ประโยคนี้ของเฉินชางทำให้หวังฉีตามไม่ทัน “ผมเคยสอนเหรอ”
“คุณเคยสอน...มั้ง” เฉินชางตอบ!
พวกหัวหน้าที่อยู่รอบๆ และหยางไคฮว่าที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจกับคำว่า ‘มั้ง’ ไม่น้อย
มั้ง!?
หมายความว่าไง
ทุกคนจ้องเฉินชาง ทำให้เฉินชางอึดอัดเล็กน้อย อืม ยังไม่ชินนิดหน่อย และ…เขินด้วย!
เฉินชางมองหวังฉี “อาจารย์หวัง คุณลืมแล้วเหรอครับ”
หวังฉีลืมแล้วจริงๆ เขาลืมไปแล้วว่าตนเคยสอนเฉินชางผ่าตัดการแก้ไขการเคลื่อนตัวของหลอดเลือดแดงใหญ่แต่กำเนิดรวมกับการผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติของหัวใจ เพราะ…เขาเองยังไม่มั่นใจว่า เมื่อสี่ปีก่อน การผ่าตัดเคสนี้ของตนเป็นอย่างไร ตอนนั้น…
เฉินชางรีบตัดบท “เอ่อ หัวหน้าหวังครับ ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาแล้ว เราไปห้องผ่าตัดกันก่อนเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ผมทบทวนความจำให้อย่างละเอียด ไม่แน่ว่าคุณอาจจะนึกออก!”
หวังฉีถอนหายใจ มองเฉินชาง “เฮ้อ…ผมแก่แล้วจริงๆ”
เฉินชางยิ้ม “อืม คุณต้องแก่แล้วแน่ๆ…”
พวกหัวหน้าสบตากันไปมา!
ไม่สิ…
ไม่ใช่หวังฉีแก่แล้ว!
เฉินชางรู้สึกว่าพวกเราล้วนแก่กันแล้ว
แต่ละคนอายุเยอะ หูหนวกตาพร่ามัว แม้แต่หัวสมองก็ไม่แล่นแล้ว…
ไม่ๆๆ!
คุณคิดว่าเราแก่จนเลอะเลือน หัวสมองก็ไม่แล่น
ตอนนี้หัวหน้าทั้งสี่สบตากัน ยืนยันความคิดจากสายตาของกันและกัน ถ้าพบว่าเฉินชางผิดพลาดแม้แต่น้อยก็จะดึงเขาลง ให้ศาสตราจารย์หวังขึ้นแทน
ชั่วขณะนี้ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบว่าเฉินชางเชื่อถือไม่ได้!
ขณะที่หยางไคฮว่ามองทีมผ่าตัดหรูหราทีมนี้แวบหนึ่ง เขาทั้งรู้สึกมั่นคงและวางใจ!
แต่ตอนที่เขาเห็นเฉินชาง ไม่รู้ทำไม กลับ…ประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย
ชีวิต มักสร้างความตื่นเต้นโดยที่คุณไม่ทันตั้งตัว
ถึงอย่างไรเฉินชางก็เป็นแพทย์ผู้นำทีม
หลังจากคุยสถานการณ์ต่างๆ กับลู่เจี๋ยเสร็จแล้ว เถามี่ก็พาหวังฉีไปลงทะเบียนก่อนจะเดินไปทางห้องผ่าตัด
พยาบาลเล่อเล่อกับเสี่ยวหลินถอดเสื้อเฉิงเฉิง เด็กหญิงมองหยางไคฮว่าแล้วพูดอย่างขวยเขิน “อาหยางคะ หลับตาค่ะ”
หยางไคฮว่ายิ้มเก้อเขิน “อืม อาหลับตาแล้ว เฉิงเฉิง รอหนูตื่นมา อาจะพาไปกินของอร่อยๆ นะครับ ดีไหม”
เฉิงเฉิงส่ายหน้า “ไม่ดีค่ะ!”
หยางไคฮว่าส่ายหน้า “ทำไมล่ะครับ”
จู่ๆ เฉิงเฉิงก็น้ำตาคลอ “หนูไม่ได้ไปตรวจนะคะ หนูไปผ่าตัด ใช่ไหมคะ”
ทุกคนเงียบ
เล่อเล่อพูดพร้อมรอยยิ้ม “เฉิงเฉิง ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ใช่การผ่าตัดอะไร แค่นอนหลับเดี๋ยวก็ตื่นขึ้นมาแล้ว”
เฉิงเฉิงมองทุกคนแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจเอาอย่างผู้ใหญ่ “พวกคุณโง่หรือเปล่า…คิดว่าหนูยังเด็กเหรอคะ อย่าคิดว่าหนูไร้เดียงสาขนาดนั้นสิ”
ทุกคนอึ้ง เห็นเด็กร่างเปลือยคนนี้เอามือเท้าเอวหัวเราะเยาะทุกคนแล้วอดนึกขำไม่ได้
แต่….หัวเราะไม่ออก
เฉิงเฉิงถอนหายใจ พูดกับลู่เจี๋ยว่า “แม่!”
ลู่เจี๋ยแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ เฉิงเฉิง”
เฉิงเฉิงพูดข้างหูแม่อย่างระมัดระวัง “แม่ หนูคิดว่าอาหยางเขาชอบแม่ค่ะ…”
ลู่เจี๋ยได้ยินแล้วกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที พลันกลอกตาไปมา “รีบนอนลงไป เดี๋ยวเป็นหวัดนะคะ”
เฉิงเฉิงหัวเราะคิกคักก่อนจะมุดเข้าผ้าห่มไปเผยให้เห็นศีรษะเล็ก เธอคลี่ยิ้ม ฟันหน้าเธอหลอไปซี่หนึ่ง ดูแล้วน่ารักมาก
……
……
พยาบาลใช้ผ้าห่มห่อตัวเฉิงเฉิงแล้วเปลี่ยนเป็นเตียงที่มีล้อเข็นเข้าห้องผ่าตัดไป
ตอนที่เล่อเล่อเก็บของผ่าตัด หนังสือไดอารี่ตกลงมา ในขณะที่เตรียมจะเก็บ ลู่เจี๋ยก็เห็นพอดี เธอพูดอย่างประหลาดใจ “อันนี้ให้ฉันค่ะ”
พยาบาลอึ้ง ยัดไดอารี่ให้ลู่เจี๋ย “พี่ลู่ นี่…อะไรคะ”
ลู่เจี๋ยยิ้ม “นี่ไดอารี่ของเฉิงเฉิง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าตัวเล็กเริ่มเขียนไดอารี่ตั้งแต่เมื่อไร”
เล่อเล่อได้ยินแล้วประหลาดใจขึ้นมาทันที เธออยากรู้มากว่า โลกของเด็กอายุแปดขวบจะเป็นอย่างไร
ลู่เจี๋ยเริ่มพลิกอ่านไดอารี่
หน้าแรกเขียนว่า: หนังสือไดอารี่
หลังจากเปิดออก ข้างในเขียนว่า ไดอารี่บทที่หนึ่ง
‘คุณครูบอกว่า ไดอารี่เป็นเพื่อนของเรา เราเขียนเรื่องราวที่ไม่มีความสุขลงไป ก็จะมีความสุข เขียนเรื่องราวที่มีความสุขลงไป ก็จะยิ่งมีความสุข…’
‘วันนี้หนูโดนไอ้คนหัวโตรังแก เขาผลักหนู…บอกว่าหนูไม่มีพ่อ หนูโกรธมาก หนูอยากเอาคืน แต่หนูจำที่พ่อบอกได้ หนูเป็นตำรวจตัวน้อย ห้ามทำร้ายคนอื่น…’
‘แม่ถามหนูว่าทำไมเสื้อขาด หนูไม่กล้าบอกว่าโดนพวกเขารังแก หนูกลัวแม่เสียใจ แม่ร้องไห้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ หนูจะทำให้แม่โกรธไม่ได้ เฉิงเฉิงโตแล้ว ต้องเป็นเด็กเชื่อฟัง’
‘วันนี้ไม่สบายเลย รู้สึกอึดอัดมาก หายใจไม่ออก ไม่รู้ว่าเพราะที่โดนไอ้หัวโตตีหรือเปล่า แต่ถึงยังไงไอ้หัวโตก็ยังเป็นเพื่อนของหนู เขาให้ขนมหนูชิ้นหนึ่ง และยังปกป้องไม่ให้คนอื่นรังแกหนู…’
‘วันนี้ครูชมหนูด้วย…’
……
……
ด้านในบันทึกชีวิตประจำวันของเฉิงเฉิงไว้มากมาย ละเอียดมาก
ลู่เจี๋ยอ่านแล้วปวดใจ เธอเพิ่งค้นพบว่า ที่แท้ลูกโตแล้วจริงๆ
เฉิงเฉิงมีเรื่องน้อยใจมากมายแต่ไม่บอกตน รู้จักเก็บความน้อยใจไว้ในใจ
เฉิงเฉิงที่รู้ความไม่อยากให้ตนเป็นห่วง จะเป็นตำรวจตัวน้อยปกป้องแม่
ลู่เจี๋ยน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว หยดลงบนไดอารี่ ลู่เจี๋ยรีบเช็ดให้แห้ง
พอเปิดถึงหน้าท้ายๆ ลู่เจี๋ยอ่านแล้วทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก กลั้นไม่ไหว นอนร้องไห้อยู่บนเตียง
เล่อเล่อกับเสี่ยวหลินเพิ่งเก็บของเสร็จ เห็นลู่เจี๋ยร้องไห้ก็รีบปลอบ ไดอารี่ที่อยู่ข้างๆ บันทึกเรื่องราวในช่วงหลายวันนี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
‘วันนี้…อากาศแจ่มใส วันนี้รถของแม่ถูกคุณอาคนหนึงชง แม่ตกใจ…คุณอาคนนั้นล่อมาด แต่ล่อสู้พ่อไม่ได้ คุณอาให้เงินแม่มาเยอะมากเลย…
หนูเริ่มไม่สบายอีกแล้ว หายใจไม่ออก ทำให้แม่ตกใจมาด คุณอากับแม่พาหนูไปโรงพะยาบาน เจอคุณอาหมอที่ล่อมาดคนหนึ่ง หนูเกี่ยวก้อยกับเขา ไม่ให้เขาบอกแม่ แต่…คุณอาหมอผิดสันยา ทำให้แม่ร้องไห้ แต่คุณอาหมอพาหนูไปตวด แล้วแอบบอกแม่ว่าหนูน่าจะป่วยแน่ๆ หนูเห็นแม่แอบร้องไห้อยู่นานมาก
ตอนกลางคืน แม่กลับมาก็ร้องไห้ตลอด บอกว่าเฉิงเฉิงไม่เชื่อฟัง ทำให้แม่เป็นห่วงอยู่เรื่อย’
‘วันนี้ฟ้ามืดคึ้ม คุณอาหมอบอกแม่ว่าหนูต้องผ่าตัด ต้องใช้เงินเยอะมาก หนูกังวนมากว่า เงินที่บ้านหมดแล้ว…แม่ไม่ยอมซื้อเสื้อผ้าใหม่เลย หนูไม่อยากป่วย หนูกลัวมาก’
‘วันนี้หนูมานอนที่โรงพยาบาล แม่บอกว่ามาตวด หนูรู้ว่าจะผ่าตัด เพื่อไม่ให้แม่เป็นห่วง หนูแก้งทำเป็นไม่รู้ ในโทรทัศน์บอกว่าผ่าตัดจะตายได้ หนูกลัวมาก...
หนูไม่อยากตายไวขนาดนี้ ฮือๆ…หนูอยากอยู่กับแม่ แม่น่าสงสารมาก ไม่มีหนูแล้วแม่จะอยู่ยังไง
แม่ชอบร้องไห้มาก ถ้าแม่ไม่มีความสุข จะไม่มีคนเชดน้ำตาให้แม่ ทำให้แม่มีความสุข หนูกลัวมาก…’
หน้าสุดท้าย ตรงด้านล่างสุดมีตัวหนังสือตัวเล็กๆ บรรทัดหนึ่ง
‘แม่ หนูรู้ว่าแม่อ่านไดอารี่ของเฉิงเฉิงแล้ว เฉิงเฉิงอาจจะไม่ได้กลับมาอีก ไม่ได้อยู่กับแม่อีก แต่เฉิงเฉิงหวังว่า ต่อไปแม่จะมีความสุข อย่าเอาแต่ร้องไห้…ไม่อย่างนั้น เฉิงเฉิงกับพ่อจะไม่มีความสุขนะคะ’