ตอนที่ 399 ระหว่างอ้อมเนินเขาเมฆา
“นายใหญ่?”
ฉีเหวินพูดซ้ำรอบหนึ่ง นึกถึงตัวอักษรตัวน้อยที่พูดได้เหล่านั้นอย่างอดไม่ได้ เมื่อ ‘เทียบเจตกระบี่’ กางออกในเย็นวันนั้น เขาเมฆาก็ได้มีค่ำคืนที่คึกคักที่สุดในประวัติศาสตร์ ตอนนี้คิดดูแล้วก็ยังคงรู้สึกสนุกเป็นอย่างยิ่ง
“ถูกต้อง เรียกว่านายใหญ่ ทำได้แค่เรียกแบบนี้แล้ว รายละเอียดอย่างอื่นไม่จำเป็นต้องพูดมาก”
ขณะนี้นักพรตชิงซงมั่นใจในความคิดของตนเองมาก ดูจากท่าทางของฉีเหวินแล้วน่าจะรู้สึกเห็นด้วยเช่นกัน ทว่าเงยหน้ามองธงดาราในตำหนักใหญ่อีกครั้งแล้วยังคงพูดกับฉีเหวินอย่างจริงจัง
“อารามเขาเมฆาตอนนี้เป็นสำนักเต๋าฝึกปราณแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ถือเป็นสมาชิกคนหนึ่งในอาราม เพื่อที่จะสืบสานลัทธิเต๋าเขาเมฆาต่อไปในอนาคต จะเป็นไปไม่ได้หากไม่มีการฝึกปราณที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นเราต้องฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งต่อไป!”
“นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว จริงสิ อาจารย์ เช่นนั้นต่อจากนี้ท่านจะยังไปตั้งแผงทำนายชะตาหรือไม่”
“เอ่อ…”
นักพรตชิงซงหมดคำจะเอ่ยโดยพลัน คิดว่าอนาคตระดับการฝึกปราณยิ่งมายิ่งสูงขึ้น วิชาทั่วไปอย่างวิชาของชาวยุทธภพอาจะไม่เพียงพอแล้วกระมัง
“แค่ก ฝึกปราณส่วนฝึกปราณ ความชอบส่วนความชอบ ท่านจี้เองก็มีความชอบเช่นกัน แน่นอนว่าไม่อาจละเลยการฝึกปราณได้”
เห็นอาจารย์พูดแบบนี้ ฉีเหวินรู้ว่าทั้งชีวิตนี้ของอาจารย์ตนเองคงจะเปลี่ยนนิสัยไม่ได้แล้ว
เตียวน้อยสองตัวฝึกปราณเสร็จแล้ว กระโดดลงจากเบาะก่อนเงยหน้ามองธงดารา ส่งเสียงจี๊ดๆ ให้ฉีเซวียนและฉีเหวินแล้ววิ่งออกจากจำหนักใหญ่ไปตลอดจนถึงลานกว้างของอาราม ไม่รู้เหมือนกันว่าวิ่งไปที่ไหนในป่าแล้ว…
…
สองศิษย์อาจารย์อารามเขาเมฆาและเตียวน้อยสองตัวเมื่อฝึกฝนก็ฝึกฝน เมื่อพักผ่อนก็คุยจ้อ ส่วนจี้หยวน มังกรเฒ่า และฉินจื่อโจวย่อมมีธุระ
ความจริงสามคนไม่ได้จากไปไกลมาก เหาะเหินอยู่แถวเขาเมฆา เมื่อใช้วิชาคุมวาโยและเหยียบเมฆพร้อมกัน เทียบกับจี้หยวนและมังกรเฒ่าแล้ว ฉินจื่อโจวไม่เป็นวิชาอภินิหารระดับนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็มีตัวอ่อนของเทพท่องโลก จึงใช้พลังดาราฟ้าเหยียบท้องฟ้าเดินไปข้างหน้าได้ เพียงแต่ความเร็วเทียบไม่ได้กับการเหาะปกติจึงปล่อยให้จี้หยวนและมังกรเฒ่าพาเข้าหาะไป
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่ามังกรเฒ่าหรือจี้หยวนล้วนไม่ได้มองฉินจื่อโจวเลย แม้แต่มังกรเฒ่าก็เห็นว่าอีกฝ่ายมีความสูงส่งในระดับเดียวกับตนเอง เมื่อก่อนชื่นชมเพียงเล็กน้อย ทว่าตอนนี้คาดหวังอนาคตของเขามากขึ้น
มีอารามเขาเมฆาเป็นที่พึ่ง เดิมทีชะตากรรมฉินจื่อโจวผู้มีร่างหยางบริสุทธิ์สมบูรณ์แล้ว ตอนเพิ่งพามาถึงเมื่อปีนั้นหากสามส่วนเป็นไปได้ เช่นนั้นตอนนี้ก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นหกส่วนแล้ว
เมื่อบินถึงท้องฟ้าเหนือเมืองเม่าเฉียน มังกรเฒ่าชี้บางแห่งข้างล่าง
“นั่นก็คือที่ที่เทพร่างคนอยู่กระมัง”
จี้หยวนมองมังกรเฒ่าครั้งหนึ่ง พูดแก้ไขว่า
“คนผู้นั้นชื่อหวงซิ่งเยี่ย พูดให้ถูกคือเทพร่างคนกับเขาเป็นเนื้อเดียวกัน”
“ฮ่าๆ ล้วนเหมือนกัน มนุษย์มีอายุขัยเท่าไหร่กันเชียว ปีนั้นหวงซิ่งเยี่ยอายุไม่น้อยแล้ว มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นเทพร่างคน จิตวิญญาณเทพระดับนี้หายากมาก หากหวงซิ่งเยี่ยตายแล้ว โอกาสที่เทพร่างคนดำดินเสาะหาตนเองยังมีมากหน่อย แต่หากสลายหายไปเพราะหวงซิ่งเยี่ยตาย เช่นนั้นก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว!”
มังกรเฒ่าพูดมีเหตุผล และเชื่อว่าจี้หยวนต้องวางแผนไว้แล้ว เรื่องนี้จี้หยวนไม่มีทางปฏิเสธต่อหน้าทั้งสองคน ด้วยตัวหมากเพิ่มขึ้นมากยิ่งดี
“ถูกต้อง เช่นนั้นน่าเสียดายเกินไป ตอนนั้นข้าคนแซ่จี้เสร็จธุระแล้วทิ้งบัญชาไว้กับเจ้าที่เมืองเม่าเฉียน ยิ่งไหว้วานให้อีกฝ่ายช่วยดูแลหวงซิ่งเยี่ย นอกจากนี้ข้าใช้วิชาซ่อนมายาเบาบางบนร่างหวงซิ่งเยี่ยเอาไว้ด้วย นักพรตชิงซงเคยทำนายไว้ว่าคนผู้นี้จะหมดอายุขัยอย่างสงบ”
สำหรับความสามารถในการทำนายชะตาของฉีเซวียน ตอนนี้แม้แต่มังกรเฒ่าก็จำต้องเลื่อมใส ถึงอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ธรรมดา มีข้อจำกัดและเงื่อนไขมากมายในการทำนายชะตา ทว่าความแม่นยำนั้นเป็นของจริง คิดถึงตัวอักษร เมื่อนึกถึงที่จี้หยวนตามหาตัวอักษรเหล่านั้นเมื่อครั้งก่อน เช่นนั้นให้ฉีเซวียนลงมือลองดูสักครั้งดีหรือไม่ ไหนๆ ก็เป็นเรื่องง่ายดายถึงปานนี้แล้ว
“ไป!”
สิ้นเสียงของจี้หยวนแล้ว สามคนคุมเมฆร่อนลงไปยังเมืองเม่าเฉียน ไม่นานก็ตกลงตรงตำแหน่งที่ไม่ไกลจากศาลเจ้าที่
ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ทว่าคนเมืองเม่าเฉียนแทบจะทำเกษตรกรรมกันทุกคน จึงตื่นนอนกันเช้ามาก มีคนเดินถนนอยู่กลางเมืองไม่น้อย เพียงแต่คนที่มาศาลเจ้าที่กลับไม่มาก
พวกจี้หยวนล้วนดูไม่ธรรมดาสามัญในสายตากลุ่มคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งสวมชุดขาวบุคลิกสง่างาม คนหนึ่งสวมชุดคลุมแขนกว้างคิ้วและเคราเป็นสีดอกเลา ส่วนอีกคนหนึ่งมีกลิ่นอายสูงส่งกดข่มคน
สามคนเดินไปทางศาลเจ้าที่ด้วยกัน เดิมควรดึงดูดสายตาคนรอบข้างให้มองอยู่หลายครั้ง แต่ตอนนี้เหมือนกับไม่มีใครสนใจพวกเขา
สาวชาวนาคนหนึ่งอุ้มลูกอายุสามสี่ขวบออกมาจากศาลเจ้าที่หลังจากจุดธูปเสร็จแล้ว นางไม่ได้มองพวกจี้หยวนที่เข้ามาใกล้แล้วเช่นกัน กลับเป็นบุตรชายในอ้อมแขนที่ถูกพวกเขาดึงดูดสายตา โดยเฉพาะเครายาวถึงหน้าอกของฉินจื่อโจวผู้นั้น
ลมปราณของจี้หยวนสามคนสงบและบริสุทธิ์ เด็กชายเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าเช่นนี้แล้วก็ไม่ได้รู้สึกกลัว อีกทั้งยื่นมือคิดไปคว้าเคราของฉินจื่อโจวด้วย
“ท่านปู่ ข้าลูบเคราของท่านได้หรือไม่”
“นี่ๆๆ ไม่ได้ๆ นั่นไม่ได้หรอก หากเจ้าดึงเคราข้าก็เจ็บแย่น่ะสิ!”
ฉินจื่อโจวทำท่าจับเคราตนเองพลางเบี่ยงตัว ทว่ายังคง ‘ไม่ระมัดระวัง’ ให้มืออวบนุ่มของเด็กชายสัมผัสโดนเครา ตอนเบี่ยงตัวก็ให้มือเล็กๆ นั้นเฉียดผ่านเคราด้วย
“หืม? ลูกคุยกับใครน่ะ”
สาวชาวนาหยุดฝีเท้า อุ้มบุตรชายตนเองให้ถูกท่าทางยิ่งขึ้น จากนั้นค่อยหันศีรษะไปมอง ทว่าไม่เห็น ‘ท่านปู่’ ผู้นั้นเลย
เด็กชายยื่นมือชี้ทางนั้น พูดไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
“นั่นไงๆ มีเครา ผู้อาวุโสมีเครา ท่านปู่มีเครายาว!”
“ท่านปู่มีเครายาว?”
สาวชาวนามองข้างหลัง กล่าวในใจว่าหรือบุตรชายจะเห็นเจ้าที่เข้าแล้ว
ชาวนาเมืองเม่าเฉียนและสถานที่อื่นของต้าเจินล้วนมีความเชื่อเรื่องโชคลาง กอปรกับว่ากันว่าเด็กเล็กมองเห็นสิ่งที่ผู้ใหญ่มองไม่เห็นได้ ความคิดนี้เห็นทีจะเป็นไปได้ นางจึงอุ้มบุตรชายให้มั่นแล้วคารวะไปทางศาลเจ้าที่
ในศาลเจ้าที่มีผู้ศรัทธาไม่มากเท่าไหร่ ตอนนี้มีเพียงผู้ดูแลศาลนั่งพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ บอกว่าเป็นผู้ดูแลศาล แต่ความจริงแล้วศาลขนาดเล็กแบบนี้มีผู้อาวุโสที่เข้าใจสิ่งต่างๆ ละแวกนี้คอยดูแลเท่านั้น
จี้หยวน มังกรเฒ่า และฉินจื่อโจวทยอยกันเข้าไปในศาลเจ้าที่ ผู้ดูแลศาลกำลังสัปหงก เพียงไม่กี่ลมหายใจก็พิงพนักเก้าอี้หลับแล้ว
เมื่อเดินไปถึงตรงหน้ารูปปั้นเจ้าที่ เห็นบนโต๊ะมีเครื่องไหว้อยู่ไม่น้อย อีกทั้งมีตะเกียงที่ป้องกันลมได้ตั้งไว้ ข้างๆ มีน้ำมันหอมระเหยอีกสองไห
“เชิญเจ้าที่เมืองเม่าเฉียนปรากฎตัว”
ไม่ใช่ช่วงเวลาสำคัญอะไร ไม่จำเป็นต้องใช้วิชาป่าเถื่อนอย่างการคุมเทพ เสียงราบเรียบของจี้หยวนซึมเข้าไปในรูปปั้นเทพด้วยเสียงมรรค ส่งไปถึงหูของเจ้าที่ที่อยู่ใต้ดิน
รอประมาณสิบกว่าลมหายใจให้หลัง เจ้าที่โผล่ออกจาพื้นดินพร้อมหมอกควันสายหนึ่ง ครั้นเงยหน้าขึ้นเห็นจี้หยวนสามคนพลันสะท้านใจ รีบโค้งกายคารวะ
“เจ้าที่เมืองเม่าเฉียน คารวะท่านเซียนทั้งสาม!”
เจ้าที่ผู้นี้จี้หยวนรู้จัก ปราณมังกรที่ยากจะปกปิดบนกายมังกรเฒ่า กอปรกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีนั้น เดาได้เลยว่าอาจเป็นประมุขมังกรแม่น้ำเทียมฟ้า เทียบกับชายคิ้วขาวเคราขาวสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วไม่ธรรมดา กลัวแต่จะเป็นระดับที่ต้องขึ้นต้นด้ยความว่า ‘จริงแท้’
“เจ้าที่ไม่ต้องมากพิธี รบกวนท่านจับดูหวงซิ่งเยี่ยแม้ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ก็จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นสิบๆ ปี ไม่ถือว่าง่าย วันนี้ข้าจึงมาเพื่อมอบโชคให้ท่าน!”
จี้หยวนพูดเข้าประเด็น ทำให้เจ้าที่เมืองเม่าเฉียนยิ่งซาบซึ้งอย่างไม่อาจสงบใจ
“ท่านเพิ่งเป็นเจ้าที่เมืองเม่าเฉียนมาได้ไม่กี่ปี ตัวตนเดิมเป็นภูตในดิน น่าจะยังไม่ได้การยอมรับจากเทพหลักเมืองที่นี่กระมัง”
เจ้าที่ไม่กล้าพูดปด พูดออกไปตามตรง
“เพราะเรื่องจวนตระกูลหวงครั้งก่อน ใต้เท้าเทพหลังเมืองอำเภอตงเยวี่ยและใต้เท้าเทพหลักมืองจังหวัดฉางซวนล้วนยอมรับตำแหน่งเทพเจ้าที่ของข้าแล้ว มีหนังสือลงนามอยู่ที่ศาลมืดทั้งสองที่”
“ฮ่าๆ รวดเร็วดีทีเดียว!”
มังกรเฒ่าหัวเราะเสียงหนึ่ง ไม่ได้มองไปทางเจ้าที่และจี้หยวน ทว่ามองไปทางฉินจื่อโจว ฝ่ายหลังลูบเครายิ้ม ตอนนี้เอ่ยอย่างสบายๆ
“เช่นนั้นขอถามเจ้าที่ หากมอบทางเลือกให้ท่าน หนึ่งคืออยู่ภายในจังหวัดฉางซวนมีเทพหลักเมืองคอยคุ้มครองให้ฝึกปราณต่อไป สองคือต่อไปอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า ท่านจะเลือกอะไร”
เจ้าที่แทบไม่คิดเลยสักนิด ตอบโดยไม่จำเป็นต้องคิดโดยสิ้นเชิง
“ข้ายอมอยู่ใต้การควบคุมของท่าน!”
ล้อเล่นอะไรกัน ตอนท่านเซียนมาถึงแล้วบอกจะมอบโชคดีให้ นี่ไม่เท่ากับบอกให้ตนเลือกอย่างไรหรือไร!
พูดจบแล้วถึงมองฉินจื่อโจวอย่างระมัดระวัง
“ขอถามว่าเทียนเซียนคือ?”
“ข้าผู้ชรานามฉินจื่อโจว ไม่ได้มีฉายายิ่งใหญ่อะไร และไม่ได้มีฐานะสูงส่งอะไร ท่านเรียกข้าว่าท่านฉินก็ได้”
“อ๋อๆ ท่านฉิน!”
เจ้าที่รีบคารวะอีกครั้ง
จี้หยวนคิดก่อนหยิบเหรียญทิพย์สีทองเปล่งประกายออกมาจากในแขนเสื้อ ยื่นให้เจ้าที่โดยตรง
“รับไว้ น่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง บัญชานั้นอาจยังมีเวลาที่ไม่ราบรื่นด้วยการใช้พลังของท่าน มีเหรียญทิพย์ช่วยแล้วจะแข็งแกร่งขึ้นมาก”
เจ้าที่มองเหรียญทิพย์นี้แล้วตาลุกวาว สองมือประคองมันไว้อย่างระมัดระวังพลางกล่าวขอบคุณ เขารู้จักเหรียญทิพย์อยู่บ้าง แต่สิ่งนี้มีค่าเป็นอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ในมือแล้วรู้สึกได้ถึงท่วงทำนองวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในนั้น ในใจซาบซึ้งเป็นทบทวี
“โอ้! ท่านจี้มีของพรรค์นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ขอข้าเล่นหน่อยได้หรือไม่”
มังกรเฒ่าเหมือนเด็กน้อยขึ้นมา จี้หยวนจึงโยนอีกห้าเหรียญให้เขาลองเล่นดู
“จริงสิท่านเซียน ข้าอยู่ในการควบคุมของท่านแล้ว จำเป็นต้องมีพิธีรีตรองอะไรหรือไม่”
ฉินจื่อโจวยิ้ม
“จำไว้ก็พอ ตอนนี้ยังไม่จำเป็น ส่วนทางฝั่งศาลมืดไม่ต้องไปพูดอะไร ควรทำอะไรก็ทำสิ่งนั้น ถึงตอนนั้นย่อมรู้เอง”
“ขอรับ! ข้าน้อยรับบัญชา!”
ความจริงแทนที่จะบอกว่าเจ้าที่อยู่ในการควบคุมของฉินจื่อโจว มิสู้พูดว่าต่อไปต้องการให้เขาช่วยดูแลอารามเขาเมฆา ทว่าอนาคตสดใสกว่าการเป็นเจ้าที่เมืองเม่าเฉียนอย่างแน่นอน
เมื่อบอกลาและออกจากศาลเจ้าที่มา สามคนไปดูหวงซิ่งเยี่ยที่จวนตระกูลหวงรอบหนึ่ง จากนั้นอ้อมเขาเมฆารอบหนึ่ง ทันทีที่หยุดตรงที่ที่เหมาะสมแล้ว มังกรเฒ่ารวบรวมจิตวิญญาณน้ำ จี้หยวนยกพู่กันใช้วิชา ส่วนฉินจื่อโจวดึงพลังดวงดาวลงมา
สามคนร่วมแรง ฝังวิชาไว้ทั่วทุกที่บนเขาเมฆา