ฝนในฤดูใบไม้ผลิทำให้ท้องฟ้าสีครามสว่างสดใส หมิงเวยมองท้องฟ้าเมื่อเห็นว่าฝนไม่น่าจะตกแล้วจึงสั่งตัวฝู “เตรียมรถ พวกเราจะไปข้างนอก”
ตัวฝูรับคำและรีบไปเตรียมตัว โหวเหลียงเมื่อรู้ว่าพวกเขาจะไปข้างนอกจึงเดินเข้ามาถาม “แม่นางหมิงจะไปที่ใดหรือ”
หมิงเวยเห็นเขาเป็นเช่นนั้นก็รู้สึกขำ “ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านอยากไปด้วยหรือ”
โหวเหลียงหัวเราะ “นานมากแล้วตั้งแต่กลับมากับแม่นางหมิง วันๆ ไม่ได้ทำงานแบบนี้ไม่ดีเลย!”
เรื่องนี้เขาคุยกับนางแล้ว กลับมาที่เมืองหลวงโหวเหลียงรู้สึกถึงวิกฤต
ที่เกาถางเนื่องจากขาดแคลนกำลังคนเขาถึงได้มีตำแหน่งคนสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาต่อมา เมื่อหยางชูกับหมิงเวยไม่อยู่อาหว่านต้องดูแลเกาถางซะส่วนใหญ่ ในช่วงเวลาที่อยากจะช่วย แต่ความสามารถไม่เพียงพอโหวเหลียงก็ค่อยๆ ยึดอำนาจส่วนหนึ่งเอาไว้
เมื่อกลับเมืองหลวงกลับต่างออกไป หยางชูมีคนเก่าจำนวนมากอยู่ในมือ ทางด้านหมิงเวยเองก็มีคนสนิท กิจการมีครบทุกอย่างแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงอะไรมาก ดังนั้นโหวเหลียงจึงไม่มีอะไรทำมาครึ่งเดือนแล้วว่างจนเขาตระหนก
เขารู้ดีว่าตนเองเป็นคนอย่างไร หากไม่ซื่อสัตย์พอ และหาประโยชน์อะไรไม่ได้ก็จะถูกโยนทิ้งไป โหวเหลียงมีชีวิตอยู่มาสี่สิบปีแล้ว แต่ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เขารู้สึกเหมือนตนเองมีสถานะสูงขึ้นเหมือนตอนอยู่ที่เกาถาง
เขาทนกับชีวิตตอนนี้ไม่ไหวรู้สึกอันตรายยิ่งกว่าเดิม การแต่งงานได้รับการตัดสินแล้ว แม่นางหมิงเป็นหวางเฟยในอนาคต หากเขาได้เป็นคนสนิทในจวนอ๋องคงดูรุ่งโรจน์กว่าขุนนางระดับล่างเสียอีก
“ได้ ตามมาสิ”
“ได้ขอรับ!” โหวเหลียงรับหน้าที่คนขับ ขับรถม้าผ่านถนนผิงอัน และในที่สุดก็หยุดที่หน้าตรอก
ตัวฝูลงจากรถแล้วตกใจ “คุณหนู ที่นี่…”
หมิงเวยตอบ ‘อืม’ ไม่อธิบายอะไรแล้วเดินเข้าไปข้างใน ตัวฝูรีบตามเข้าไปในขณะที่โหวเหลียงนำรถม้าไปฝาก ตรอกนี้ยาวไปหน่อย และหลังจากเดินไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงดังเล็กน้อยหมิงเวยจึงหยุด
ตัวฝูมองไปที่ประตูบ้าน และถามเสียงเบา “คุณหนู ให้บ่าวไปเคาะดีหรือไม่เจ้าคะ”
หมิงเวยยังไม่ทันคิดประตูก็เปิดออก ผู้ที่เปิดประตูเป็นสตรีที่มีอายุประมาณเดียวกับนาง ผมม้วนเป็นมวยใบหน้างามดูนิสัยดี เมื่อนางเห็นหมิงเวย และสาวใช้ก็ตกใจ จากนั้นก็ถามด้วยรอยยิ้ม “แม่นางมาหาคนหรือ”
“อืม” หมิงเวยมองนางอย่างตั้งใจ สตรีผู้นั้นเมื่อถูกนางมองก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางยกมือสัมผัสใบหน้าตนเอง
“แม่นาง…”
เสียงร้องของเด็กดังมาจากลานบ้าน สตรีผู้นั้นเมื่อเห็นหมิงเวยไม่พูดอะไรจึงคิดจะกลับไป แต่ก็ได้ยินหมิงเวยถามว่า “ที่นี่ใช่บ้านตระกูลหมิงหรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ” สตรีผู้นั้นหยุดแล้วหันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางรู้จักบ้านข้าด้วยหรือ วันนี้บุตรชายข้าอายุครบหนึ่งขวบเข้ามาดื่มสุราสักจอกดีหรือไม่”
“ครบขวบหรือ! ได้สิ!” หมิงเวยพูดพร้อมกับก้าวขึ้นบันได สตรีผู้นั้นกำลังจะถามว่านางเป็นผู้ใดมาจากไหนก็ได้ยินเสียงแม่สามีดังขึ้นว่า “อาถง เจิงเอ๋อร์หาเจ้าไม่เจอแล้วร้องไห้!”
“เจ้าค่ะ!” พูดถึงบุตรชายสตรีผู้นั้นรีบเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจหมิงเวย หมิงเวยจึงเผชิญหน้ากับแม่สามีของนาง
อีกฝ่ายตกตะลึงแล้วพูดเสียงสั่น “เสี่ยวชีหรือ”
หมิงเวยยิ้มเล็กน้อย และโค้งคำนับให้นาง “ท่านอาสะใภ้สี่” นางคือฮูหยินสี่จากตระกูลหมิง
นางดูแก่ไปจากเดิมเล็กน้อย ไม่มีกลิ่นอายของฮูหยินชนชั้นสูง แต่ก็ดูมีชีวิตชีวาดี ใบหน้าของนางไม่มีแม้แต่ความขมขื่นที่เคยมีแล้วรอยยิ้มของนางดูใจดีสนิทสนมมาก
ฮูหยินสี่ตกตะลึงไปครู่หนึ่งจากนั้นก็หันไปตะโกนเรียก “เฉิงเอ๋อร์ อาเซียง! รีบออกมาเร็วเข้า!”
นางตะโกนเสียงดังจนคนในบ้านคิดว่าเกิดเรื่องพวกเขาจึงรีบวางสิ่งที่ทำอยู่แล้วออกมานอกบ้านอย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่ เกิด…” คำพูดครึ่งหลังของหมิงเฉิงติดอยู่ในลำคอ เขาจ้องหมิงเวยอย่างตกตะลึง
หมิงเซียงตะโกนว่า “พี่เจ็ด!” แล้วพุ่งเข้าไปหา หมิงเวยยิ้มกว้างแล้วโอบกอดนางไว้
เกือบสามปีแล้วหมิงเซียงไม่ได้สูงขึ้นมากนักแค่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น นางเป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว แต่นิสัยของนางไม่ได้เปลี่ยนไปเลย นางทั้งร้องไห้และหัวเราะขณะที่โอบกอดหมิงเวยแล้วตะโกนเสียงดัง “เหตุใดท่านไม่มาหาพวกเรานานถึงเพียงนี้ หรือว่าท่านยังไม่หายโกรธ ฮือๆ พี่สี่บอกว่าไปรบกวนท่านไม่ได้ คิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว!”
หลังจากความวุ่นวายผ่านไปในที่สุดหมิงเวยก็ได้เข้ามาในบ้าน
ในบ้านมีโต๊ะจัดเลี้ยงสองโต๊ะ มีแขกจำนวนไม่มาก
หมิงเวยทักทายทีละคน ทางด้านแขกที่เป็นบุรุษ มีพี่ชายภรรยาของหมิงเฉิงและน้องเขย แล้วสหายอีกสองคน ฝั่งแขกที่เป็นสตรีมีพี่สาว น้องสาวของภรรยา
สะใภ้หลิ่วไม่คิดว่านางจะเป็นพี่เจ็ดที่หมิงเซียงเคยพูดถึงจึงรีบเชิญนางมานั่งโต๊ะฝั่งสตรีแล้วกล่าวขอโทษ “ข้าไม่ทราบว่าท่านคือน้องเจ็ดเมื่อครู่เสียมารยาทแล้ว”
“เป็นข้าเองที่มากะทันหันเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูด “ข้าเพิ่งกลับมาเมืองหลวงแล้วทราบว่าพี่สี่จัดงานเสี่ยงทายจับสิ่งของในโอกาสที่บุตรอายุครบปีจึงเดินทางมาชม”
ฮูหยินสี่ยิ้ม “ดีใจที่เจ้ามา เฉิงเอ๋อร์กำลังคิดถึงเจ้าพอดีเลย”
หมิงเวยค่อยๆ สำรวจบ้าน เห็นได้ชัดว่าครอบครัวนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี แน่นอนว่าเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อน แต่หากเทียบในฐานะปุถุชนแล้วก็ถือว่ามั่นคงแข็งแกรง
ฮูหยินสี่พูดกับนางว่า “ตอนแรกพี่สี่ของเจ้าเป็นแรงงานไร้ฝีมือในร้านค้า ต่อมาเจ้าของร้านเห็นว่าเขาเป็นคนขยัน และรู้หนังสือจึงเลื่อนขั้นให้เขาทำบัญชี ทำไปสองสามปีพวกเราออมเงินได้ก้อนหนึ่งก็มาเปิดร้านเป็นของตนเอง ขายพู่กันกับน้ำหมึก…”
“เฉิงเอ๋อร์ส่งเสียวจิ่วไปเรียนวรยุทธ์รอให้เขาโตอีกสักหน่อยค่อยเข้าร่วมกองทัพ” ฮูหยินสี่ถอนหายใจ “พวกเขาสองคนตัดเส้นทางการสอบขุนนาง เสียวจิ่วไม่ได้เป็นเด็กสงบเสงี่ยมเท่าไรนักจึงไม่มีทางเลือก”
“พี่สะใภ้สี่ของเจ้าแต่งเข้ามาเมื่อปีก่อน พวกเขาหมั้นหมายมาหลายปีแล้ว เดิมทีตระกูลของเราเป็นเช่นนั้นไม่ได้คาดหวังว่าตระกูลหลิ่วจะยอมรับสัญญาหมั้นหมายนี้ แต่ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะไม่รังเกียจ”
แน่นอนว่าหมิงเวยทราบดีเมื่อตอนที่ครอบครัวพี่สี่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ นางก็ส่งคนไปยังตระกูลหลิ่วเพื่อให้แน่ใจว่าการแต่งงานจะดำเนินไปตามที่สัญญาไว้
“ข้าขอพบหน้าหลานชายได้หรือไม่” หมิงเวยถาม
“แน่นอน” ฮูหยินสี่หัวเราะแล้วให้สะใภ้หลิ่วไปอุ้มบุตรชายมา หมิงเวยเห็นเด็กท่าทางกำยำน่าเอ็นดูก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ แล้วเขาก็ลืมตากลมโตมองหมิงเวยอย่างแปลกใจ
“เขาดู…ไม่เหมือนพี่สี่เท่าไร!”
ฮูหยินสี่หัวเราะ “เหมือนแม่ของเขา! ดูจมูกสิ ดวงตาก็ด้วย” จากนั้นก็พูดกับหลานชาย “เจิงเอ๋อร์ เรียกท่านอาสิ”
เด็กคนนั้นได้ยินนางพูดว่าท่านอาก็หันไปมองหมิงเซียงซึ่งทำให้ทุกคนหัวเราะ
ฮูหยินสี่พูดกับนางว่า “ฟังรู้เรื่องนิดหน่อย แต่ยังพูดไม่ค่อยได้ เขายังเล็กไป”
เพิ่งอายุได้หนึ่งขวบฟังรู้เรื่องถือว่าฉลาดแล้ว หมิงเวยหยิบเครื่องรางออกมาแล้วแขวนไว้บนตัวเขา
“สิ่งนี้ข้าขอมาจากเสวียนตูกวัน ท่านราชครูทำเองกับมือมันจะปกป้องให้เขาเติบโตได้เป็นอย่างดีอย่างแน่นอน”
สะใภ้หลิ่วดีใจมากสำหรับผู้เป็นมารดาไม่มีของขวัญใดที่ถูกใจมากไปกว่านี้แล้ว
หมิงเวยนั่งต่ออีกสักครู่ก็ขอตัวกลับระหว่างเดินทางกลับ ตัวฝูสังเกตสีหน้าอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “คุณหนูเหตุใดถึงดูไม่ดีใจเลยเจ้าคะ”
หมิงเวยส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่ดีใจเพียงแต่…พอได้พบญาติที่ไม่ได้เจอกันมานานเลยรู้สึกคิดถึงอย่างน่าใจหาย”
ตัวฝูคิดว่านางหมายถึงหมิงเฉิง และคนอื่นๆ จึงร้อง ‘อ้อ’ แล้วไม่ถามอะไรอีก
หมิงเวยถอนหายใจในใจ ท่านอาจารย์…หวังว่าครั้งนี้ท่านจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความพินาศของครอบครัวและการพลัดพรากอีก
………….