เช้าวันต่อมา แสงของวันใหม่สาดแสงมาจากทางทิศตะวันออก ขับไล่ความมืดออกไป ผู้คนเริ่มออกจากที่พักทำกิจกรรมของตัวเอง
ห้องพักในมหาวิทยาลัยเทียนซู
เปรี๊ยะ! หินสีน้ำตาลเข้มที่ห่อหุ้มร่างของหวังเสี่ยวเปา เกิดรอยร้าวเริ่มจากตรงอกซ้าย และค่อยๆปริแตกขยายไปทั้งร่าง ก่อนจะแตกออกเป็นชิ้นๆ ร่วงลงบนพื้น
หวังเสี่ยวเปาลืมตาขึ้น ก็รู้สึกอึดอัด เขาขยับหัวอย่างแรง ทำให้หินที่เกาะใบหน้าหลุดออก เขาลุกขึ้นยืน ใช้มือดึงหินที่ยังเกาะติดบนร่างออก เสื้อผ้าของเขากลายเป็นหิน ก็หลุดออกไปพร้อมกัน
หวังเสี่ยวเปากำสองมือแน่น จนเส้นเลือดข้อมือปูดขึ้นมา เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเหมือนมีพละกำลังไม่สิ้นสุด เขาก้มมองสำรวจร่างกายของตัวเอง ก็ต้องประหลาดใจ พุงอ้วนที่เคยเต็มไปด้วยไขมัน กลายเป็นมวลกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่ง น่าเสียหายเขาไม่มีกล้ามท้อง เพราะโครงร่างกายของเขาที่ใหญ่กว่าคนทั่วไป ทำให้เขายังเหมือนคนอ้วน ถ้าไม่เปิดเสื้อไม่มีทางรู้ได้เลย ว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขนาดไหน
ร่างกายของเขาเหมือนหมี ที่แม้ภายนอกจะดูอ้วน แต่ที่จริงแล้วร่างกายของมันเต็มไปด้วยพละกำลังอันแข็งแกร่ง
หวังเสี่ยวเปาคลี่ยิ้มและหัวเราะด้วยความตื่นเต้น เขากระสับกระส่ายอยากทดสอบพละกำลัง
จิวโมไป๋ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ สมองปลอดโปล่งโล่งสบาย จากการนอนหลับเต็มอิ่มในรอบหลายวัน เขาลุกขึ้นบิดตัวอย่างช้าๆ มองไปออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงของวันใหม่เริ่มสาดเข้ามา เขาก็หันไปทางหวังเสี่ยวเปาและพูดเตือน
“พี่ใหญ่ ตอนนี้มันเช้าแล้วนะ ถ้าไม่รีบเตรียมตัว อาจไปสอบสายได้นะ”
หวังเสี่ยวเปาได้ยินก็ชะงักกึก ก้มลงมองกำไลข้อมือเห็นเวลา ดวงตาก็เบิกกว้าง
“แย่แล้ว! ฉันยังไม่ได้ทบทวนเลย”หวังเสี่ยวเปากรีดร้องรีบวิ่งไปหยิบผ้าขนหนูและเข้าห้องน้ำ
จิวโมไป๋ส่ายหัว โบกมือช้าๆ เศษหินบนพื้นลอยขึ้น และลอยไปทิ้งลงถังขยะข้างประตูเข้าห้อง
หวังเสี่ยวเปาใช้เวลาในห้องน้ำเพียง 5 นาที ก็ออกมา เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าจัดกระเป๋าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกจากห้อง เขาหันมาหาจิวโมไป๋ที่ตอนนี้กำลังเปิดโฮโลแกรมดูข่าวประจำวันอยู่
“น้องเล็ก ฉันไปก่อนนะ”
จิวโมไป๋พยักหน้า โดยไม่เงยหน้าขึ้น
หวังเสี่ยวเปารีบออกจากห้องไป
ห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
เวลาผ่านไปจนถึง 8 โมงเช้า จิวโมไป๋ก็ปิดโฮโลแกรม เดินเข้าห้องน้ำจัดการชำระล้างร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อเชิ้ตขาว กางเกงสแล็คสีน้ำตาล เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปเปิดลิ้นชักข้างโต๊ะอ่านหนังสือของตัวเอง หยิบตำราวิชาเทคโนโลยี่โลกเสมือน ใส่กระเป๋าที่วางบนโต๊ะ เมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว เขาก็ออกจากห้อง เขาเดินไปโรงอาหารที่อยู่ใกล้หอพัก
ระหว่างทาง เขาก็เห็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเทียนซู จับกลุ่มกันทบทวนบทเรียนกันอย่างเคร่งเครียด
จิวโมไป๋ถอนหายใจออกมา เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงตัวเองในอดีต ที่เรียนวิชาการอย่างจริงจัง ไม่สนใจการบ่มเพาะพลัง ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้น เขาก็คงเป็นหนึ่งในนักศึกษาเหล่านี้
แม้ในปัจจุบันจะเป็นโลกแห่งการบ่มเพาะพลัง แต่ก็ไม่สามารถทิ้งการศึกษาวิชาการไปได้ เพราะอาชีพต่างๆเกือบทั้งหมดบนโลก ยังต้องพึ่งนักวิชาการอยู่
แม้ว่าในการสมัครงาน จะมีการเพิ่มกฎในการรับสมัคร ว่าต้องมีระดับการบ่มเพาะพลังตามที่กำหนดแล้วก็ตาม
แต่บริษัทเหล่านั้น จะไม่เลือกคนที่แข็งแกร่งในการต่อสู้ พวกเขาเลือกคนที่ฉลาด มีความสามารถ และสามารถทำงานได้นาน โดยไม่ล้มป่วยหรือตายไปซะก่อน
นักศึกษาที่เน้นไปที่การบ่มเพาะพลัง อาชีพที่สามารถทำได้หลังเรียนจบ มีเพียงไม่กี่อาชีพ เช่นตำรวจ ทหาร ผู้คุ้มกัน หรือ นักล่า
แต่อาชีพเหล่านี้ไม่ต้องการคนจำนวนมากนัก ทำให้พวกเขาคัดเลือกเฉพาะผู้มีพรสวรรค์ ทำให้คนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ถูกคัดออก กลายเป็นคนว่างงาน แม้ว่าพวกเขาจะมีระดับการบ่มเพาะพลังที่สูง ก็ยากที่จะหางานตรงกับความสามารถของพวกเขา
และคนเหล่านี้ก็ไม่สามารถสมัครงานทั่วไปได้ เพราะพวกเขาไม่มีคะแนนวิชาการมากพอ ที่จะแข่งขันกับคนอื่น
ทำให้คนเหล่านี้ ต้องเข้าสู้กลุ่มแก็งใต้ดิน
ผู้บ่มเพาะพลังที่สามารถหางานจริงๆได้ มีไม่ถึง 1% ของผู้บ่มเพาะพลังทั้งหมด ดังนั้นคนที่รู้ว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลัง จึงต้องตั้งใจเรียน เพื่อได้ผลการเรียนที่ดี เพื่อเป็นทางผ่านในการเข้าทำงานในอนาคต
นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่เขาในอดีต ทิ้งการบ่มเพาะพลัง สนใจแต่วิชาการ
จิวโมไป๋เดินไปถึงโรงอาหาร เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาของคนจำนวนมากจ้องมองมาที่ตัวเขา
แต่เขาไม่สนใจสายตาเหล่านั้น คิดว่าที่เขาถูกมอง เป็นเพราะเขาคือแชมป์การต่อสู้ภายในมหาวิทยาลัย ทำให้คนสนใจในตัวเขา
เขาเดินไปหน้าเคาน์เตอร์อาหาร และสั่งอาหารสามอย่าง
พนักงานชายมองมาที่เขาครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มตักอาหาร
จิวโมไป๋ขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองเขามันแปลกๆ
ปัก
“อาหารที่คุณสั่งครับ”หนักงานชายวางจานอาหารอย่างแรง
จิวโมไป๋ก้มลงมอง เห็นปริมาณอาหารที่น้อยนิด เขาก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปรกติ เขาเงยหน้ามองพนักงานชาย
“อาหารที่คุณตักให้ผม มันน้อยไปหรือเปล่า”
“อาหารที่ตัก ก็มีเท่านี้แหละ ได้รับอาหารแล้วก็ออกไป อย่าขวางทางคนอื่น”พนักงานชายยิ้มเยาะ โบกมือไล่ให้จิวโมไป๋ออกไป
จิวโมไป๋มองพนักงานชายครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบถาดอาหารขึ้นและหันหลังเดินออกไป
“หึ หยิ่งซะไม่มี คิดว่าเป็นอันดับ 1 ของมหาวิทยาลัยแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง”พนักงานชายพูดเสียงดัง
จิวโมไป๋ชะงักก่อนจะหันกลับไปมอง ดวงตาสาดกลิ่นอายดุดันออกมา
หนักงงานชายตกใจ เผลอถอนไปสองก้าวด้วยความกลัว
จิวโมไป๋ขมวดคิ้ว ก่อนจะหันหลังกลับ
ระหว่างทางเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเกี่ยวกับตัวเขา
“คนนั้นเหรอจิวโมไป๋ที่ชนะการประลองระหว่างมหาวิทยา”
“เขาเป็นแค่คนขี้ขลาด ที่ไม่สนใจช่วยเหลือมหาวิทยาลัยต่อสู้กับมหาวิทยาลัยอื่น”
“ฉันได้ยินมาว่าหลังจากการประลองเขาก็ไม่มาเรียนอีกเลย”
“รู้ไหมว่าจิวโมไป๋ไปพนันหิน และไปหาเรื่องกลั่นแกล้งเทพธิดาหลาน”
“รู้สิ หลังจากวันนั้น ฉันเห็นเทพธิดาหลานตาแดงก่ำมาเรียนทั้งหลายวัน”
“ฉันได้ยินว่า ในอดีตจิวโมไป๋ได้ไล่ตื้อเทพธิดาหลาน แต่เทพธิดาหลานไม่ชอบเขา ทำให้เขาค่อยหาเรื่องทำร้ายเทพธิดาหลานตลอด ถ้าไม่มีคุณชายเซียวที่รักและทะนุถนอมปกป้องเทพธิดาหลาน ไม่รู้ว่าจิวโมไป๋จะทำอะไร โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เขาเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับ 1 ของมหาวิทยาลัย”
“คนชั่วร้ายแบบนี้ ไม่สมควรที่จะเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยได้เลย”
เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่ตั้งใจฟังก็สามารถได้ยิน
จิวโมไป๋ไปนั่งที่ว่าง เขาเมินคำพูดของทุกคน เขามั่นใจว่าข่าวลือไร้สาระพวกนี้ เซียวหนานจิงและหลานซูเมิ่ง จะต้องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
จิวโมไป๋ทานอาหารอย่างรวดเร็วและออกจากโรงอาหาร ระหว่างทางมีคนชี้มาที่เขาเป็นระยะ
เขาอดไม่ได้ ที่จะนึกถึงวันที่เขาสูญเสียการบ่มเพาะพลัง กลายเป็นคนพิการ เขาก็ถูกดูแคลนแบบนี้เหมือนกัน