บทที่ 772 ตระกูลการละคร (1)
ทหารผ้าแพรก้าวเท้าถอยหลังตามสัญชาติญาณ
ไท่จื่อกำหมัดแน่น
เขาเคยเห็นเด็กชายผู้นี้ต่อสู้กับพระจากวัดเส้าหลินตอนแข่งตีคลี เขาจำได้ว่าตอนนั้นฝีมือของเด็กคนนี้ยังไม่ทัดเทียมเท่าที่เห็นในวันนี้
เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้กันแน่ เหตุใดพลังและฝีมือของเขาถึงแกร่งขึ้นเช่นนี้เล่า
อันที่จริงแม้แต่ตัวกู้เจียวเองก็คาดไม่ถึงว่าร่างกายของนางจะฟื้นฟูได้เร็วปานนี้ เกือบจะได้ครึ่งหนึ่งของสมรรถภาพร่างกายครั้งเมื่อชาติก่อนด้วยซ้ำ
ดูเหมือนว่าจะไม่เสียแรงเปล่าที่นางประลองกับหันฉือในตอนนั้น
ต่อให้ต้องต่อสู้กับทหารผ้าแพรอีกหกคนก็ไม่รามือ นางสามารถล้มพวกเขาได้อย่างสบายๆ !
สถานการณ์เริ่มไม่สู้ดีนัก ใครจะไปนึกล่ะว่าเจ้าหนุ่มนี่จะแข็งแกร่งขนาดนี้ คงตามหาหลงอ้าวเทียนต่อไม่ได้แล้วล่ะ…
น่าโมโหนัก!
ไท่จื่อกำหมัดแน่นขึ้นกว่าเดิม
และในขณะนั้น เสียงของจางเต๋อเฉวียนดังขึ้น “ฮ่องเต้เสด็จ”
เสด็จพ่อมาที่นี่รึ!
สีหน้าของไท่จื่อเปลี่ยนไปทันที
แต่ไม่นาน เขาก็เริ่มทำหน้ายิ้มกริ่ม
เสด็จพ่อมาได้จังหวะพอดี หากเขาอธิบายกับเสด็จพ่อว่ามีนักโทษหลบซ่อนอยู่ในนี้ ทรงจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของแม่ลูกซ่างกวานเยี่ยน และทรงต้องอนุญาติให้เขาตามล่าหานักโทษอย่างแน่นอน
ไท่จื่อส่งสัญญาณไปให้หัวหน้าทหารผ้าแพรที่ยืนอยู่ข้างๆ “รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอย่างไรถ้าเจอตัวเจ้านั่น”
“ทราบขอรับ” หัวหน้าทหารกระซิบตอบ
สายตาของไท่จื่อจับจ้องไปทางทิศที่เสด็จพ่อเดินเข้ามา พร้อมกระซิบต่อ “นี่เป็นโอกาสเดียวของพวกเรา ถ้าไม่รีบกำจัดหลงอ้าวเทียนตอนนี้ ต่อไปถ้ามันหายดีแล้ว จะต้องกลับมาเปิดโปงพวกเราอย่างแน่นอน”
หัวหน้าทหารน้อมรับคำสั่ง “โปรดวางใจเถิดฝ่าบาท กระหม่อมจะปิดปากหลงอ้าวเทียนให้จงได้”
ถ้าเจอตัวหลงอ้าวเทียนเมื่อไหร่ เขาจะรีบจบงานทันที!
ที่ฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักกั๋วซือเป็นเพราะถูกองค์หญิงน้อยรบเร้า แม้ฝนจะตกหนัก แต่องค์หญิงน้อยยังคงอยากออกมาเล่นกับสหายตัวน้อยของพระองค์
ฮ่องเต้เดินอุ้มองค์หญิงน้อยไว้ในอ้อมอกโดยมีเสื้อคลุมไหล่กำบัง พร้อมด้วยข้าหลวงวังที่คอยกางร่มให้
“ถึงแล้วหรือเพคะ” องค์หญิงน้อยค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากผ้าคลุมไหล่
พระพักตร์ของฮ่องเต้ยิ่งลงทันทีที่เห็นจุดเกิดเหตุ เพื่อไม่ให้องค์หญิงน้อยเห็นภาพเหล่านี้ จึงทรงยื่นร่างองค์หญิงน้อยให้จางเต๋อเฉวียน “พาองค์หญิงน้อยเข้าไปข้างใน”
“ขอรับ” จางเต๋อเฉวียนอุ้มร่างองค์หญิงน้อยที่ห่อตัวอยู่ในเสื้อคลุมไหล่
“ไปไหนหรือ” องค์หญิงน้อยตรัสถาม
แม้สีหน้าของจางเต๋อเฉวียนจะดูสุขุม แต่คำพูดของเขากลับฟังดูสดใสราวกับไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น “ไปหาสหายขององค์หญิงน้อยกันขอรับ”
“อื้อ ได้สิ!” องค์หญิงตอบอย่างว่านอนสอนง่าย
จางเต๋อเฉวียนจึงอุ้มองค์หญิงไปที่ห้องของเซียวเหิงและจิ้งคง
ในฐานะผู้ช่วยชีวิตเจ้าหญิงตัวน้อย จิ้งคงจึงได้สิทธิ์พำนักในตำหนักกั๋วซือไปโดยปริยาย อีกทั้งเขายังถูกชะตากับพระราชนัดดาจนพระองค์ยอมแบ่งพื้นที่ห้องให้ อย่างน้อยนี่ก็เป็นข้อมูลที่คนในตำหนักกั๋วซือทราบมา
พอมาถึงที่ห้อง เด็กทั้งสองก็โบกมือให้กันราวกับลูกเจี๊ยบที่เพิ่งออกจากเล้าแม่ไก่
“อาเสวี่ย มาแล้วรึ”
“ใช่แล้ว จิ้งคง ข้ามาแล้ว!”
จางเต๋อเฉวียนปิดประตูจากด้านในห้องลงเบาๆ
“นี่มันอะไรกัน” ณ หน้าตำหนักฉีหลิน ฮ่องเต้ทรงตะโกนถามหลังจากที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของไท่จื่อและเซียวเหิง
เซียวเหิงยกมือป้องปากพร้อมกับไออยู่สองครั้ง ก่อนจะทำท่าทางอ่อนเพลียและหมดแรง ต่างจากเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง “เสด็จปู่ ไท่จื่อทรงกลั่นแกล้งกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อถึงกับพูดไม่ออก
ในที่สุดเขาก็ตาสว่าง เจ้าหลานชายของเขาทำตัวหยิ่งผยองขนาดไหนตอนที่เสด็จพ่อไม่อยู่!
เขากัดฟัน “เมื่อครู่นี้เจ้ายังอวดดีกับข้าอยู่เลย พอเสด็จพ่อมาถึงกลับไม่มีแรงเสียอย่างนั้น”
เซียวเหิงไม่ปฏิเสธคำกล่าวหาของอีกฝ่าย “ที่กระหม่อมต้องทำเช่นนั้นก็เพื่อปกป้องเสด็จแม่ จะให้ข้าทนเห็นคนของท่านรังแกเสด็จแม่ต่อหน้าต่อตาหรืออย่างไร”
มุมปากของไท่จื่อเริ่มสั่นกระตุก เจ้าเด็กนี่มันใจกล้าหน้าด้านกว่าที่คิดเสียอีก!
เซียวเหิงยังคงคร่ำครวญต่อพร้อมกับมองไปที่ทหารผ้าแพรที่ถูกกู้เจียวจัดการ “กระหม่อมต้องขอบคุณท่านชายเซียวที่ช่วยเหลือได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นคงเป็นกระหม่อมที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นแทน ท่ายชายเซียวหลบเข้ามาอยู่ในชานเรือนเถิด อย่าตากฝนเลย ร่างกายของท่านบาดเจ็บอยู่”
กู้เจียวจึงเดินเข้ามาใกล้เซียวเหิง
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่ทหารผ้าแพรที่นอนนิ่งบนพื้น แววตาฉายแววเยียบเย็นในทันที “ทหารผ้าแพรของเจ้าคิดจะทำร้ายชิ่งเอ๋อร์อย่างนั้นรึ”
ไท่จื่อรีบประสานมือคุกเข่า “เสด็จพ่อ โปรดฟังกระหม่อมอธิบายด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
บ้าจริง เจ้าเด็กนี่มันฟ้องเก่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปทางใบหน้าที่ซีดเผือดของเซียวเหิง ก่อนจะเลื่อนไปที่ซ่างกวานเยี่ยนที่ยืนค้ำไม้เท้า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เอาละ ไหนเจ้าลองว่ามาสิ”
แย่ละสิ ถ้าเหยื่อเมื่อครู่นี้เป็นซ่างกวานเยี่ยนยังว่าไปอย่าง ต่อให้เป็นเรื่องผิด แต่อย่างน้อยซ่างกวานเยี่ยนเป็นแค่สามัญชน
แต่อีกฝ่ายดันเป็นพระราชนัดดา เสด็จพ่อไม่เคยขับไสไล่ส่งเขา!
ไท่จื่อหัวแทบระเบิด
ไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสครั้งเดียวนี้
เขาต้องเดินหน้าต่อ
“เสด็จพ่อ มีนักโทษที่จวนไท่จื่อหมายปองจะลอบสังหารกระหม่อม นักโทษผู้นั้นจึงถูกลงโทษโดยทหารของกระหม่อม ทว่ากลับหลบหนีออกมาได้ คนของกระหม่อมเห็นว่านักโทษผู้นั้นเข้ามาหลบอยู่ที่ตำหนักกั๋วซือ ดังนั้นกระหม่อมจึงขออนุญาตกับทางท่านกั๋วซือเพื่อค้นหาตัวนักโทษ กระหม่อมเป็นกังวลว่าพี่สามและพระราชนัดดาจะได้รับอันตรายเลยจะขอเข้าไปตรวจสอบ ทว่าพวกเขากลับไม่ยอมให้กระหม่อมเข้าไปด้านใน เรื่องก็เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นจริงรึ” ฮ่องเต้หันไปถามเซียวเหิงและซ่างกวานเยี่ยน
“ไม่จริง!” สองแม่ลูกพร้อมใจกันส่ายศีรษะ
ไท่จื่อ “…!!”
ซ่างกวานเยี่ยนถอนหายใจยาวหนึ่งที ก่อนเอ่ย “ที่แท้ก็มาตามหานักโทษนี่เอง หากไท่จื่อพูดดีๆ แบบนี้แต่แรกก็จบ ไม่เห็นต้องใช้กำลังกันเลย คนนอกมองมาคงนึกว่าท่านบุกมาจับตัวข้าไปเสียอีก เชิญเพคะ”
เอ่ยจบ ก็ทำท่าหลีกทางให้
เซียวเหิงและกู้เจียวก็เช่นกัน
ไท่จื่อโมโหจนเลือดขึ้นหน้าหลังจากถูกแม่ลูกคู่นี้ปั่นหัว
แต่จะว่าไป เหตุใดนางถึงยอมให้เขาเข้าไปค้นหา
หรือว่าเจ้าหลงอ้าวเทียนหนีไปแล้ว
เป็นไปไม่ได้ เขาให้คนคอยคุ้มกันทุกทางเข้าออก หลงอ้าวเทียนต้องอยู่ในตำหนักฉีหลินแห่งนี้แน่ๆ !
จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มออกค้นหา
ขณะที่ไท่จื่อเดินผ่านซ่างกวานเยี่ยน ก็ได้ยินนางเอ่ย “ไท่จื่อ ตอนเด็กๆ พวกเราเคยเล่นซ่อนสมบัติกัน จำได้หรือไม่ ท่านไม่เคยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
แววตาของไท่จื่อวูบไหวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปกระซิบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “วางใจได้เลยท่านพี่สาม คราวนี้ข้าจะไม่ยอมแพ้!”
ทหารผ้าแพรราวสิบคนกระจายตัวไปตามแต่ละห้อง
ส่วนฮ่องเต้ ไท่จื่อ เซียวเหิง กู้เจียว และซ่างกวานเยี่ยนรออยู่ที่โถง
ไม่นาน พวกทารก็กลับมาพร้อมกับรายงานผล
“ไม่พบรึ” ไท่จื่อขมวดคิ้ว
ทหารทุกคนส่ายศีรษะ
“ยังมีอีกสองห้องที่ยังไม่ได้เข้าไปตรวจขอรับ ห้องแรก… เป็นห้องที่องค์หญิงน้อยเล่นอยู่ ส่วนอีกห้องเป็นห้องลับที่ถูกควบคุมโดยหน่วยกล้าตายของกั๋วซือขอรับ” หัวหน้าทหารรายงาน
ไท่จื่อหันไปสังเกตท่าทีของคนอื่นๆ ดูเหมือนสีหน้าของทั้งสามคนเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย โดยเฉพาะเซียวลิ่วหลังตัวปลอมที่ดูเหมือนจะอยากลุกขึ้นมาหุบปากหัวหน้าทหารผ้าแพรเสียเหลือเกิน
ไท่จื่อหันไปขออนุญาตกับฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ โปรดอนุญาตให้ลูกเข้าไปด้านในด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ก่อนจะหันไปตรัสกับลูกศิษย์ของกั๋วซือ “ไปเรียกอาจารย์ของเจ้ามา ข้าประสงค์จะตรวจสอบห้องลับนั่น”
กู้เจียวกำหมัดแน่นจนเส้นเอ็นขึ้นทั่วแขน
เซียวเหิงยื่นมือกุมข้อแขนของนางไว้
ทุกท่วงท่าของพวกเขาตกเป็นเป้าสายตาของไท่จื่อ
เมื่อกั๋วซือมาถึงที่ตำหนักฉีหลินก็ประจวบเหมาะกับช่วงที่พวกทหารเพิ่งตรวจสอบห้องของจิ้งคงและองค์หญิงน้อยเสร็จ
ไท่จื่อเอ่ยกับกั๋วซือด้วยท่าทีเกรงใจ “ท่านกั๋วซือ โปรดอนุญาตให้คนของจวนไท่จื่อตรวจสอบห้องลับด้วยเถิด”
“ห้องลับนั้นมีทหารหน่วยกล้าตายคอยคุ้มกัน ไม่มีทางที่นักโทษจะผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ ” กั๋วซือเอ่ย
“สมมติว่าทหารหน่วยกล้าตายของท่านเกิดมีธุระด่วน หรือไม่ก็ถูกคนล่อลวงออกไปล่ะ ท่านจะเป็นคนยืนยันให้ได้หรือไม่” ไท่จื่อไม่มีความจำเป็นที่ต้องสงสัยในตัวกั๋วซือ เพราะกั๋วซือเองก็มีส่วนทำให้ตระกูลเซวียนหยวนถูกฆ่า ดังนั้นเขากับองค์หญิงจึงเป็นขั้วตรงข้ามกัน
ที่องค์หญิงต้องมาพำนักที่ตำหนักกั๋วซือเพียงเพื่อเห็นแก่พระพักตร์ของฮ่องเต้
ไม่มีทางที่กั๋วซือจะช่วยนางซ่อนคนอย่างแน่นอน
“คือว่า…” กั๋วซือหันไปสบตากับกู้เจียวหนึ่งที ก่อนจะหันมาเอ่ยกับไท่จื่อ “ไท่จื่อทรงมิไว้ใจทหารหน่วยกล้าตายของข้าหรือ ข้าขอยืนยันว่าไม่มีคนอยู่ในห้องลับนั้นอย่างแน่นอน”
ไท่จื่อโพล่งหัวเราะ “หากท่านยังดื้อด้านแบบนี้อยู่ แสดงว่าในห้องลับนั้นมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่สินะ”
กั๋วซืออ้าปากพะงาบ
กั๋วซือเหลือบมองกู้เจียวที่กำลังกำหมัดแน่น
ในเมื่อเป็นคำสั่งของฝ่าบาท แม้แต่กั๋วซือก็มิอาจขัดได้
“พวกเจ้าถอยออกไปก่อน” กั๋วซือออกคำสั่ง
ทหารหน่วยกล้าตายจึงถอยหลบไปอีกฝั่ง
“เย่ชิง อวี้เหอ ไปเปิดประตู”
“ขอรับ” ลูกศิษย์ทั้งสองประสานมือคำนับท่านอาจารย์