ตอนที่ 412 พลังเจืออานุภาพ
จี้หยวนส่งเสียงหัวเราะเบิกบานอยู่ภายในห้อง พวกอักษรจิ๋วซึ่งจับตามองอยู่ข้างนอกตลอดเหมือนรู้ว่านายใหญ่น่าจะทำเรื่องอะไรสำเร็จ บรรยากาศตึงเครียดก่อนหน้านี้ผ่อนคลายลงแล้ว
เอ้ก… อี้เอ้กเอ้ก…
เวลานี้ไก่ตัวผู้ของตรอกเทียนหนิวเริ่มขันอย่างต่อเนื่อง ไก่ตัวผู้ทั่วรัศมีอำเภอหนิงอันต่างเริ่มขันในเวลาไล่เลี่ยกัน
เมื่อได้ยินเสียงไก่ขัน ต่อจากนี้นายใหญ่คงตื่นขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี พวกอักษรจิ๋วตื่นเต้นทันที
“เอ้ก… อี้เอ้กเอ้ก…”
“เอ้ก… อี้เอ้กเอ้ก…”
“ฮ่าๆๆ ข้าร้องเหมือน!”
“ข้าต่างหากที่เหมือน!”
“เอ้ก… อี้เอ้กเอ้ก…”
“ข้ายิ่งเหมือนกว่า!”
…
พวกอักษรจิ๋วเลียนเสียงไก่ขันดังต่อเนื่องเป็นระลอกอยู่ข้างนอก ไม่ว่าเจอเรื่องเล็กอะไรพวกเขาล้วนนำมาประยุกต์ได้ กลายเป็นประเด็นถกเถียงหรือบ่อเกิดความสุข
“หึๆ เจ้าตัวน้อยพวกนี้มีอิสระสุขนัก”
หากพูดตามนัยบางอย่าง หลายครั้งอักษรจิ๋วพวกนี้ถือว่าสอดคล้องกับท่วงทำนองมรรคเซียน
จี้หยวนหัวเราะคราหนึ่ง ถือยันต์จอมพลังในมือลุกขึ้นจากที่นั่ง
เดินมาหน้าประตูก่อนเปิดประตูห้องดังแอ๊ด จากนั้นจึงเดินเนิบช้ามาตรงลาน ระหว่างนี้พวกอักษรจิ๋วพากันล้อมเข้ามา ความสนใจล้วนจดจ่ออยู่กับมือจี้หยวน
“คนกระดาษ?”
“เมื่อคืนนายใหญ่หลอมเจ้าสิ่งนี้หรือ”
“เจ้าคนหน้าแดงก่ำนั่นหรือ”
“ส่วนที่เป็นผิวหนังแดงหมดหรือไม่”
“ก้นแดงเหมือนลิง!”
“ฮ่าๆๆๆ…”
…
จี้หยวนไม่สนใจอักษรจิ๋วโดยรอบ เหวี่ยงยันต์จอมพลังในมือไปข้างหน้าจากริมโต๊ะกลางลาน ปากกล่าวเสียงเบา
“จอมพลังอยู่หรือไม่”
แสงทองสายหนึ่งวาบผ่าน ขุนพลเทพจอมพลังร่างกำยำ สวมเกราะทองนุ่งผ้าเหลืองหน้าแดงก่ำปรากฏตัวกลางลาน
จอมพลังหันหน้าเข้าหาจี้หยวน สองมือประสานค้อมตัวช้าๆ กล่าวด้วยเสียงเหมือนระฆังกังวานทุ้มต่ำ
“นายใหญ่”
จอมพลังไม่เหลือบมอง ร่างกำยำเกราะทองอร่าม อานุภาพน่าครั่นคร้ามอบอวล พวกอักษรจิ๋วซึ่งกำลังหยอกล้อกันอย่างเบิกบานเบาเสียงตามจิตใต้สำนึก จากนั้นค่อยล้อมรอบตัวจอมพลังเงียบๆ
ต่อให้อักษรจิ๋วโดยรอบส่งเสียงเซ็งแซ่ข้างกายไม่หยุดก็ยังไม่อาจทำให้สายตาจอมพลังหมุนเคลื่อน
หลังจากจี้หยวนขานรับว่าอืม จอมพลังเกราะทองค่อยหยัดร่างขึ้น ผ่อนสองแขนลงข้างตัว สายตามองจี้หยวนเล็กน้อย นอกจากนี้แล้วไม่สนใจสิ่งอื่นอีก
เอาล่ะ ท่าทางไม่เห็นใครในสายตายังเหมือนเดิม
ใช่ว่าจี้หยวนผิดหวัง แม้ว่าจอมพลังเกราะทองตนนี้ยังเหมือนเมื่อก่อนตั้งแต่ท่าทางจนถึงรูปลักษณ์ภายนอก แต่เขารู้ดีว่าจอมพลังตนนี้แตกต่างออกไปแล้ว
พวกอักษรจิ๋วล้อมรอบตัวจอมพลังเกราะทองพลางจ้องมองอย่างสงสัยใคร่รู้ แม้ว่าพอรู้เรื่องยันต์จอมพลังมาบ้างแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เพิ่งเคยเห็นจอมพลังเกราะทองที่แท้จริงใกล้ขนาดนี้เป็นครั้งแรก
แต่ละตัววิพากษ์วิจารณ์อยู่ตรงนั้น คุยกันว่าจอมพลังมีแรงกำลังมากแค่ไหนกันแน่
ฝ่ายอักษรจิ๋วยังคุยไม่หยุด จี้หยวนออกคำสั่งกับจอมพลังเกราะทองแล้ว แค่ขับเคลื่อนความคิด จอมพลังเกราะทองซึ่งเดิมยืนขึงขังเคลื่อนไหวแล้ว
“หลบหน่อย อย่าถูกซัดปลิวเล่า”
จี้หยวนกล่าวเตือนประโยคหนึ่ง บอกให้พวกอักษรจิ๋วแยกย้าย
ตอนนี้ร่างจอมพลังเกราะทองเอนไปด้านหลังเล็กน้อย ขาซ้ายก้าวโค้งดุจคันศร แขนซ้ายทำมือป้องข้างหน้าแขนขวากำหมัดดึงไปด้านหลัง ผ้าเหลืองหน้าหลังทิ้งตัวลงพื้น ภายใต้ฝ่าเท้ามีพลังพิเศษยากสังเกตเห็นอบอวลรางๆ
จอมพลังเกราะทองเหยียดกายเล็กน้อย ทั้งตัวเหมือนธนูง้างจนตึง การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ยิ่งส่งผลกระทบต่อกลิ่นอายกลางอากาศโดยรอบ นำมาซึ่งความรู้สึกตึงเครียด พวกอักษรจิ๋วหนีห่างไปนานแล้ว มองจากสถานที่ห่างไกลอย่างบนต้นไม้หรือหลังเสาหน้าห้อง
“ฮ่า…”
จอมพลังเกราะทองตวาดเสียงทุ้มต่ำหนักแน่นคราหนึ่ง ขณะเดียวกันเขามองไปข้างบนก่อนเหวี่ยงหมัดออกไป
กำปั้นสร้างเสียงแหวกอากาศระลอกหนึ่ง ซัดหมัดทแยงไปกลางอากาศด้านบน
ตึง…
พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย
หมัดทลายอากาศจนเกิดเสียงทึบหนักจากการระเบิด จี้หยวนรับรู้จุดที่หมัดกระทบอย่างชัดเจน เกิดการระเบิดจากกระแสลมบีบอัด ในสายตาคนทั่วไปอาจมองไม่ออก แต่ในสายตาจี้หยวนกระแสลมตอนนี้เหมือนแบ่งสีชัดเจน
คล้ายหยุดนิ่งชั่วขณะ ครู่ต่อมา…
วู้ม…
กระแสลมบิดเบี้ยวก่อปราณคลื่นคลั่งระห่ำ แผ่กระจายรอบฟ้าเบื้องบน
ฮูม… ซ่า… ซ่า…
กิ่งก้านต้นพุทราส่ายสั่นรุนแรง กลางลานฝุ่นฟุ้งตลบ แม้แต่เถ้ากระดาษบนพื้นห้องนอนจี้หยวนยังลอยขึ้นมาหมด คล้ายว่ามีลมวนเข้าเรือนสันติพอดี หมุนจนฝุ่นฟุ้งตลบ
ครู่ใหญ่กลิ่นอายนี้ค่อยสงบลง แขนเสื้อโบกพลิ้วของจี้หยวนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง จอมพลังเกราะทองเก็บหมัดช้าๆ ยืนนิ่งข้างโต๊ะใหม่อีกครั้ง
จี้หยวนลูบจอนผมปอยหนึ่งที่ถูกลมคลั่งพัดไปด้านข้างกลับมาจุดเดิม เงยหน้ามองไปยังทิศทางซึ่งจอมพลังเกราะทองออกหมัด รู้สึกว่ากลิ่นอายกลางอากาศยังกระเพื่อมไหวไม่หยุดอยู่รางๆ มีปราณขาวหลายชั้นวนรอบท้องฟ้าซึ่งอยู่ห่างไกล จากนั้นค่อยสลายไปช้าๆ
“ก่อนหน้านี้เด่นแค่พลัง ปัจจุบันทดลองดู ไม่ใช่แค่พลังแข็งแกร่งขึ้นบางส่วน แต่ยังเจืออานุภาพบางอย่างด้วย ไม่เลว!”
จี้หยวนกล่าวชมประโยคหนึ่ง ถือว่าค่อนข้างพอใจจอมพลังเกราะทองตนนี้ พลานุภาพเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเปี่ยมอานุภาพ แต่หลอมรวมทักษะการใช้พลังเข้าไป ยากกว่าการใช้พลังอย่างเดียวมากนัก
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างนิ่งสงบลง ความกล้าของพวกอักษรจิ๋วค่อยกลับมา ทยอยล้อมเข้ามาใหม่อีกครั้ง
“นายใหญ่หลอมจอมพลังตนนี้ทั้งคืนหรือ”
“ข้าว่าใช่!”
“เจ้าหมอนี่เกือบซัดโดนกิ่งต้นพุทราแล้ว”
“ใช่ ไม่ระวังเกินไปแล้ว!”
“นี่ยังเรียกว่าไม่โดนหรือ!”
“แค่เกือบ!”
“ทั้งตัวเขาเป็นสีแดงหรือ ก้นแดงด้วยหรือไม่”
“เขาเหมือนไม่หายใจด้วย”
“ไม่ใช่ เขาหายใจ แต่แค่ดูดซับปราณวิญญาณ!”
“อืม หายใจช้ามาก!”
“ตัวใหญ่จริง”
“ก้นเขาแดงจริงหรือ”
“เจ้าอักษร ‘ฉี’ (สงสัย) เลิกพูดถึงก้นได้หรือไม่!”
“ข้าจะพูด!”
“ห้ามพูด!”
“จะพูด!”
“ย้ากๆๆๆ!”
“โอ๊ยๆๆ!”
…
พวกอักษรจิ๋ววนเวียนรอบตัวจอมพลังเกราะทองพลางวิจารณ์เอ็ดอึงอยู่ตรงนั้น แต่จี้หยวนกลับมองผ้าเหลืองโบกไหวกับตำแหน่งการยืนของจอมพลังเกราะทองตนนี้ รวมถึงจมูกปากของจอมพลังด้วย
เป็นอย่างที่พวกอักษรจิ๋วกล่าว จอมพลังตนนี้หายใจอยู่จริงๆ แม้ว่าความถี่ต่ำมาก ลมหายใจยาว แต่หายใจอยู่จริงๆ สิ่งที่สูดเข้าไปคือปราณวิญญาณกลางลานเรือนสันติ ส่วนตำแหน่งการยืนก็มีวิญญาณปฐพีอบอวลอยู่รางๆ
ใช่ว่าจอมพลังเกราะทองตนนี้มีชีวิตหรือปัญญา แต่เป็นเหตุการณ์น่าสนใจยิ่งอย่างหนึ่ง
เมื่อก่อนการดำรงอยู่ของจอมพลังล้วนพึ่งพาพลังของจี้หยวน ยามเท้าเหยียบพื้นดินย่อมเผาผลาญพลังช้าลงหน่อย หากอยู่ห่างจากพื้นดินย่อมใช้พลังอย่างมาก แน่นอนว่าดูดซับปราณวิญญาณโดยรอบกับวิญญาณปฐพีจากพื้นดินด้วย แต่กล่าวโดยรวมคือใช้พลังมากกว่าเล็กน้อย
จอมพลังตนนี้แตกต่างออกไปอยู่บ้าง ปัจจุบันมองไม่ออกว่าส่งผลต่อความสามารถอื่นของจอมพลังเกราะทองหรือไม่ แต่หากกล่าวแค่ความสามารถในการดำรงอยู่ น่าจะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ช่วงใหญ่
“เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้เจ้ายืนอยู่กลางลานแล้วกัน หากพูดถึงปราณวิญญาณ เรือนสันติถือว่าไม่เลว”
จี้หยวนกล่าวกับจอมพลังเกราะทองประโยคหนึ่ง จากนั้นค่อยเหยียดแขนขา มือขวาป้องปากหรี่ตาหาวคราหนึ่ง
“หาว… ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ข้าไปพักสักครู่ เงียบกันหน่อยเล่า”
หลังจากกล่าวประโยคนี้จบ เมื่อได้ยินคำสั่งความหายากของนายใหญ่ พวกอักษรจิ๋วล้วนเก็บเสียงทันที
จี้หยวนก้าวเดินไปทางห้องนอน สะบัดแขนเสื้อตรงประตูกวาดเถ้ากระดาษข้างในออกมานอกประตูก่อนรวบรวมเข้าหลุมเถ้าภายในห้องครัวจนหมด จากนั้นค่อยก้าวเข้าไปในห้อง มองพวกอักษรจิ๋วซึ่งเงียบกริบคราหนึ่งก่อนปิดประตู
หลังจากนั้นไม่นานจี้หยวนซึ่งนั่งอยู่ตรงหัวเตียงกลับไม่หลับทันที แต่หันมองไปนอกหน้าต่าง เบิกตาทิพย์เหมือนมองทะลุกำแพงได้
พวกอักษรจิ๋วข้างนอกเริ่มแบ่งเป็นสองสามกลุ่ม รวมตัวกันสร้างคำเล่นสนุกเหมือน ‘จัดทัพวางแนวรบ’ ไม่ใช่แค่รวมตัวกันสร้างคำเท่านั้น การเคลื่อนไหวและหลักการเปลี่ยนตำแหน่งระหว่างอักษรแต่ละตัวยังควรค่าแก่การกลั่นกรองมาก
บางทีพวกอักษรจิ๋วอาจไม่รับรู้ถึงความพิเศษอะไร แต่สำหรับจี้หยวนกลับเป็นการสังเกตการณ์ที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง เขาไม่เคยดูถูกอักษรจิ๋วพวกนี้มาก่อน
ก่อนหน้านี้ตอนยังไม่เริ่มซ่อมยันต์จอมพลัง อักษรจิ๋วพวกนั้นก็ทำท่าเช่นนี้ ความจริงตอนนั้นจี้หยวนสังเกตเห็นแล้ว ตอนนี้กลับยิ่งให้ความสนใจ
ต้องพูดว่าอักษรจิ๋วพวกนี้คุยกันตามใจปรารถนา ยามพวกเขาเล่นสนุกยังสำรวจไม่หยุด อักษรต่างความหมายหรือคล้ายคลึงนานัปการ อาศัยวิธีการรวมตัวเป็นพื้นฐาน รวมตัวเป็น ‘กระบวนแปร’ หลายประเภท
เขาสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง เสียงไก่ขันดังขึ้นอีกรอบ ในที่สุดก็รู้สึกง่วงอยู่บ้างแล้ว เขาดึงปิ่นหยกเหนือศีรษะวางลงด้านข้าง ปล่อยเรือนผมดำขลับทิ้งตัวลงมา คราวนี้จี้หยวนค่อยเอนตัวลงนอน
ดวงตาปิดแล้ว แต่ยังไม่หลับทันที ภาพเหตุการณ์หลายวันนี้วาบผ่านตรงหน้า
ยามเพิ่งเข้าเมือง หน้าร้านบะหมี่ตระกูลซุน ตรงบ่อน้ำคู่ตรอกเทียนหนิวและชายชราที่เจอหลังจากนั้น การเปลี่ยนแปลงของทางการ จูเหยียนซวี่ผู้แก่ชรา จดหมายกองหนาปึก หมออาวุโสในโถงเกื้อกูล…
ทั้งนึกถึงวันสิ้นปีที่ใกล้มาเยือน
“กลางป่าเขาไร้กาลเวลา ปลายเหมันต์ไม่รู้ปี… บางเรื่องผันเปลี่ยนขัดเจตจำนงคน บำเพ็ญเซียนหนอบำเพ็ญเซียน เกือบเสียการรับรู้วันเวลาโดยไม่รู้ตัว ชั่วพริบตาก็ผ่านไปหลายปี ต้องไปเยี่ยมอาจารย์อิ๋นแล้ว!”
จี้หยวนซึ่งหลับตาเอ่ยคำพูดนี้ออกมาตามความรู้สึกอยู่บ้าง เขาอยากไปเจออิ๋นจ้าวเซียน ใช่ว่าเพราะตระกูลอิ๋นเป็นหมากสำคัญในการสร้างอิทธิพลมรรคมนุษย์ของต้าเจิน แค่นึกถึงสหายเท่านั้น
เขาวนไม่เคยคิดดึงอิ๋นจ้าวเซียนเข้าสู่หนทางมรรคเซียน ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ทุกคนมีวาสนาของตน ใช่ว่าทุกคนเหมาะกับการบำเพ็ญเซียน
แน่นอนว่าตอนนี้จี้หยวนสามารถทำให้คนมากมายรวมถึงคนธรรมดาก้าวสู่มรรคเซียนได้ แต่หลายครั้งเขามองจิตใจกับความยึดติดของคนทั่วไปออก บางคนต่อให้เข้าสู่มรรคเซียน สุดท้ายฉากจบอาจสู้ความเรียบง่ายของการอยู่จนแก่ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบางคนซึ่งใช้ชีวิตเป็น แน่นอนว่าย่อมอยู่ภายในกรอบมาก
คิดแล้วก็ไม่ได้เจอคนตระกูลอิ๋นมาหลายปี ไม่รู้ว่าอิ๋นชิงแต่งงานมีครอบครัวหรือยัง ไม่รู้ว่าบุตรคนที่สองของตระกูลอิ๋นตัวสูงแค่ไหนแล้ว
เขาไม่ได้นับนิ้วทำนายอะไร แค่เป็นห่วงสหายอย่างคนทั่วไป จากนั้นจี้หยวนค่อยเข้าสู่แดนฝัน