ตอนที่ 508 วิจัยยาตัวใหม่ ตอนที่ 509 เธอคือชีวิตของฉัน
ตอนที่ 508 วิจัยยาตัวใหม่
วันรุ่งขึ้นลู่จือฉินเร่งมาจากเมืองเย่ว์ตู
มู่เถาเยาเอาผลหมื่นปีให้หนึ่งผล
วันต่อๆ มาสองศิษย์อาจารย์และตี้อู๋เปียนก็ไปวิเคราะห์ส่วนประกอบของผลหมื่นปีด้วยกันที่ศูนย์วิจัย
ปรากฏว่าวิเคราะห์ออกมาได้หลายอย่างเลยทีเดียว
ทั้งสามคนรู้สึกเซอร์ไพรส์มาก
เมื่อเทียบกับหญ้าพิษชีวิตและดอกเถียนซินที่ไม่ทราบส่วนประกอบแล้ว ส่วนประกอบที่แยกออกมาได้นี้ก็ถือว่าไม่ง่ายเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้มู่เถาเยาจึงชวนตี้อู๋เปียนกับลู่จือฉินไปเก็บสมุนไพรที่มีส่วนประกอบเหล่านี้ในเขตป่าชั้นใน
ลู่จือฉินมองสองคนที่อยู่ข้างหน้าอย่างมีเลศนัย
นี่ลูกศิษย์ของเธอยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ!
ส่วนอีกคนก็ทั้งโมโหทั้งจนปัญญา
ขนาดเธออยู่มาสองชาติไม่เคยมีแฟนไม่เคยมีความรักยังมองออกเลยว่าพ่อเทพบุตรรูปงามที่อยู่ข้างหน้าคนนี้คิดยังไง แต่ลูกศิษย์ของเธอไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดคลุมเครือขนาดไหนก็ยังฟังไม่ออก แถมยังตีความไปเป็นอื่น…
เธอเห็นแล้วก็รู้สึกขำ
เสี่ยวเยาเยาเป็นคนฉลาดมาก แต่ด้วยความที่สนิทกับอู๋เปียนก็เลยไม่เคยคิดไปในทางอื่น
“เอาล่ะ หาได้ครบหมดแล้ว พวกเราเก็บผลไม้กลับไปด้วยดีกว่า” มู่เถาเยาหันกลับมายิ้มพูดกับทั้งสองคน
ในเข่งของทั้งสามคนใส่เต็มไปแล้วสอง อีกหนึ่งเข่งที่เหลือเอามาใส่ผลไม้แล้วกัน
ตี้อู๋เปียนกับลู่จือฉินย่อมไม่คัดค้าน
แยกย้ายกันเก็บผลไม้
“เสี่ยวเยาเยา พรุ่งนี้อาจารย์จะกลับเย่ว์ตูแล้ว รอพวกศิษย์น้องของเธอปิดเทอมค่อยมาพร้อมกันอีกรอบ”
เธออยู่เย่ว์ตูเพื่อวิจัยและพิสูจน์ตำรับยาโบราณ รวมถึงสูตรยาที่เหมียวฉีให้มา สามารถจำแนกและนำมารวมเป็นยาสูตรใหม่ได้มากมาย
“ค่ะ เดี๋ยวให้เครื่องบินของพี่สามไปส่งอาจารย์กลับ ถือโอกาสเอาของไปฝากอาจารย์อาเล็กกับพวกศิษย์พี่ด้วยค่ะ”
ถ้าบอกว่าจะไปส่งโดยเฉพาะอาจารย์สามต้องปฏิเสธแน่ เหมือนตอนขามา
ลู่จือฉินพยักหน้า “อึม”
ทั้งสามคนเก็บผลไม้เต็มเข่งเสร็จก็เหาะกลับหมู่บ้านเถาหยวน
วันรุ่งขึ้นหลังส่งลู่จือฉินเสร็จมู่เถาเยาก็ขลุกตัวอยู่ในศูนย์วิจัยกับตี้อู๋เปียน
หนึ่งสัปดาห์ต่อมายาตัวใหม่ก็คลอดออกมา เอาไปทดลองกับสัตว์ที่ใช้ทดลองยาโดยเฉพาะก่อน
หยวนเหยี่ยช่วยสังเกตดู
วันต่อๆ มานอกจากจะวิจัยผลหมื่นปีต่อแล้ว มู่เถาเยายังมีเข้าเขตป่าชั้นในไปเก็บสมุนไพรกับผลไม้พร้อมตี้อู๋เปียนบ้าง ดูปัญหาต่างๆ เรื่องการสร้างศูนย์วิจัยชิปที่หมู่บ้านเถาหยวน
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนบอกพวกชาวบ้าน พวกชาวบ้านก็ไม่ว่าอะไร
ทั้งสองคนจึงให้จั่วฮั่วที่เป็นหัวหน้าตระกูลจั่วกับเฉิงซิ่นมาที่หมู่บ้านเถาหยวนไปกลับอยู่หลายรอบ ต่อมาถึงยืนยันได้ว่าจะสร้างศูนย์วิจัยตรงไหน
ที่หมู่บ้านเถาหยวนจะสร้างแค่ศูนย์วิจัยและพัฒนา ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ใหญ่แบบการสร้างโรงงานผลิต เพราะในโครงการของพวกเขาจะสร้างโรงงานและบริษัทไว้ในตัวอำเภอหลินซีที่หมู่บ้านเถาหยวนตั้งอยู่
ประการแรกเพราะจะได้ประหยัดพื้นที่ที่ต้องทำเป็นที่พักในหมู่บ้านเถาหยวน ประการที่สองอยู่ในตัวอำเภอรับสมัครคนงานง่ายกว่า ประการที่สามหมู่บ้านเถาหยวนกับสองหมู่บ้านข้างๆ ไม่มีแรงงานเหลือแล้ว และพวกเขาก็ไม่ได้อยากให้คนนอกเข้ามามากมาย…
คำนึงถึงเหตุผลในหลายๆ ด้าน สร้างโรงงานไว้ในตัวอำเภอเหมาะสมที่สุด
เมื่อแน่ใจทุกอย่างแล้วมู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนก็ไม่ยุ่งด้วยอีก ยกให้เฉิงซิ่นกับจั่วฮั่วจัดการ จากนั้นก็เตรียมไปสำรวจทุ่งหญ้าของเขตป่าชั้นในต่อ
เจ้าขาวปุยย่อมถูกพาไปด้วย ส่วนจิ้งจอกน้อยปล่อยให้เล่นเป็นเพื่อนพวกเด็กๆ อยู่ในหมู่บ้าน
เดิมทีอยากเลี้ยงจิ้งจอกน้อยให้เป็นสัตว์ช่วยหาสมุนไพร แต่ตอนนี้มีเจ้าขาวปุยแล้ว จิ้งจอกน้อยก็ไม่จำเป็นอีก
“ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ พวกเราจะออกมาก่อนปิดเทอมหน้าหนาวแน่ค่ะ ย่าคะ ไม่ต้องใส่อาหารไปเยอะค่ะ หนูเอายาบำรุงไปด้วย เขตป่าชั้นในมีผลไม้เยอะ เอาขนมไปนิดหน่อยก็พอแล้วค่ะ”
“ใส่ไปไม่เท่าไรจ้ะ กินได้ประมาณครึ่งเดือน” ย่าตี้ก็ช่วยจัดแบ่งของกินเป็นถุงๆ ใส่เข่งที่เป็นของตี้อู๋เปียน
มู่เถาเยา “พวกเราอยู่นานสุดหนึ่งอาทิตย์ ไม่ต้องพกเยอะขนาดนั้นค่ะ”
ตอนนี้หลายโรงเรียนหลายมหาวิทยาลัยเข้าสู่ช่วงสอบแล้ว อีกหนึ่งสัปดาห์ก็จะปิดเทอมหน้าหนาวแล้ว
ย่าอวิ๋นยิ้มพูด “เราสองคนน่ะกินไม่เยอะ แต่เจ้าขาวปุยน่ะกินเยอะ เอาไปเยอะหน่อยไม่เป็นไรหรอก อู๋เปียนเป็นผู้ชายแบกไหว”
ตี้อู๋เปียน “เอาไปเถอะ มีเท่าไรก็ไม่พอให้เจ้าขาวปุยกิน”
เห็นตัวเล็กแค่นั้นแต่กินจุเหลือเกิน
“ก็ได้ค่ะ” มู่เถาเยาลูบเจ้าขาวปุยที่อยู่บนบ่าเธอ
หยวนเหยี่ยพูดด้วยความรู้สึกขำ “เจ้าตัวนี้จะนกก็ไม่นก ลักษณะคล้ายนก ชอบเกาะบนบ่าคน เกาะต้นไม้ หลังคา เวลากินยังใช้ปากจิกเหมือนนก นี่ถ้ามีปีกสองข้างก็คงเป็นนกแน่ๆ”
ซย่าโหวโซ่วพูด “แต่มันมีหูเหมือนกระต่าย ขนก็ขาวเหมือนกระต่าย ปุกปุย แถมยังชอบกินแครอท”
มู่เถาเยายิ้ม “ไม่เคยเห็นตำราเล่มไหนอธิบายถึงสัตว์ชนิดนี้ไว้ ก็ไม่รู้นะคะว่ามันเป็นตัวอะไร”
ปู่เย่ว์หัวเราะ ฮึ ๆ
“ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไร เอาเป็นว่ามันคือสัตว์วิเศษที่มาจากเขาเทพจันทรา”
ทุกคนต่างพยักหน้า
มู่เถาเยาลูบเจ้าขาวปุย ยิ้มดวงตาโค้งมน “ถึงจะไม่รู้ว่ามันมีชีวิตอยู่มานานเท่าไรแล้ว แต่มันก็ยังคงเป็นเด็กน้อย หลายวันมานี้มันชอบหนีไปเล่นกับพวกเกาหม่า เพิ่งผ่านมาไม่นานก็สนิทกับฝูงม้ากับพวกช้างน้อยแล้วค่ะ”
เจ้าขาวปุยเหมือนเด็กที่พ่อแม่เพิ่งพาออกจากเขามาอยู่ในเมืองใหญ่ อยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด อยากกินอยากเล่นไปทั่ว…
ปู่ตี้ยิ้มพูด “เมื่อก่อนมีแค่มันตัวเดียวคงเหงาน่าดู”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ตอนที่ 509 เธอคือชีวิตของฉัน
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนเหาะไปถึงชายขอบทุ่งหญ้าแล้วถึงลงสู่พื้นพักผ่อนอย่างแท้จริง
“ซาลาเปาน้อย นี่ก็เย็นแล้ว คืนนี้พวกเรานอนที่นี่แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยหาต้นพืชที่ไม่รู้จัก”
“ได้”
มู่เถาเยาถอดเข่งที่อยู่บนบ่าลงมา
เจ้าขาวปุยกระโดดออกมาทันที วิ่งพล่านอยู่รอบตัวทั้งสองคนด้วยความดีใจ ร้องจี๊ดๆ ไม่หยุด
มู่เถาเยาพูดด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมถึงได้ร่าเริงขนาดนี้ ตรงนี้ไม่มีอะไรเลยนะ!”
ก็ใช่ว่าไม่มีอะไรเลย เพียงแต่พวกสัตว์ในระยะไม่ไกลนี้ต่างหยุดชะงักกันหมดเหมือนตายไปแล้ว จึงไม่ได้ยินเสียงเลื้อยคลาน วิ่ง คำราม และเสียงอื่นๆ ของสัตว์นอกจากเสียงลม
“แปลกใหม่ไง! เมื่อก่อนมันอยู่แต่เขาเทพจันทรา ไม่เคยเห็นโลกภายนอก ตอนนี้เห็นอะไรก็เลยดูแปลกใหม่ไปหมด เหมือนเด็ก”
ตี้อู๋เปียนพูดพลางหยิบผ้าใบออกมาปูตรงที่เหมาะๆ
“มันว่องไวขนาดนั้น ถ้าอยากออกจากเขาเทพจันทราก็เป็นเรื่องง่ายๆ ทำไมไม่ลองออกมาดูล่ะ”
“เคยถามเจ้าขาวปุยแล้ว มันไม่รู้ว่าข้างนอกมีสิ่งมีชีวิตด้วย คิดว่าเหมือนเขาเทพจันทรา เลยไม่อยากออกไป อีกอย่างมันต้องเฝ้าหญ้าพิษชีวิต เพียงแต่มันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเฝ้า รู้แค่ว่ากินได้”
มู่เถาเยาอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมาลูบหัว “เจ้าขาวปุย น่าสงสารจังเลย”
ตี้อู๋เปียนหลุดขำ “แต่อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น พอเธอไปหญ้าพิษชีวิตก็กำลังจะแข็งตัวพอดี เจ้าขาวปุยเลยตามเธอออกมาด้วย”
“คงเป็นเบื้องบนกำหนดไว้”
พวกเธอมาจากแผ่นดินจงโจว นับตั้งแต่นั้นมาก็ได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนมากมาย
ตี้อู๋เปียนมองมู่เถาเยาที่กำลังลูบเจ้าขาวปุยอย่างอารมณ์ดีด้วยสายตาจริงจัง “อึม ถ้าไม่ได้เธอตอนนี้ฉันคงไม่อยู่แล้ว เธอคือชีวิตของฉัน สวรรค์กำหนดไว้”
ระยะนี้เขาสารภาพรักอยู่ตลอด ปรากฏว่าแม้แต่คำว่า ‘ฉันชอบเธอ’ เธอก็ยังตีความเพี้ยนไปได้!
เพราะทุกคนก็ชอบเธอ แถมพวกเด็กๆ ยังชอบพูด ‘ชอบพี่สาว ชอบอา ชอบอาจารย์อาเล็ก’ กันจนติดปาก เลยทำให้ตอนเขาบอกชอบเธอ เธอยังพยักหน้าจริงจังเหมือนเวลาตอบเด็กๆ…
มันน่า…โมโหจริงเชียว!
ช่างเถอะ ยังไงซะข้างกายเธอก็ไม่มีคนอื่น ค่อยๆ แทรกซึมเหมือนชาในน้ำเย็นแล้วกัน
อันที่จริงรสชาติของชาที่ชงในน้ำเย็นก็ไม่ได้แย่ไปกว่าชาร้อน
รอคำสารภาพเยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็น่าจะรู้สึกได้เอง
แน่นอนว่าเขาคิดแบบนั้น แต่ก็ต้องดูสถานการณ์จริงด้วย เพราะคนอย่างซาลาเปาน้อยมักทำให้เหนือความคาดหมายได้เสมอ
ยังคาดหวังอยู่ว่าไม่ต้องใช้เวลานานอยู่ ๆ เธอก็เข้าใจความรู้สึกของเขา
เขาไม่อยากเหมือนน้าเล็กที่ต้องรอถึงยี่สิบปี ไม่ใช่ไม่ยินดีรอ แต่รู้สึกว่ายี่สิบปีมันเสียเวลาเกินไป!
มีเวลายี่สิบปีขนาดนั้นเขากับซาลาเปาน้อยทำอะไรได้ตั้งมากเท่าไร เผลอๆ ลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว!
ตี้อู๋เปียนแอบให้กำลังใจตัวเอง
“พี่สาม?” มู่เถาเยาแกว่งมือตรงหน้าตี้อู๋เปียน
“อึม?”
“คิดอะไรอยู่คะ ฉันถามว่าดื่มน้ำไหม” มืออีกข้างของมู่เถาเยายื่นน้ำให้เขา
ตี้อู๋เปียนรับน้ำไป เปิดฝาดื่มเข้าไปหลายอึกแล้ววางบนผ้าใบ
ทั้งสองคนกินเนื้อแห้งกับผลไม้นิดหน่อย เจ้าขาวปุยกินเยอะกว่าปริมาณของทั้งสองคนรวมกัน
มู่เถาเยาอุ้มเจ้าขาวปุยที่นอนผึ่งพุงมาไว้บนขาแล้วถามด้วยความสงสัย “ทำไมมันถึงได้กินจุแบบนี้นะ เหมือนกับว่ากินเยอะแค่ไหนก็ไม่เป็นไร พี่สาม ถามมันหน่อยสิว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า อยากกินยาช่วยย่อยไหม”
“วางใจเถอะ มันสบายดี ดูสิหลับปุ๋ยไปแล้ว!”
มู่เถาเยาก้มมองแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
เจ้าขาวปุยใช้สองเท้ากอดปากแหลมๆ นอนตัวกลม น่ารักเหลือเกิน
ท้องฟ้ายามราตรีคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงดาวเปล่งประกายเต็มท้องฟ้า
มู่เถาเยาเงยหน้า “ฉันรู้สึกเหมือนภาพลวงตา รู้สึกว่าดูดาวที่นี่สวยกว่าใหญ่กว่าในหมู่บ้านเถาหยวนเสียอีก”
“ซาลาเปาน้อย ดวงดาวของที่นี่ใหญ่กว่าและสวยกว่าแน่นอน”
อันที่จริงหลายครั้งเป็นเพราะอารมณ์ที่ต่างกัน ภาพที่มองเห็นจึงให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน
ไม่ใช่ตี้อู๋เปียนไม่เข้าใจ แต่เขากำลังเคลิบเคลิ้มกับบรรยากาศ
มู่เถาเยายิ้ม ไม่ปฏิเสธ
ทั้งสองคนคุยกันสักพักก็เอนตัวลงบนผ้าใบผืนเล็ก
มู่เถาเยาคิดว่าตัวเองเป็นบุตรแห่งยุทธภพจึงเป็นคนติดดิน ไม่อะไรมากกับสภาพแวดล้อม หลับสบายตลอดคืน
แต่สำหรับตี้อู๋เปียนแล้ว นี่มันๆ ๆ…ตื่นเต้น…จนบรรยายความรู้สึกของตัวเองไม่ถูกแล้ว!
เขาจึงไม่กล้าขยับ กลัวจะทำคนข้างกายตื่น นอนตัวเกร็งลืมตาทั้งคืน
วันรุ่งขึ้น..มู่เถาเยาตื่นแต่เช้าตรู่ ตี้อู๋เปียนก็แสร้งทำเป็นเพิ่งตื่น
ทั้งสองคนไปฝึกยุทธ์ตรงทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
แม้ที่นี่จะเป็นทุ่งหญ้าในป่า แต่ก็ใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ต้นหญ้าสูงเท่าเข่าของทั้งสองคน ต้นพืชส่วนใหญ่เป็นสีแดง เหลือง เขียว สามสีนี้ มองขึ้นไปมีดอกไม้เล็กๆ แซมอยู่ เหมือนพรมขนาดใหญ่ที่สีสันละลานตา
ลมหนาวพัดมา ต้นหญ้าก็พลิ้วไปในทิศทางเดียวกัน
มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง “ขาดแค่วัวกับแพะ” ลมพัดทุ่งหญ้ามองเห็นวัวแพะ
“วัวกับแพะมีเหรอจะกล้ามาที่นี่”
“นั่นสิ สัตว์ทุกชนิดมีอาณาเขตของตัวเอง ถ้าข้ามอาณาเขตจะถูกจับกินได้ง่ายๆ”
อย่าเห็นว่าตอนนี้เงียบสงบ เดี๋ยวพอพวกเขาไป ตรงนี้อาจเป็นสนามรบก็ได้
สองคนกับหนึ่งตัวกินอะไรเล็กน้อยเสร็จก็เก็บข้าวของเตรียมเดินทางต่อ
ตี้อู๋เปียนยกเข่งที่ภายในมีเพียงกล่องยาใบน้อยให้มู่เถาเยาสะพาย “ซาลาเปาน้อย พวกเราไปดูตรงต้นพืชที่ไม่รู้จักก่อนแล้วค่อยเดินผ่านทุ่งหญ้าไปดูว่าด้านนั้นมีอะไร”
“อึม”