ตอนที่ 293 ปีศาจน้อย (2)
คำนี้ เรียกว่า ‘ฆ่าคนปลิดหัวใจ’
ข้ารู้สึกว่าคำนี้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร
ฆ่าคน ปลิดหัวใจ
น่าจะกลับกัน
ปลิดหัวใจฆ่าคน
ปลิดหัวใจก่อนแล้วค่อยฆ่าคน
ข้าฝึกบำเพ็ญมาร้อยปี พลังบำเพ็ญยังต่ำอยู่ แต่ดีที่หลังเปิดจิตวิญญาณยังถือว่าฉลาด เข้าใจหลักการหนึ่ง
การจะฆ่าคนคนหนึ่ง วิธีการที่ดีที่สุดคือได้หัวใจเขาก่อน
บีบหัวใจแตก คนก็จะตาย
ข้าช่วยปีศาจพฤกษาสามตนมาจากนักพรตเต๋าน้อยเทือกเขาประจิม สอนพวกนางกลายร่าง สอนพวกนางเป็น ‘คน’ น่าเสียดายพวกนางโง่เขลาโดยธรรมชาติ พูดไม่ได้ พูดเลียนแบบมนุษย์ก็ไม่ได้ พอพูดก็ติดอ่าง ระดับการเปิดจิตวิญญาณยังต่ำมาก จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลอุบายพวกนั้นที่ข้าสอนพวกนาง รู้จักแต่ฝึกบำเพ็ญช้าๆ เท่านั้น
ข้าบอกพวกนางว่าสุดทางของต้าสุยมีมหาสมุทรกว้างใหญ่
ที่นั่นคือบ้านเกิดของปีศาจทุกตน
จะว่าพวกนางโง่ก็ไม่ พวกนางเข้าใจความหมายของบ้านเกิด และรู้ว่าเหตุใดตนถึงลำบากในใต้ฟ้านี้ กรมปราบปีศาจกับสำนักเต๋าต่างออกจับกุมวิญญาณปีศาจ หลังเปิดจิตวิญญาณ ถ้าอยากอยู่อย่างสงบก็ต้องหนีไปจากใต้ฟ้านี้เท่านั้น
พวกนางรู้ทุกอย่าง เรียนได้ทุกอย่าง
แต่เรียนการ ‘หลอกคน’ ไม่ได้
ข้าช่วยพวกนางที่เทือกเขาประจิม ดังนั้นพวกนางจึงเชื่อข้าอย่างสนิทใจ
ตอนที่พูดถึงทะเลพลิกผันแดนอุดร ข้าเห็นประกายในแววตาพวกนาง ข้าจึงบอกพวกนางว่าในใต้ฟ้าเผ่าปีศาจอันไกลโพ้นมีคุนเผิงที่สยายปีกก็ผ่าน้ำทะเลหมื่นจั้งได้ มีอีกาทองที่อ้าปากก็กลืนกินดวงตะวันไปครึ่งดวง มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่มาเนิ่นนานหลายแสนปี
ในใต้ดินประตูหยกต้าสุย ในที่ที่ราชันปีศาจเจียหลัวถูกขัง หากเราปล่อยจิ้งจอกสวรรค์ใต้ประตูหยกออกมาได้ เช่นนั้นทางทะเลพลิกผันแดนอุดรจะมีคนใหญ่คนโตมารับเราด้วยตนเอง
รับพวกเรากลับบ้านเกิด
ตอนสังหารนักพรตเต๋าน้อย ข้าไม่ได้โกหกเขาเลย
ข้าดีดพิณเล่นหมากวาดภาพ ตีกลองเป่าขลุ่ยเป็นจริงๆ
ข้าไม่ได้ชอบเขา…
รวมถึง ข้าอยากเห็นหัวใจของเขาจริงๆ
ดังนั้นคำพูดที่พูดกับปีศาจพฤกษาสามตนนี้…จึงเป็นการโกหกครั้งแรกของข้า
……
ถ้าบอกว่ากับนักพรตเต๋าน้อยนั่น ข้าใช้การ ‘เสแสร้ง’
เช่นนั้นกับเผ่าปีศาจที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดสามตนนี้
ข้าใช้การ ‘หลอก’
ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจไม่สนใจปีศาจน้อยเลย
และไม่มีคนใหญ่คนโตที่จะข้ามกำแพงเมืองแดนอุดรที่จักรพรรดิไท่จงสร้างขึ้น…เผ่าปีศาจโบราณพวกนั้นที่ข้าพูดถึงมีสายเลือดยุคแรกอันร้อนแรงไหลเวียนในกาย พวกมันดับสูญไปในกาลเวลาอันยาวนานแล้ว ก็เหมือนแขกวารี เคยเปล่งประกายอยู่ยุคหนึ่ง จากนั้นก็เงียบหายไป
มิหนำซ้ำชายแดนทางเหนือเผ่ามนุษย์ยังมีบุรุษที่ชื่อเผยหมิน
คนผู้นั้นยืนตรงหัวกำแพงเมืองแดนอุดร สู้กับปีศาจนับพันนับหมื่นด้วยตัวคนเดียว สังหารทุกตน สว่างไสวดุจเทพสวรรค์จุติ ในใต้ฟ้าเผ่าปีศาจไม่มีใครขวางเขาได้
สิ่งที่ข้าพูดไปพวกนั้นเป็นคำโกหกทั้งเพ…หากเป็นคนอื่นก็คงไม่เชื่อ
แต่พวกนางดันเชื่อ
……
นามของข้าคืออาชุน เจียหลัวบอกข้าว่าฤดูกาลที่ทุกสรรพสิ่งคืนชีพเรียกว่า ‘ใบไม้ผลิ’
ตั้งชื่อนี้เพื่อหวังว่าชีวิตนี้ของข้า สี่ฤดูจะเหมือนใบไม้ผลิ
ข้าตั้งชื่อให้ปีศาจพฤกษาทั้งสามตนนั้น เติมเต็มเป็นสี่ฤดู
ระหว่างทาง สี่แดนต้าสุย มีเพียงแดนอุดรที่ไม่ได้ไป
ข้าพาพวกนางไปแดนอุดร เส้นทางขรุขระ เดินทางได้ช้ามาก แต่ก็โชคดีมาก
กำแพงเมืองแดนอุดรสร้างไว้ยาวมาก มองไกลๆ ยังเห็นค่ายกลมากมายวางไว้บนหัวเมือง กระบี่บินยาวเหยียดลอยอยู่ราวกับมังกรแท้
มองไกลๆ เป็นระฆังคว่ำ มีความโอ่อ่ายิ่งใหญ่
ตรงนั้นคือกำแพงเมืองแดนอุดรที่เป็นรากฐานของกรมปราบปีศาจ มีของศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ตรวจจับแกร่งกว่ายันต์ด้ายทองเป็นพันเท่าหมื่นเท่า ลอยอยู่บนฟ้ากำแพงเมืองเช่นนี้ หากบุ่มบ่ามเข้าไป แค่ครู่เดียวก็จะถูกแสงเทพส่อง หิมะละลาย ต่อให้เป็นยอดปีศาจพันปี ก็เกรงว่าคงรอดไม่เกินหนึ่งลมหายใจ
ข้าพาพวกนางอ้อมไป เดินบนถนนเล็กที่ไกลที่สุดและห่างไกลผู้คนมากที่สุดเพื่อให้ได้เห็นมุมหนึ่งของทะเลพลิกผัน ซ่อนพลังทั้งหมดไม่ต่างอะไรกับคนปกติ เดินเท้าเปล่าไปหลายเดือน
สุดท้ายขึ้นเขารกร้างลูกหนึ่ง ทิวทัศน์บนเขาสวยมาก
บนเขานี้ มองเห็นมหาสมุทรดาราไกลลิบด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นมหาสมุทรกว้างใหญ่นั้น
ฉากยามราตรีตกลงมา
ดวงดาราของต้าสุยขยับแสงเหนือข้า
ทะเลพลิกผันคือท้องฟ้าของเผ่าปีศาจ
สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ฝึกบำเพ็ญเพียงเพื่อรวมดาราชะตา คนกับปีศาจเป็นเช่นนี้…เมื่อยามราตรียาวนานมาเยือน ผืนดาราบนฟ้าสะท้อนลงมา เปล่งประกายระยิบระยับ
น้ำทะเลพลิกผันขวางไว้ สองใต้ฟ้าจึงไม่มีวันมองเห็นกันตลอดกาล ผู้บำเพ็ญทุกคนเงยหน้าขึ้น สิ่งที่เห็นไม่ต่างอะไรกันเลย
ดารานับพันนับหมื่นดวงก็ยังคงเท่าเดิม ไม่มีเพิ่มและไม่มีลด
นับไม่หวาดไม่ไหวตลอดกาล หาที่สิ้นสุดไม่ได้ชั่วนิรันดร์
ข้านอนบนภูเขารกร้าง
ใจนึกไม่รู้ว่าดาราดวงที่เจียหลัวจุดไฟ ตอนนี้จะซ่อนอยู่มุมใดบนฟ้านี้
เจียหลัว…เจียหลัว…
เจียหลัวยังสบายดีอยู่หรือไม่
ข้าสับสนเล็กน้อย
หลังสังหารนักพรตเต๋าน้อย ข้ามักจะคิดอยู่ตลอดว่า ความชอบผิดหรือไม่กันแน่
ข้าไม่ได้คำตอบ
สังหารคนหนึ่ง เดิมทีจิตใจข้าควรจะเหมือนน้ำนิ่ง
แต่ความจริง ตอนที่เพิ่งฆ่าเขา ข้าไม่รู้สึกอะไรเลย
แต่ยิ่งนานวันเข้าข้ากลับยิ่งรู้สึกเสียใจภายหลัง
ข้าไม่ควรทำเช่นนั้น
ข้าเหมือนจะรู้สำนึกอะไรบางอย่าง
นักพรตเต๋าน้อยคนนั้น เป็นเพียงแค่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอันยาวนานของข้า
เขาชอบข้า ข้าไม่ชอบเขา
แต่เมื่อนึกดูดีๆ ข้ากับเจียหลัว…เหมือนจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ข้าเป็นเพียงต้นหลิ่วรวงสั้น เจียหลัวเป็นราชันปีศาจ ตอนนี้ข้าเพิ่งจะเข้าใจความสำคัญของคำว่าราชันปีศาจแล้ว
ข้าเป็นใครในกาลเวลาอันยาวนานของเจียหลัว?
บนยอดเขารกร้างมีน้ำใสบ่อหนึ่ง ในน้ำเป็นดอกบัวสีม่วงหาดูยาก
ข้างบ่อน้ำบนเขายังสร้างบ้านไม้ง่ายๆ ไว้ ในบ้านมีคนชราอาศัยอยู่คนหนึ่ง
แม้ข้าจะเป็นปีศาจน้อย แต่ก็เป็นปีศาจ
ข้าจะฆ่าคน ฆ่าคนชรา ก็เพียงแค่ความคิดเดียว เป็นเรื่องง่ายแค่พลิกฝ่ามือ
คนชรานั่นเหมือนจะอยู่คนเดียวบนเขารกร้างนี้ ปลูกดอกบัวม่วงไว้เต็มบ่อ ดูมีความสุขกับชีวิต
ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้าถึงไม่เกิดจิตสังหารแม้แต่น้อย
ดังนั้นคนชรานั้นจึงเด็ดดอกบัวม่วงดอกหนึ่งเดินมาข้างกายข้า ถามว่าข้ากำลังคิดอะไรอยู่…ข้าตอบคำถามเขาไปโดยไม่รู้ตัว
เพราะนี่เป็นคำถามที่ตอบง่ายมาก
ตั้งแต่วันนั้นที่ออกจากประตูหยก
ในความคิดข้ามีเพียงเรื่องเดียว
พาเจียหลัวออกไป
ข้ากำลังคิดอะไรอยู่น่ะหรือ
ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำลายค่ายกลประตูหยกอย่างไร
ครุ่นคิดตลอดเหมือนมารเข้าสิง
เมื่อก่อน พลังบำเพ็ญข้ายังไม่แกร่งพอ ตอนนี้ข้างกายมีคนช่วย ต่อให้เจอนักพรตเต๋าชุดหยาบ ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาหรือนักกระบี่แดนกลางในตอนนั้นอีก ก็จะไม่น่าเวทนาเหมือนครั้งก่อนเด็ดขาด
ค่ายกลที่กรมปราบปีศาจวางไว้ที่ประตูหยกค่อนข้างแน่นหนา ข้าเคยลองขโมยกระดาษภาพค่ายกล แต่ก็บอกลาด้วยความล้มเหลว
ข้าเรียนค่ายกล ยันต์ แต่ก็ยากจะไปถึงมหามรรค
ข้าเดินทางในโลกนี้มาหลายสิบปี เป็นร้อยปี ก็ไม่มีอะไรดี และยังห่างจากเป้าหมายของข้าไปไกลจนไม่มีหวังอีก
ข้าหันมา เห็นดวงตาที่ยากจะใช้คำพูดบรรยายได้คู่หนึ่ง
เมตตา อ่อนโยน อบอุ่น ไม่อาจปฏิเสธ
ข้าพลันนึกถึงตำนานของใต้ฟ้าต้าสุย
สิ่งที่เป็นตัวแทนของกำลังที่แกร่งที่สุดในแดนอุดรคือนามที่เรียกว่าเผยหมิน
และที่เป็นสัญลักษณ์ความสงบสุขของแดนอุดรก็คือดอกบัวม่วง
ข้าเหม่อลอย เล่าเรื่องที่ผ่านมาตลอดร้อยปีนี้โดยไม่รู้ตัว
สายลมพัดขึ้น พัดบ่อน้ำใสเป็นริ้วรอย
ดอกบัวสีม่วงลอยขึ้นฟ้า
เหมือนแสงหิ่งห้อยลอยไปทางดวงจันทร์ ไม่เห็นความโรยรา
บนยอดภูเขารกร้าง ปีศาจพฤกษาสามตนที่ข้ามาพายังเอาสองมือดันพื้น สายตามองทอดไกล กายและใจตกอยู่ในทะเลพลิกผันแดนอุดรไกลลิบนั้น เหมือนหลงทางในความฝัน มีสีหน้าเหม่อลอย
นี่เป็นวิชาระดับใดกัน?
ข้าเล่าทุกอย่างจบก็เหม่อมองคนชรา
เบื้องหลังดอกบัวสีม่วง ได้ยินว่าเป็นคุณชายหยวนฉุน ราชครูของต้าสุย…
คนชราฟังข้าเล่าจนจบเงียบๆ
เขาถามขึ้นทันที ‘เจ้าบอกว่าเจียหลัวมอบของขวัญให้เจ้า มันคืออะไร’
ของขวัญนั้น…
ข้าอึ้งไป
คนชราถามข้าว่าเจียหลัวให้ของขวัญอะไรกับข้า
ข้าก้มหน้าลงพูดเสียงเบา ‘คือสติปัญญา’
จากต้นหลิ่วรวงสั้น เปิดจิตวิญญาณจนถึงตอนนี้ ข้าเรียนรู้อะไรมามากมาย เห็นอะไรมาเยอะ สิ่งเหล่านี้เดิมทีไม่ควรเกิดขึ้นกับต้นหลิ่วรวงสั้นที่ยังไม่เปิดจิตวิญญาณ
ข้าเชื่อมาตลอดว่านี่คือของขวัญที่เจียหลัวมอบให้ข้า
สติปัญญา
แม้เทียบกับคุณชายหยวนฉุนในตำนานแล้วจะเป็นเพียงสติปัญญาทั่วไปก็ตาม…ข้าแอบมองคนชราแวบหนึ่ง
คนชราไม่ได้หัวเราะเยาะข้า แต่แววตาสงบนิ่งเป็นปกติ
เขานำกระดาษเหลืองยับยู่ยี่ออกมาจากในแขนเสื้อ คลี่ออกช้าๆ
หลังคลี่ออก ด้านหน้ากระดาษเหลืองเป็นภาพซับซ้อน เรียบร้อยมีลำดับขั้นตอน
เป็นค่ายกลของประตูหยก
ด้านหลังเป็นวิธีทำลายค่ายกล
ข้ารับกระดาษเหลืองนั้นมา นิ้วมือสั่น ไม่กล้าเชื่อตัวเองว่าจะได้บันทึกภาพค่ายกลประตูหยกที่เฝ้าใฝ่ฝันมาเช่นนี้
ข้ามองคุณชายชราที่ยืนอยู่ข้างกาย ดอกบัวที่ลอยไปบนเขา แสงสว่างแตกสลายลอยไปตามลม โปรยปรายลงมา
ตั้งแต่พบกันจนถึงตอนนี้ เขาไม่ลงมือสังหารข้าเลย และไม่เผยจิตสังหารแม้แต่นิด
คุณชายชราพูดอย่างอ่อนโยนราวกับหยก ‘เก็บไว้ให้ดี’
ข้ากำกระดาษภาพไว้ โค้งตัวลงลึก
‘คุณชาย ข้าเคยฆ่าคน’ ข้ากัดฟันรู้สึกละอายใจอยู่ข้างใน จึงเล่าเรื่องที่เทือกเขาประจิม
คุณชายชรานิ่ง
‘เรื่องความเป็นตาย กรรมเป็นตัวกำหนด เจ้าเคยฆ่าคน แต่เจ้าก็เกือบถูกคนฆ่าเช่นกัน ผ่านความเจ็บปวดกายปีศาจฉีกขาดมาเช่นกัน…วันนี้ ข้าให้กระดาษนี้กับเจ้าไม่ได้หมายความว่าข้าช่วยเจ้า เจ้าอาจจะตายที่แดนอุดร แดนกลาง พรุ่งนี้หรือปีหน้าก็ได้ ไปจากที่นี่ เจ้ากับข้าจะไม่เจอกันอีก’
คุณชายชรามองข้า ‘ของขวัญที่ราชันปีศาจเจียหลัวให้เจ้า ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด…หากเจ้ารู้บทสรุปก็อาจจะเจ็บปวดมาก เจ้ามั่นใจนะว่าจะลองดู’
ข้าอึ้งงัน ใจเต้นตึกตัก
คุณชายชรายื่นมือมาข้างหนึ่ง ชี้ไปที่ทะเลดาราไกลๆ
‘หากเจ้าจะออกจากต้าสุย ข้าช่วยได้ ส่งเจ้าไปใต้ฟ้าเผ่าปีศาจได้’
………………………..