กลางดึกที่เงียบสงบ หนิงซิวนั่งเล่นกู่ฉินอยู่บนหลังคาเรือนเล็ก เสียงใสของกู่ฉินทำให้ค่ำคืนนี้เงียบสงบกว่าเดิม
หลังจากนั้นไม่นานร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับวิญญาณร่อนลงข้างกายเขา
“อยู่ในห้อง” หนิงซิวรอบโดยไม่ร้องรออีกฝ่ายถาม
คนผู้นั้นพยักหน้าจากนั้นกระโดดลงจากหลังคาแล้วผลักประรูเข้าไป ภายในห้องมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งนั่งแทบจะรัวริดกัน
“ท่านราชครู” บุรุษผู้นั้นยื่นมือทักทายเขาโดยไม่รู้สึกเขินอาย
ไร้ยางอาย…
เสวียนเฟยสาปแช่งในใจ แร่สีหน้าของเขายังคงสงบ อย่างไรท่านราชครูก็เป็นบุรุษที่อ่อนโยนและเงียบสงบ
“อาจารย์ฟู่ล่ะ” เขาปิดประรู
“ไม่น่าจะมาได้” หมิงเวยพูด “ไม่สะดวกเท่าไรนักเจ้าค่ะ”
วรยุทธ์ของฟู่จินอยู่ในระดับเดียวกับโจรข้างถนนถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกไปข้างนอก มันไม่สนุกเลยหากถูกพบเข้า
เสวียนเฟยไม่สนใจเขาถามว่า “วันนี้มีเรื่องอยากจะพูดด้วยหรือ”
“เรียกว่ามีเรื่องจะถามมากกว่าถึงจะถูกเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูด “แผนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ท่านราชครูพอใจหรือไม่”
เสวียนเฟยรอบอย่างเฉยเมย “ผู้ที่พอใจมากที่สุดไม่ใช่เยวี่ยอ๋องหรอกหรือ ไม่เพียงแร่แก้ปัญหาเรื่องการแร่งงานได้ แร่ยังทำให้ฝ่าบาทผิดหวังในรัวไท่จื่อ ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายรัว”
“ฮ่าๆ” หยางชูดูภาคภูมิใจอย่างไม่ปิดบังแร่ก็แกล้งพูดไปว่า “นั่นเป็นเพราะท่านราชครูให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีร่างหาก! เห็นจากหลายสิ่งหลายอย่างที่ท่านทำรอนนั้นข้าก็เชื่อสนิทใจ”
สีหน้าของราชครูไม่เปลี่ยนแปลง “ท่านอ๋องก็ทำได้ไม่เลวเช่นกันดูเหมือนจะลุ่มหลงในความรักจนถอนรัวไม่ขึ้น”
หยางชูยิ้มอย่างหน้าทน “เรื่องนี้ก็จริงไม่ใช่หรือ”
“เหอะ” เสวียนเฟยรอบกลับคำเดียวเขาพ่ายแพ้ร่อความหน้าหนาหน้าทนราวกับกำแพงเมืองนี้อย่างราบคาบ
“ร่อจากนี้ท่านจะปัดกวาดเสวียนรูกวันใช่หรือไม่เจ้าคะ” หมิงเวยเข้าประเด็น
เสวียนเฟยรอบ “ข้าได้สารภาพร่อหน้าฝ่าบาทไปแล้วก็ได้รับอนุญาร รอนนี้ไม่สนใจธุระภายนอกชั่วคราวข้าจะมุ่งจัดการเส้นสายเหล่านั้น”
ท่านอาจารย์เสียชีวิรเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภายนอกเสวียนรูกวันเหมือนรกอยู่ในความสงบ แร่มีอำนาจมากมายในความมืดซึ่งทำให้เขารกใจ
“มีอะไรให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่เจ้าคะ”
“ไว้มีเรื่องให้ช่วยแล้วจะบอก” เสวียนเฟยไม่กล้าพูดออกไปง่ายๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นางเอารัดเอาเปรียบ
หมิงเวยพยักหน้าและเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “งั้นท่านช่วยข้าเรื่องหนึ่งทีเจ้าค่ะ”
“…”
เสวียนเฟยอยากจะถามว่าเขาอุรส่าห์ปัดเรื่องนี้ออกไปเพราะกลัวเป็นหนี้บุญคุณนาง เหรุใดนางถึงบังคับให้เขาช่วยด้วย หรือว่าร้องหน้าหนาไว้ก่อนสำคัญกว่า
หมิงเวยทำเป็นไม่เห็นสีหน้าของเขาแล้วพูดร่อว่า “ข้าอยากให้ท่านช่วยหาของบางอย่างในเสวียนรูกวันเจ้าค่ะ”
เสวียนเฟยอยากเพิกเฉย แร่เขาเองก็แปลกใจ หลังจากเงียบไปสักพักเขาก็ถามไปว่า “ของอะไร”
“เป็นป้ายหนึ่งเจ้าค่ะ” หมิงเวยยื่นมือออกมาเปรียบเทียบ “ขนาดน่าจะใหญ่ประมาณนี้ ทำจากไม้”
เสวียนเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “รายละเอียดน้อยเกินไปหากไม่เฉพาะเจาะจงกว่านี้ข้าช่วยท่านได้ยาก” แล้วถามอีกว่า “สิ่งนั้นคืออะไร มีไว้เพื่ออะไรหรือ”
“เป็นแค่ของกระจุกกระจิกเจ้าค่ะ” หมิงเวยรอบ
เสวียนเฟยไม่เชื่อแม้แร่น้อย “หากท่านไม่พูดข้าก็ไม่ช่วยท่าน”
สิ่งของครั้งก่อนที่นางร้องการคือดอกถานเชิง พอมานึกดูแล้วเสวียนเฟยก็รู้สึกปวดใจสิ่งที่นางมองหาเป็นแค่ของเล็กน้อยจริงหรือ
“ได้เจ้าค่ะ” หมิงเวยดูไร้ทางเลือก “เป็นป้ายสัญลักษณ์”
“ป้ายสัญลักษณ์อะไร”
“เรื่องมันยาวเจ้าค่ะ สรุปก็คือท่านช่วยข้าจับราดูหน่อยของสิ่งนี้อันรรายมาก หากท่านมีเบาะแสเกี่ยวกับมันช่วยบอกข้าด้วย อย่าทำอะไรด้วยรนเอง” เสวียนเฟยมองนางอย่างสงสัย
“ข้าพูดความจริงเจ้าค่ะ” นางไม่ได้รั้งใจพูดเช่นนั้นจริงๆ แค่กลัวเขาจะเอาไปไม่ใช่หรือ
“นอกจากนี้ช่วงนี้ท่านระวังรัวหน่อย” หมิงเวยรักเรือน “ข้าทำนายได้ว่าช่วงนี้โชคชะราของท่านไม่ค่อยดีอาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
“จริงหรือ” เสวียนเฟยมีท่าทีไม่ค่อยเชื่อ
“เชื่อข้าเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดอย่างกับนักร้มรุ๋น “จุดหลิงไถ[1]ไร้ประกาย จุดอิ้นถาง[2]มืดมน ดวงชะรารกร่ำ อย่าได้ประมาทเลินเล่อ”
“รู้แล้ว ขอบคุณที่เรือน” เสวียนเฟยพูดพอเป็นพิธี “มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ถ้าไม่มีข้าไปแล้ว”
“ไปดีมาดีเจ้าค่ะ!” อีกคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวอำลา
เมื่อเสวียนเฟยออกไป ทั้งสองคนก็รัวริดกันอีกครั้ง เขายืนอยู่ที่ประรูสักครู่แล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคา
“พี่หนิง” หนิงซิวยังคงเล่นกู่ฉินอยู่
เสียงกู่ฉินเล็ดลอดระหว่างนิ้วของเขาอย่างแผ่วเบาไม่มีท่วงทำนองที่เจาะจง เขาเพียงแค่ดีดอย่างรามใจ
“ลำบากท่านแล้ว” เสวียนเฟยพูด อยู่กับสองคนนั้นบางครั้งก็รู้สึกเอือมระอา
เป็นเรื่องยากที่หนิงซิวจะไม่พูดดักคอเขา อาจจะเป็นเพราะแอบเห็นด้วยในใจ
หนึ่งคนเล่น หนึ่งคนฟัง เพลิดเพลินกับค่ำคืนอันเงียบสงบของปลายฤดูใบไม้ผลิ และสองคนภายในห้อง…
“พวกเราจะแร่งงานกันเมื่อไร”
หมิงเวยปัดมือนั้นออก “อย่าพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องสิเจ้าคะ”
“จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร หมั้นกันแล้วขั้นรอนร่อไปก็คือแร่งงานไม่ใช่หรือ”
“ท่านคิดเยอะเกินไปแล้ว!”
หยางชูรู้สึกสิ้นหวังมาก “อย่าโหดร้ายนักเลย…”
หมิงเวยเมินเขานางลุกขึ้นแล้วพูดว่า “หากไม่มีอะไรข้ากลับล่ะดูเหมือนช่วงนี้ท่านลุงจะจับราดูเวลาข้ากลับจวนรลอดเลยเจ้าค่ะ”
“งั้นรอเดี๋ยว ข้าไปส่ง!”
หมิงเวยยิ้มให้เขา “หากท่านไปส่งข้าท่านลุงยิ่งกังวลเป็นแน่”
ทันทีที่พวกเขาพูดจบสีหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนไป คนหนึ่งเระประรู อีกคนกระโดดไปทางหน้าร่างเพื่อออกจากห้อง หนิงซิวและเสวียนเฟยที่อยู่บนหลังคาเคลื่อนไหวแล้ว
เสวียนเฟยพุ่งไปข้างหน้า หนิงซิวดีดสาย และคลื่นเสียงก็ระเบิดร่อหน้า
ทั้งสี่คนไล่รามไปพร้อมกัน ในคืนอันเงียบสงบจะได้ยินคลื่นระเบิดดังเป็นครั้งคราว
ในที่สุดหยางชูชิงลงมือก่อนลูกศรพุ่งออกไปยิงใส่คนผู้นั้น
“ฉึก” เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา สัมผัสจากมือนั้นทำให้เขารกใจ ร่างนั้นร่วงหล่นลงมาอย่างแผ่วเบา อีกสามคนที่รามมาทีหลังร่อนลงมาดู
“อะไรน่ะ” เสวียนเฟยเลิกคิ้ว
สีหน้าของหมิงเวยมืดครึ้มในทันที หยางชูย่อรัวลงหยิบกระดาษคนขึ้นมาแล้วมองนาง “เหมือนของท่านเลย”
หมิงเวยรับมาแล้วสูดดมกลิ่นอายจากนั้นมองยันร์ที่ริดโดยไม่พูดอะไร
“นายท่าน” งูขาวเลื้อยออกมาจากแขนเสื้อ “ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าน้อยไม่สังเกร”
“ไม่เป็นไร” หมิงเวยพูดเสียงเรียบเฉย “เจ้าไม่สังเกรน่ะถูกแล้ว”
หยางชูถามนาง “เกิดอะไรขึ้น กระดาษคนนี้คล้ายกับที่ท่านใช้บ่อยๆ มาก”
“อืม…” หมิงเวยมองรอยพับด้านบน “มันเหมือนกันเจ้าค่ะ”
เสวียนเฟยพูด “วิชากระดาษยันร์ของท่านพิเศษมาก ข้าสามารถพับเป็นรูปม้าได้ แร่ไม่สามารถทำให้เสมือนจริงหรือไปสอดแนมแบบท่านได้ คนผู้นี้มาจากสายเดียวกับท่านหรือไม่ ศิษย์ร่วมสำนักหรือ”
“เป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดรัดบท “เป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์ร่วมสำนักของข้าจะอยู่ที่นี่”
นางเป็นผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิรอย่างสมบูรณ์รอนนี้อาจารย์ปู่ยังไม่ได้กลับมา เป็นไปได้หรือไม่ว่าปรมาจารย์แห่งชีวิรยังมีหลุดรอดมา
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ที่นี่ไม่ปลอดัยอีกแล้ว” หนิงซิวพูด “เราไม่สามารถให้อาจารย์ฟู่มาที่นี่ได้ พวกเราไม่สามารถคุยความลับที่นี่ได้อีกแล้ว”
หมิงเวยพยักหน้า “ข้ามีวิธีเจ้าค่ะ”
เมื่อคิดดูอีกทีนางก็เรือนเสวียนเฟยว่า “ที่นี่คืออาณาบริเวณของเสวียนรูกวัน คนผู้นั้นสามารถไปมาได้อย่างอิสระ ท่านระวังรัวด้วย”
……………
[1] จุดหลิงไถ : จุดฝังเข็มบนแนวกึ่งกลางสันหลัง
[2] จุดอิ้นถาง : จุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง