บทที่ 768 ลูกน้อยแสนน่ารัก
ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
จัดวางสิ่งของต่างๆ ของจิ่งยินยินในห้องหนังสือ ทำทีเป็นห่วงใยจิ่งยินยินจากใจจริง จากนั้นก็หลอกนางว่านางคือจิ่งยินยิน พยายามโน้มน้าวนาง ให้นางทำงานให้ตำหนักกั๋วซือ
แบบนี้ฟังดูเป็นไปได้มากกว่า
และอีกอย่างเมื่อกี้นี้ตาคนนั้นดูมีลับลมคมใน เขาต้องปิดบังอะไรบางอย่างไว้แน่นอน
นางไม่ใช่จิ่งยินยิน นางจะหาคำตอบด้วยตัวเอง ไม่ใช่เชื่อจากคำเอ่ยของเขา
ไม่ใช่เพราะนางระแวงเขาจึงไม่เชื่อคำเอ่ยเขาสักคำ
เหล่าศิษย์ประจำเรือนไม้ไผ่จะไปส่งกู้เจียว แต่นางปฏิเสธ
นางอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ
เมื่อนางใช้มือหมีที่งุ่มง่ามของนางเข็นรถออกจากป่าไผ่ม่วงอย่างรวดเร็ว เซียวเหิงที่รออยู่ข้างนอกป่าไผ่ม่วงมานานก็เดินเข้ามาในทันที
“ข้าเอง” เซียวเหิงเอ่ย
“อืม” กู้เจียวปล่อยมือ ดึงเอาอุ้งมือหมีใหญ่ของตัวเองกลับมาวางบนตัก
ตอนที่นางออกมาเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องนั้นจนลืมเอาร่มมาด้วย
แดดแรงมาก ส่องจนนางแสบตา
ทันใดนั้น แสงบนศีรษะก็กลางเป็นร่มเงา เซียวเหิงก็กางร่มกระดาษให้นาง
เซียวเหิงเอ่ยแผ่วเบา “อาจารย์แม่บอกว่าช่วงนี้ดวงตาของเจ้าอาจจะไวต่อแสงหน่อย”
หัวใจของกู้เจียวอบอุ่น
สามีช่างเอาใจใส่จริงๆ
นางเอื้อมมือไปถือร่ม “ข้ากางเอง เจ้าเข็นรถเข็นก็พอ”
เซียวเหิงปฏิเสธมือของนาง “ข้ายังมีแรงพอ”
กู้เจียวคิดถึงตอนที่นางทับเขาเมื่อครู่ รู้สึกได้ถึงร่างกายที่เต็มไปด้วยพละกำลังและความหนุ่มแน่น ไม่ผอมบางเหมือนตอนแรกเลยสักนิด
“เจ้าแอบไปออกกำลังกายมาใช่ไม๊” ไม่ได้มีแค่กล้ามหน้าท้อง แต่ยังมีกล้ามหน้าอกเล็กน้อย ท่อนแขนยังมีไรกล้ามเนื้อ ทว่าไม่ได้ให้เกินงาม แน่นหนักกำลังพอดี
เซียวเหิงไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตา ท่าทางสงบนิ่ง เหมือนไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด “เป็นไปได้อย่างไร แค่เวลาอ่านหนังสือยังไม่พอเลย”
รถเข็นหนักจริงๆ ใช้มือเดียวลำบากจริงๆ
แต่ข้าไม่ยอมให้ภรรยาเห็นว่าเขาอ่อนปวกเปียก
ลูกผู้ชายต้องอดทน!
…นับแต่คืนนี้เป็นต้นไป ต้องเพิ่มเวลาฝึกฝนอีกหนึ่งชั่วยามทุกคืน!
…
เซียวเหิงใช้พลังทั้งหมดเข็นกู้เจียวกลับไปยังตำหนักฉีหลิน เพิ่งถึงประตูก็พบกับอันกั๋วกงและใต้เท้ารองจิ่งที่ออกมาจากด้านในโดยไม่ได้นัดหมาย
ในช่วงหลายวันที่กู้เจียวไม่ได้สติ อันกั๋วกงมาเยี่ยมทุกวัน
เรื่องที่กู้เจียวเป็นลูกบุญธรรมของเขานั้น คนทั่วไปรู้กันหมดแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร อีกอย่างก็สามารถเยี่ยมองค์หญิงได้ แต่ต้องระวัง
เพราะเขากับองค์หญิงคือคนรอดชีวิตจากตระกูลเซวียนหยวน
เขาเพิ่งทักทายองค์หญิงเสร็จ ก็ได้ยินว่ากู้เจียวฟื้นแล้วออกมาเดินเล่น เขาจึงรีบร้อนอยากมาหา
เขาโชคดีพอสมควร
ใต้เท้ารองจิ่งตกใจอุทาน “พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ! พี่ชายของข้ากำลังจะไปหาลิ่วหลังอยู่พอดี! อ๊ะ ลิ่วหลัง เจ้าเป็นอะไรถึงนั่งรถเข็นเล่น”
กู้เจียวอ้าปากค้างพลางเอ่ย “ข้า…”
เซียวเหิงกลัวว่านางจะเอ่ยอะไรหยาบคายออกไป จึงรีบเอ่ยแทรก “ลิ่วหลังเพิ่งตื่น ร่างกายยังอ่อนแออยู่ อากาศก็ร้อนมาก เดินมากไปก็เป็นลมแดดได้ง่าย”
“จริงด้วย” ใต้เท้ารองจิ่งยอมรับคำอธิบายนี้
อันกั๋วกงมองกู้เจียวด้วยความห่วงใย จุ่มนิ้วลงในถาดผ้าชุบน้ำบนที่ฝ่ามือ เขียนบนที่เท้ามือ “เจ้า เป็น อย่าง ไร บ้าง”
ใต้เท้ารองจิ่งมองดูลายมืออันกั๋วกงพลางเอ่ยกับกู้เจียว “พี่ชายของข้าถามว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
กู้เจียวตอบ “ข้าสบายดี”
อันกั๋วกงเขียนต่อ “ดวงตา ยัง เจ็บ อยู่ ไหม”
แม้ยังเจ็บอยู่บ้าง แต่กู้เจียวไม่อยากให้อันกั๋วกงกังวล นางเอ่ย “ไม่เจ็บแล้ว”
“เข้าไปคุยกันในเรือนเถิด” เซียวเหิงเอ่ย “ข้างนอกร้อนนัก”
ทุกคนเข้าไปในเรือนของกู้เจียว
เซียวเหิงมองออกว่ากู้เจียวมีเรื่องอยากจะพูดกับอันกั๋วกง หากเป็นเรื่องเล็กน้อยเขาคงแง่งอนจนตัวสั่น แต่หากเป็นเรื่องใหญ่แล้วเขาจะงอแง
เขาเอ่ยกับใต้เท้ารองจิ่ง “ท่านน้าเขยเล็ก ข้ามีหนังสือบางเล่มที่ต้องเอาไปคืนที่ห้องเก็บตำรา ไปกับข้าหน่อยได้ไหม”
ใต้เท้ารองจิ่งมองดูแสงแดดที่ร้อนจนสามารถทำให้คนตัวสั่น คิดจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เอ่ย “ข้าอยากอยู่เป็นเพื่อนท่านพี่”
อันกั๋วกงคิดในใจ ไม่ เจ้าไม่อยาก
ท้ายที่สุด ใต้เท้ารองจิ่งก็ถูกเซียวเหิงลากไป เซียวเหิงยืมหนังสือจากห้องเก็บตำรามาเยอะจริงๆ มากพอที่ใต้เท้ารองจิ่งจะขนหลายรอบ
“เหตุใดต้องเป็นข้าที่ขน” ใต้เท้ารองจิ่งมองดูเซียวเหิงที่มือเปล่า หน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เซียวเหิงถอนหายใจ “โอ๊ย ข้าเป็นคนป่วยอ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรง ไม่เหมือนท่านน้าเขยเล็กที่ทั้งสง่างามและแข็งแรง แค่ขนหนังสือสองสามเล่มยังไม่ต้องเอ่ยถึง หากให้ท่านเข็นภูเขา ท่านก็ทำได้”
ใต้เท้ารองจิ่ง “เจ้าพูดจาตรงไปตรงมาเสียจริง”
เซียวเหิง “…”
หลังจากเซียวเหิงและใต้เท้ารองจิ่งออกไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงกู้เจียวกับอันกั๋วกง
เดิมทีเสี่ยวจิ้งคงอยู่ที่นี่ แต่เซียวเหิงอุ้มเจ้าตัวเล็กที่หลับใหลไปที่ซ่างกวานเยียนก่อนที่จะไปหากู้เจียว
ลมยามบ่ายไม่มีแม้แต่นิดเดียว ทั้งตำหนักฉีหลินเหมือนกับเข่งนึ่งที่แสงแดดแผดเผา ก้อนน้ำแข็งที่วางไว้ในห้องแทบไม่มีประโยชน์
แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ ใจของทั้งสองคนกลับสงบนิ่ง
เป็นความรู้สึกผ่อนคลายยามที่อยู่ด้วยกัน
เพื่อความสะดวกในการสื่อสาร เก้าอี้รถเข็นของกู้เจียวจึงอยู่ติดกับด้านขวาของอันกั๋วกง อันกั๋วกงเขียนอะไร นางก็เห็นได้ชัด
อันกั๋วกงแตะปลายนิ้วด้วยน้ำแล้วเขียน “เจ้าดูเหมือนมีอะไรจะบอกข้า”
กู้เจียวไม่ได้ปฏิเสธ นางกำลังตัดสินใจที่จะสืบเรื่องราวของจิ่งยินยิน อันกั๋วกงก็มาเยือนพอดี อย่างไรก็ไม่ควรพลาดโอกาสนี้
นางหันขวับไปมองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของอันกั๋วกงพลางเอ่ยถาม “ท่านช่วยเล่าเรื่องจิ่งยินยินให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม”
ร่างกายของอันกั๋วกงขยับไม่ได้ แต่เขาสามารถกระพริบตาได้
กู้เจียวเห็นขนตางอนยาวของเขาสั่นไหวเล็กน้อย น่าจะรู้สึกประหลาดใจ
ถึงแม้จะรู้สึกตกใจไม่หน่อย แต่เขาก็ไม่ได้ถามกู้เจียวว่า “เหตุใดจู่ๆ ถึงอยากรู้เรื่องยินยิน” เขาเชื่อใจกู้เจียวอย่างไม่มีข้อกังขา เต็มใจตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของนางทั้งหมด โดยไม่สงสัยว่านางมีจุดประสงค์อื่น
เขาเขียน “เจ้าอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับยินยิน”
ความคิดถึงของพ่อที่มีต่อลูกนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่ว่าเรื่องใด เขาสามารถเล่าเกี่ยวกับเรื่องของยินยินได้อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบภายในสามวันสามคืน
ใช่ เริ่มต้นจากตรงไหนดีนะ
เริ่มจาก… สติปัญญาดีหรือไม่
“ยินยินฉลาดไหม” กู้เจียวถาม
“แน่นอน” อันกั๋วกงตอบพลางเขียนไปด้วย ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ยินยินเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในโลก”
กู้เจียวเพิ่งอ่านจบ
“ไร้สาระ!” ใต้เท้ารองจิ่งโผล่ออกมาจากหน้าต่างอย่างกะทันหัน คนขี้เกียจที่ขนหนังสือได้แค่ครึ่งทางก็กลับมา “ยินยินอายุสองขวบแล้วยังพูดไม่ได้! โง่มาก!”
อันกั๋วกงโกรธจนตัวสั่น เขียนด้วยน้ำเสียงที่ดุดันและน่าเกรงขาม “ตอนหนึ่งขวบเจ็ดเดือนสิบสามวันก็เรียกแม่ได้แล้วต่างหาก!”
กู้เจียว “…”
จริงอยู่ที่ในสายตาของคนรักย่อมงานเหนือใคร พ่อแม่ก็มักมองลูกของตัวเองเก่งกว่าใคร
อันกั๋วกงเขียนต่อ “อย่าไปฟังเขาเลย ยินยินฉลาดมาก แค่เริ่มเข้าใจช้า พอเริ่มเข้าใจก็จำบทกวีได้มากมาย เด็กวัยเดียวกันไม่มีใครความจำดีเท่านางแล้ว”
เช่นนั้นแปลว่าเคยแข่งหรือ
แต่นั่นไม่เหมือนสิ่งที่นางจะทำได้เลย
นางเกลียดการท่องจำบทกวีมาก แม้จำได้ก็ไม่ยอมอ่านออกเสียง
กู้เจียวจินตนาการถึงภาพตัวเองที่มีสติปัญญาของผู้ใหญ่ กำลังส่ายศีรษะไปมา เอ่ยเสียงแหลมใส แข่งกับเด็กๆ ท่องบทกวี ก็ตกใจจนตัวสั่น!
ไม่ใช่นางแน่นอน!
“ยินยิน… สนิทกับพ่อแม่มากไหม” กู้เจียวถามได้ละเว้นนามสกุลของจิ่งยินยินโดยไม่รู้ตัว
“สนิทมาก” อันกั๋วกงเอ่ยถึงลูกสาวด้วยสายตาอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก “นางติดติดข้าและแม่นางมาก ไปไหนก็ไปด้วยกัน พยายามให้นางแยกนอนก็ไม่ยอม ชอบกอดหมอนข้างเล็กๆ ของตัวเองแล้วแอบปีนขึ้นมาบนเตียงของพวกข้าตอนกลางดึก”
กู้เจียวจินตนาการภาพตัวเองเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “เตียงของข้าบอกว่ามันไม่อยากให้ข้านอนวันนี้” จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่ห้องของอันกั๋วกงและชายา กลิ้งตัวกลมๆ ของนางขึ้นไปบนเตียงของสองสามีภรรยา
เป็นไปไม่ได้ที่นางจะทำอะไรที่ไร้เดียงสาแบบนี้!
กู้เจียวกระแอมพลางเอ่ย “นาง… ไม่ค่อยชอบพูดใช่ไหม และก็ไม่ค่อยเรียกพ่อแม่ด้วย”
อันกั๋วกงเขียน “ไม่เลย ยินยินพูดเก่งมา พูดถึงพ่อแม่ทั้งวัน”
“ท่านแม่ กิน!”
“ท่านพ่อ อุ้ม!”
“ยินยินยังไม่อยากนอน ต้องจุ๊บก่อนถึงจะนอนได้”
“แต่ยินยินน่ารักขนาดนี้ ใครจะปฏิเสธนางได้ลงคอ”
น่ารักน่าเอ็นดู เอียงคอ บ้องแบ๊วสุดๆ !
กู้เจียวขนลุกไปหมด เหตุใดภาพในหัวถึงชัดเจนขนาดนี้
แค่นางคิดในหัวเฉยๆ ไม่ต้องชัดเจนขนาดนี้ก็ได้
อันกั๋วกงเขียนบนราวจับ “ข้าและแม่ของยินยินรู้สึกเสมอมาว่า การได้ยินยินมาเป็นลูกสาวคือพรจากสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเรา”
กู้เจียวมองข้อความบนราวจับ จู่ๆ ก็เงียบไป
การได้เติบโตมาด้วยความรักจากอันกั๋วกงและเซวียนหยวนจื่อ คงมีความสุขมาแน่นอน
“เจ้าคนแซ่กู้ เอาลูกสาวของแกไปซะ! ฉันไม่อยากเห็นมันอีก!”
“แม่…”
“ฉันไม่ต้องการแกแล้ว! อย่าเรียกฉันว่าแม่!”
“แม่ แม่… หนูจะเชื่อฟัง… หนูจะไม่ร้องไห้แล้ว… หนูจะไม่กินอะไรแล้ว… แม่เปิดประตูให้หนูหน่อย… แม่… หนูหนาว… ที่นี่มืด… หนูกลัว… แม่…”
นี่ต่างหากคือวัยเด็กของนาง
ค่ำคืนรอคอยวันไถ่บาปมาเนิ่นนาน