ตอนที่ 329 ท่านเย่คงจะมีวิธีของเขากระมัง
มิกี่อึดใจต่อมา
เย่ฉางชิงก็หายวับไปในอากาศ ราวกับภูติผีก็มิปาน
ทันใดนั้น พวกเทพหลิวที่ยืนอยู่ภายในลานต่างก็นิ่งค้างด้วยความตกตะลึง สายตายังคงจับจ้องไปตรงที่เย่ฉางชิงหายตัวไปเมื่อครู่
ผ่านไปครู่ใหญ่
“วิถีแห่งดนตรี วิถีแห่งหมาก วิถีแห่งชีวิต วิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิด วิถีแห่งกาลเวลา วิถีแห่งช่องว่างเวลา ความเก่งกาจของนายท่านช่างน่าเหลือเชื่อขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ ”
เทพหลิวเอ่ยออกมาราวกับคนละเมอ “หรือจะอยู่เหนือกว่าวิถีแห่งสวรรค์ หรือเทียบเคียงกับวิถีแห่งสวรรค์จริง ๆ ? ”
เทพหลิวเอ่ยเพียงเท่านั้น แล้วก็อดมิได้ที่จะเหลือบไปมองถูสือซานอย่างครุ่นคิด
ตอนนั้นเอง ถูสือซานที่มีสีหน้าสับสนจึงเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “พี่หลิว ท่านคิดว่าพี่ชิงเฟิงและท่านเย่จะสามารถอยู่เคียงคู่กันได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ ? ”
เทพหลิวได้ยินคำถามนั้นก็ถึงกับชะงักงัน ก่อนจะชำเลืองมองถูสือซานที่มีท่าทางผิดหวัง พร้อมกับขมวดคิ้วน้อย ๆ “ข้าเองก็มิแน่ใจเหมือนกัน เพราะข้ามิมีความรู้สึกเช่นมนุษย์”
“แต่สิ่งที่ข้ามั่นใจก็คือ หากเทียบกันที่ตบะบารมี ตู๋กูชิงเฟิงนั้นยังห่างชั้นอีกไกลนัก ส่วนด้านอื่น ๆ นั้นข้าเองก็มิรู้ว่าควรจะพูดเช่นไร”
ถูสือซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ
เทพหลิวจึงเอ่ยต่ออีกว่า “สือซาน คุณสมบัติของเจ้ามิได้ด้อยไปกว่ามนุษย์ ทั้งสายเลือดก็ยังมีสัญญาณว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ยิ่งกว่านั้นยังได้รับวาสนาอันไร้เทียมทานที่นายท่านมอบให้อีก”
“เช่นนั้นสำหรับเจ้าแล้ว ความสำเร็จในภายภาคหน้าอาจจะสูงส่งกว่าตู๋กูชิงเฟิงก็เป็นได้”
ถูสือซานเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายระยิบระยับ “พี่หลิว ท่านหมายความว่าข้ายังมีโอกาสหรือเจ้าคะ ? ”
เทพหลิวยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าน้อย ๆ
ขณะเดียวกัน อาจเป็นเพราะได้รับผลจากอิทธิฤทธิ์ของเย่ฉางชิง
ชาวเมืองเสี่ยวฉือที่กำลังหลับสนิทอยู่นั้น ราวกับหลุดพ้นจากพลังลึกลับบางอย่างที่สะกดเอาไว้
ทันใดนั้น พวกเขาต่างก็ตื่นขึ้นจากการหลับใหล พร้อมลืมตาตื่นขึ้นมาในทันใด
ทว่าในวินาทีที่พวกเขาลืมตาขึ้นมานั้น ต่างก็มีแสงอันเจิดจ้าเปล่งออกมาจากร่างด้วย
ณ ร้านตีเหล็ก
ขณะที่ช่างตีเหล็กซ่งลืมตาขึ้นมาทันทีนั้น รังสีรอบกายของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป มีความน่าเกรงขามแผ่ออกมาโดยมิรู้ตัว
แต่เมื่อเขาเงยหน้ามองขื่อด้านบน เขาก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง พลางพึมพำขึ้นมาอย่างอดมิได้
“นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าตอนนั้นข้ามิได้ตายในสนามรบหรอกหรือ ? ”
“มิใช่สิ พูดให้ถูกก็คือข้ากลับมาเกิดใหม่ และด้วยอิทธิฤทธิ์บางอย่าง ทำให้ความทรงจำในชาติก่อนของข้าฟื้นคืนกลับมา”
“มิใช่ ๆ ในเมื่อเป็นเพียงความทรงจำในชาติก่อน เหตุใดพลังปราณและกายเนื้อ ถึงมีการฟื้นฟูมิหยุดเช่นนี้เล่า ? ”
“……”
“……”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ภรรยาของช่างตีเหล็กซ่งที่นอนอยู่ข้าง ๆ ก็หันมามองช่างตีเหล็กซ่งด้วยความงัวเงีย พลางเอ่ยอย่างเบื่อหน่ายว่า
“ตาซ่ง เจ้าเป็นอะไรแต่เช้าเนี่ย ? ”
ช่างตีเหล็กซ่งขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “น้องหญิง ข้าเหมือนจะจำอดีตชาติได้แล้ว”
ภรรยาของเขาได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไป ก่อนจะเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่า “เช่นนั้นเจ้าบอกมาสิว่าชาติที่แล้วเจ้าเป็นใครกัน ? ”
ช่างตีเหล็กซ่งใคร่ครวญอยู่สักพัก ก่อนเอ่ยออกมาว่า “อืม… จักรพรรดิเซียนผู้หนึ่งของแดนสวรรค์โบราณ”
“จักรพรรดิเซียน ? ”
“พอได้แล้วน่า ! ”
แต่ภรรยากลับมองช่างตีเหล็กซ่งด้วยความขุ่นเคือง พลางแค่นหัวเราะออกมา “ตาซ่ง ข้าว่าเจ้ายังเมาขี้ตาอยู่ซะมากกว่า มีจักรพรรดิเซียนที่ไหนอายุยังมิถึงสามสิบ นกเขาก็มิขันแล้วบ้างห๊ะ ? ”
ช่างตีเหล็กซ่งจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเอือมระอาว่า “น้องหญิง ข้าคิดว่าปัญหามันมิได้อยู่ที่ข้าหรอกนะ”
“เจ้าว่าไงนะ ! ”
ภรรยาจึงเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “แซ่ซ่ง เจ้าหมายความว่าเป็นเพราะข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ช่างตีเหล็กซ่งตอบกลับอย่างขลาดกลัวว่า “น้องหญิง เจ้าอย่าโมโหไปเลย มีอะไรพวกเราพูดกันดี ๆ เถอะ”
………………………….
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
ณ ร้านขายเนื้อ
เสียงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดก็ดังออกมาจากด้านใน
“แซ่ซุน เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าข้าเคยพูดเอาไว้ว่าเยี่ยงไร ? ”
“ฮูหยิน เจ้าอย่าเพิ่งโมโห ฟังข้าอธิบายก่อน ! ”
“อธิบายอะไร ! ตอนนั้นข้าให้เจ้าอารักขาเมืองหลวง แล้วเหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ ? เพื่อหวังจะครอบครองร่างกายของข้า เจ้าถึงกับยอมสละตบะบารมีหลายแสนปีของตัวเองเลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ฮูหยิน ตอนนั้นข้าเป็นห่วงเจ้าจริง ๆ นี่นา อีกอย่างหากเจ้ากายสลายเต๋าสูญสิ้น แล้วข้าจะอยู่ต่อได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“เหลวไหล แซ่ซุนวันนี้เรามาสะสางความแค้นเก่าและแค้นนี้ให้จบกันไปเลยเถอะ”
“ฮูหยิน อย่าตีข้าอีกเลย เยี่ยงไรเสียฐานะของพวกเราในตอนนี้ ก็มิเหมือนในอดีตแล้วนะ”
“ฐานะ ? เจ้าในเมื่อก่อนเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิเซียนเท่านั้น ทว่าต่อหน้าข้าก็ยังไร้ความสามารถอยู่ดีนั่นแหละ ! ”
“ฮูหยิน แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เยี่ยงไรเสียที่นี่ก็เป็นเพียงโลกมนุษย์เท่านั้นนะ ! ”
“มิต้องพูดมาก วันนี้หากจัดการเจ้ามิได้ ข้าจะมิขอกลับไปแดนสวรรค์โบราณอีกเป็นอันขาด ! ”
สิ้นเสียง ภายในร้านขายเนื้อก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวออกมาอีกครั้ง
จนเวลาผ่านไปได้เกือบหนึ่งก้านธูป
“ปัง ! ”
หลังจากร่างสะบักสะบอมร่างหนึ่ง กระเด็นออกมาจากด้านในร้านขายเนื้อ
ทันใดนั้น ร้านขายเนื้อเพียงร้านเดียวในเมืองเสี่ยวฉือ ที่ตั้งมามิรู้กี่ปีก็พังทลายลง
ทว่าในตอนนั้นเอง ร้านสุราที่ตั้งเยื้อง ๆ กับร้านขายเนื้อก็ถล่มลงมาเสียงดัง
หลังจากนั้น เสียงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ก็ดังขึ้นมาท่ามกลางฝุ่นควันที่ลอยฟุ้ง
“ตายแล้ว ตายในสงครามหมดแล้ว เหตุใดจึงมีเพียงแค่ข้าที่รอดชีวิตมาได้แต่เพียงผู้เดียวเล่า อีกทั้งเหตุใดข้าถึงยังจำอดีตชาติได้อีก…”
เมื่อได้ยินเสียงที่ดังออกมาท่ามกลางฝุ่นควันที่ลอยฟุ้ง เปาต้าเหมยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยโทสะก็หยุดชะงักลงทันที
ขณะเดียวกัน ช่างตีเหล็กซ่งที่ใบหน้าบวมแดงไปครึ่งซีก พร้อมนายพรานจางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย รวมทั้งชาวเมืองอีกหลายคนต่างก็รีบเดินมารวมตัวกันที่หน้าร้านขายสุรา
ทุกคนต่างก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมา
“ทุกท่าน หรือว่าพวกท่านเองก็จำอดีตชาติ หรือความทรงจำในหลาย ๆ ชาติก่อนหน้าได้เช่นกัน ? ”
“ยังมีอีกนะ พวกท่านสังเกตหรือไม่ว่า พลังปราณและกายเนื้อของพวกเรานั้นเหมือนว่าจะฟื้นฟูขึ้นอีกด้วยนะ ? ”
“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ พลังปราณและกายเนื้อของข้าฟื้นฟูขึ้นมาก แต่เป็นเพราะอะไรกัน ? ”
“ใช่แล้ว หากข้าเดามิผิด คงจะเป็นเพราะท่านเย่เป็นแน่ ? ”
“ท่านเย่ ? ”
“หรือว่าท่านเย่ก็เคยเข้าร่วมสมรภูมิมืดกับพวกเราด้วยงั้นหรือ ? ”
“มิใช่หรอก หากท่านเย่เคยเข้าร่วมในศึกครานั้นจริง พวกเราจะต้องจำเขาได้สิ”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น
เปาต้าเหมยที่นั่งทับอยู่บนร่างของคนขายเนื้อซุน ก็กวาดตามองทุกคนพลางส่งเสียง หึหึ ออกมา “บางทีท่านเย่อาจจะมิได้เข้าร่วมสมรภูมิมืดกับพวกเราจริง ๆ ”
“แต่ในสายตาข้านั้น ท่านเย่อยู่เหนือกว่าพวกเราเสียอีก มิเช่นนั้นเหตุใดพวกเราถึงมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ได้ มิหนำซ้ำตอนนี้ยังสามารถจำอดีตชาติ หรือจำอดีตในหลาย ๆ ชาติก่อนหน้าได้เล่า ? ”
คนขายเนื้อซุนออกแรงอย่างมากเพื่อจะหันหน้ามา ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มซีดเซียวว่า “ที่ฮูหยินข้าพูดมีเหตุผล”
“ในเมื่อตอนนี้ทุกคนจำอดีตชาติได้แล้ว อีกทั้งพลังปราณและกายเนื้อก็ยังฟื้นฟูขึ้นเช่นนี้ ก็คงจะสัมผัสได้ถึงไอพลังมหามรรคาที่ปกคลุมอยู่บนเมืองมนุษย์แห่งนี้แล้วสินะ”
นายพรานจางขมวดคิ้วแน่น เอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “โดยเฉพาะเสียงพิณของท่านเย่ที่แฝงไว้ด้วยจิตแท้แห่งวิถีดนตรี และช่วยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเรามาโดยตลอด”
ตอนนั้นเอง เถ้าแก่เว่ยที่สงบสติอารมณ์ลงแล้ว ก็ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งขึ้นมานั่งลงตรงหน้าของทุกคน
“ข้าว่าตอนนี้ปัญหาสำคัญก็คือ พวกเราจะกลับไปแดนสวรรค์โบราณได้เยี่ยงไร”
เถ้าแก่เว่ยจึงพูดเข้าเรื่องสำคัญในทันที “หากพลังปราณและกายเนื้อของพวกเรายังฟื้นฟูมิหยุดหย่อนเช่นนี้ จะต้องทำให้ปราณวิญญาณฟ้าดินของโลกใบนี้หมดสิ้นเป็นแน่”
“ที่เจ้าพูดมานั้นมีเหตุผล แต่เมื่อประตูสวรรค์มิปรากฏ ต่อให้พวกเราฟื้นฟูจนถึงระดับสูงสุดแล้ว ก็มิสามารถไปจากโลกใบนี้ได้อยู่ดี”
เปาต้าเหมยพยักหน้าเห็นด้วย “หากขัดต่อเจตจำนงของสวรรค์ พวกท่านก็คงจะทราบดีถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา”
ตอนนั้นเอง ท่านเจ้าเมืองคนเก่าที่มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น ก็เอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ท่านเย่คงจะมีวิธีของเขากระมัง”
ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างก็สบตากัน ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย