัวเราะขึ้นด้านหลังเขา
“กลิ่นอายที่ชัดเจนขนาดนี้ ต่อให้เจ้าไม่ซ่อนก็มีค่าเหมือนกัน…”
อยู่ๆ เสียงของมันก็ขาดหายไป สัตว์ประหลาดก้มหน้ามองพื้น
บนพื้นข้างใต้คนทั้งสองมีลวดลายประหลาดสีแดงอมม่วงหลายสายแผ่ขยายออกมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
เวลานี้ลู่เซิ่งที่เมื่อครู่ยังยืนอยู่บนพื้นถูกปกคลุมด้วยผลึกสีม่วงก้อนหนาเหมือนชั้นน้ำแข็ง ผลึกนั้นหนาตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปลดปล่อยความเย็นยะเยือกออกมา
ลู่เซิ่งสัมผัสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วร่างตนอย่างกะทันหันด้วยความงุนงง ก้มหน้ามองอกของตัวเอง
ตรงนั้นมีตัวเลขตัวหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ เป็นตัวเลขสีแดงอมม่วงที่เขียนด้วยภาษาภัยพิบัติว่า 32
“นั่นมัน…นั่นมันตราประทับแก้แค้น…เทพนอกรีตคืนชีพ…ตราประทับแก้แค้นที่เหลืออยู่…ยังเหลืออีกสามสิบสองปีหรือ…” น้ำเสียงหวาดกลัวของสัตว์ประหลาดทำให้ลู่เซิ่งได้สติ
“อะไรคือสามสิบสองปี” ลู่เซิ่งรีบหันไปคว้าผิวเหี่ยวย่นของสัตว์ประหลาดไว้
“เจ้าจบสิ้นแล้ว! อีกสามสิบสองปี ของในตัวเจ้าจะระเบิดออกมาและคืนชีพ มีบางอย่างกำลังจะคืนชีพบนร่างเจ้า!”
“ไม่…ไม่ใช่ เป็นเหยี่ยววัฏปฐม…! เทพนอกรีตจากเหยี่ยววัฏปฐมจะคืนชีพบนตัวเจ้า!” สัตว์ประหลาดพลันได้สติ
“เจ้าคือ…เมล็ดกาฝาก! กายเนื้อที่เทพนอกรีตใช้สำหรับเกิดใหม่! สวรรค์!” สัตว์ประหลาดร้องโหยหวน
……………………………………….