ตอนที่ 280 สายลมเย็นพัดผ่าน
ฆ่าคนข้ามหุบเขา
พายุทรายเกิดขึ้นตลอดทาง
จากนี้ก็ไม่ต้องผ่านเมืองอีก มุ่งหน้าไปตะวันตกจนถึงด่านประตูหยก หนิงอี้ให้ยันต์ ‘ขนห่าน’ กับเหยียนซิ่วชุนแปดใบ มัดกับขาม้าจะเพิ่มความเร็วได้มาก แต่ก็เทียบกับค่ายกลเร่งความเร็วของสำนักเต๋าไม่ได้
การเดินทางด้วยม้าครั้งนี้กินเวลาสามวันสองคืน ไม่เคยหยุดพัก
หนิงอี้ เผยฝานและหลิ่วสืออี ทั้งสามคนมีฝุ่นเกาะตามตัว แต่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย สำหรับผู้บำเพ็ญระดับอย่างพวกเขาแล้ว การเดินทางด้วยความเร็วเช่นนี้ไม่เท่าไรเลยจริงๆ ใช้กำลังวังชาไปไม่เท่าไร เวลาว่างระหว่างทางก็ยังใช้ตระหนักท่วงทำนองได้
แต่หญิงกรมปราบปีศาจสวมผ้าคลุมอีกสี่คนไม่เหมือนกัน พวกนางอ่อนแอ ยังไม่เริ่มฝึกบำเพ็ญ ถือว่าเป็นคนธรรมดา สามวันสองคืนนี้ถึงขั้นเคยนอนบนหลังม้า หลังผูกยันต์ขนห่านกับขาม้าแล้ว แม่นางชุดครามคนนั้นไม่รู้สำแดงวิชาอะไร ม้าใต้สะโพกวิ่งไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หากพวกนางเหนื่อย แค่ก้มตัวลงก็พักผ่อนได้
เหยียนซิ่วชุนหน้าขาวซีด สองวันมานี้ ถึงจะประหยัดน้ำในถุงน้ำเพียงใด แต่ตอนนี้น้ำก็ยังหมด นางแหงนหน้าเทถุงน้ำว่างเปล่า บีบออกมาไม่ได้น้ำสักหยด
เหยียนซิ่วชุนมองหนิงอี้
หนิงอี้รู้สึกถึงสายตา จึงตื่นจากสภาวะสงบนิ่ง
เขาฝึกถึงขอบเขตหลัง ไม่เรียกว่าชาวบ้านธรรมดาแล้ว แม้จะเทียบกับยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตาไม่ได้ แต่เดินทางในทะเลทรายก็ยังดูดซับไอวิญญาณน้ำที่ปนในแสงดารา ส่งเข้าท้องไปได้ ถึงทะเลทรายจะแห้งแล้ง แต่ก็ไม่ถึงกับกลั่นไอวิญญาณน้ำออกมาไม่ได้เลย
หญิงสี่คนข้างหลังกระหายกันจนไม่ไหวแล้ว
เงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้โพล้เพล้แล้ว ดวงตะวันใหญ่สีแดงลับจากเส้นขอบฟ้าทีละนิด
ได้เวลาพักสักครู่แล้ว
เขาควบม้าหลังดำแผงคอแดง ปล่อยพลังจิตออกไปตามหาแหล่งน้ำ
สิบกว่าลมหายใจต่อมา
หนิงอี้ยกมือชี้ไปทิศทางหนึ่ง
“ไม่ไกลมีแหล่งน้ำ…พักที่นี่กันก่อนเถอะ”
……
ไม่นานก็ไปถึงจุดที่หนิงอี้ใช้พลังจิตตรวจสอบ
ใกล้กับประตูหยกมีตาน้ำอยู่กลางทะเลทรายอย่างพบเห็นได้ยาก
รอบๆ รกร้าง มีเพียงที่นี่ที่เป็นสีเขียว
มีพุ่มไม้ขึ้น มองไปข้างล่างเหมือนกับป่าเล็กๆ
หลังผูกม้า สิ่งแรกที่แม่นางทั้งสี่ทำคือพุ่งไปยังตาน้ำนั้น เหยียนซิ่วชุนกอดกล่องเหล็กไว้ มาถึงริมตาน้ำก็ย่อตัวลง ไม่สนใจภาพลักษณ์อะไรอีก นางกอดกล่องเหล็ก เอามือตักน้ำขึ้นมากอบใหญ่ ดื่มไปสองอึกก่อนจะเอาน้ำที่เหลือในมือล้างฝุ่นละอองบนหน้า
หนิงอี้หรี่ตาลง กอดอกพิงต้นไม้
เขาผูกม้าหลังดำคอแดงแล้ว
เหยียนซิ่วชุนปลดชุดคลุมดำของตนออก เผยใบหน้าตัวเอง
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่หนิงอี้ได้เห็นใบหน้าแท้จริงของหญิงกรมปราบปีศาจคนนี้ นางมีใบหน้าค่อนข้างดี อายุไม่มาก แต่คิ้วและดวงตาน่ามอง มีความสะอาดบริสุทธิ์เจ็ดส่วน มีความงามหยาดเยิ้มสามส่วน เอกลักษณ์ในตัว นอกจากเสน่ห์ที่เหมือนมีและเหมือนไม่มีนั้นแล้ว นางเหมือนกับดอกบัวออกจากโคลนตมและบริสุทธิ์มากกว่า
ดวงตาสองคู่มองกัน
เหยียนซิ่วชุนยิ้มเขินอาย นางพูดเสียงเบา “คุณชายหนิง เราเดินทางมาไกล เนื้อตัวสกปรกมาก คือว่าจะ…”
หนิงอี้เข้าใจความหมายทันที เขาโบกมือและพูดอย่างจริงจัง “ข้าจะไม่ใช้พลังจิตดู”
เหยียนซิ่วชุนกะพริบตา “เรามีวิธี”
นางดึงผ้ายาวออกมาจากแขนเสื้อ ผูกไว้กับสองด้านของต้นไม้ สายลมพัดโบกสะบัด หลายลมหายใจต่อมาก็กลายเป็นม่านกั้น
ในผ้ายาวซ่อน ‘อุบายนอกรีต’ ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปไว้ หนิงอี้ไม่ได้ลองใช้จิตสัมผัส แต่แค่หันหน้าเล็กน้อย ชำเลืองตามองด้วยความแปลกใจ
มองแค่สายตาไม่อาจมองทะลุม่านกั้นนั้นได้ จะเห็นได้ว่าลงแรงไปกับสมบัติชิ้นนี้มากจริงๆ
บางทีอาจจะตรวจจับแสงดารากับสัมผัสได้
หากหนิงอี้ใช้พลังจิตและเหยียนซิ่วชุนรู้เข้า นั่นคงจะเขินน่าดู
เด็กสาวผูกม้าและเดินเข้ามา นางมองม่านกั้นนั้นอย่างโจ่งแจ้ง
มองไม่เห็น
เผยฝานส่ายหน้า “ม่านกั้นนี่น่าสนใจ พลังจิตข้ายังถูกขวางไว้”
ม่านกั้นนี้กันพลังจิตได้จริงๆ
นี่คือวิธีที่เหยียนซิ่วชุนบอกหรือ
เผยฝานขมวดคิ้วก่อนพูดเนิบๆ “ครั้งแรกที่เจอนาง ยันต์ด้ายทองทำงาน ข้าก็คิดว่านี่เป็นแค่ปีศาจน้อยที่หนีรอดจากหูตากรมปราบปีศาจต้าสุยมาได้เสียอีก”
หนิงอี้ยิ้มก่อนพูดเชิงครุ่นคิด “ยันต์ด้ายทองมีผลกับไอปีศาจ ส่วนที่เหยียนซิ่วชุนพูดระหว่างทางเจ้าก็น่าจะได้ยินแล้ว…ในกล่องเหล็กนั่นใส่เลือดจิ้งจอกสวรรค์เจียหลัวไว้ พวกนางรีบไปผนึกปีศาจที่ประตูหยก ก็น่าจะเป็นเรื่องจริง”
เด็กสาวมีสีหน้าลังเล แต่ก็ยังพยักหน้า พูดอืมเบาๆ
หลิ่วสืออีผูกม้าแดงแล้ว
ม้าแดงที่หนิงอี้ตั้งใจเลือกให้เขานั่น ต้องบอกว่าไม่ใช่ม้าธรรมดา กลุ่มทหารรับจ้างสมปณิธานผูกมันไว้เพราะทำใจทิ้งไม่ลง แต่มันก็ผอมเกินไป นิสัยยังไม่ดีอีก จึงแค่เลี้ยงเอาไว้ในคอกตลอด กินอาหารเหลือก็พอจะรอดชีวิตไปได้
สองวันมานี้ ม้าแดงไม่ต้องใช้ยันต์ขนห่านก็ตามม้าหลังดำคอแดงทัน
หลิ่วสืออีแบกปราณนิรันดร์เล่มนั้นเข้ามาใกล้หนิงอี้ มองม่านกั้นพลางพูดอย่างเฉยชา “ส่งพวกนางไปประตูหยกต้องใช้เวลาอีกเท่าไร”
หนิงอี้มองคนคลั่งกระบี่หลิ่วสืออี สองวันมานี้ดูเหมือนตระหนักกระบี่ แต่ความจริงจิตใจปั่นป่วน พลังในตัวไม่นิ่งเหมือนเดิมแล้ว
“หลิ่วสือส่งข่าวมาบ้างหรือไม่”
คนคลั่งกระบี่ส่ายหน้า
“หนิงอี้…” หลิ่วสืออีกำหมัดเงียบๆ พ่นลมหายใจขุ่น เงยหน้ามองหนิงอี้ก่อนพูดอย่างจริงจัง “พลังบำเพ็ญข้าฟื้นมามากกว่าครึ่งแล้ว”
“เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ ไม่ใช่แค่สำคัญกับเจ้ามาก ความจริงมันก็สำคัญกับข้า ศิษย์พี่หญิงพันกรและเขาสู่ซานเช่นกัน” หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง “หลิ่วสือเป็นเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ผู้อ่อนโยน เขาสู่ซานสร้างศัตรูไว้ข้างนอกมากมาย ตำหนักทะเลสาบกระบี่เป็นพันธมิตรที่มีอยู่น้อยนิด หากหลิ่วสือเป็นอะไรไป…นั่นไม่ใช่ข่าวดีกับเขาสู่ซานเลย”
หลิ่วสืออีขมวดคิ้ว
เขาล้วงมือเข้าไปหยิบจี้หยกนั้นออกมา
“เมื่อนานมาแล้ว หลิ่วสือเคยบอกข้าว่า…สมบัติประจำตำหนักทะเลสาบกระบี่คือกระบี่สองเล่ม”
หลิ่วสืออีที่พิงต้นไม้เอามือข้างหนึ่งลูบจี้หยก เข้าสู่ห้วงความทรงจำ
“เล่มหนึ่งมีชื่อว่าชีวิตนิรันดร์ อีกเล่มมีชื่อว่ายอดเหมันต์ ที่มันมีสองชื่อนี้ ก็เอาความหมายมาจากบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักสองท่านของตำหนักทะเลสาบกระบี่”
เขาไหวไหล่เบาๆ ปราณนิรันดร์ไหลลงมาจากบ่า ปักลงพื้น ปราณกระบี่อยู่ในตัว ไม่ออกจากฝัก แค่วนเวียนในฝัก
“ปราณเพาะบ่มมโหฬารนิรันดร์ อ่านคัมภีร์ไร้อักษรสงบ” หลิ่วสืออีมองกระบี่มีชื่อเขาเชียงซานที่ปักตรงหน้า บรรรพจารย์เขาเชียงซานสร้างกระบี่มีชื่อขึ้นสี่เล่ม บอกว่าไม่มีการจัดอันดับ แต่ทุกคนรู้ว่า ‘มโหฬาร’ กับ ‘ไร้อักษร’ มีอานุภาพมากที่สุด ปราณนิรันดร์กับคัมภีร์สงบด้อยกว่าขั้นหนึ่ง บ่อยครั้งที่กระบี่มีชื่อของสำนักหนึ่งจะไม่มีการจัดอันดับ แต่อานุภาพที่แท้จริงแค่ดูจากชื่อกระบี่ก็รู้แล้ว
กระบี่ประจำตำหนักทะเลสาบกระบี่สองเล่ม
ชีวิตนิรันดร์เล่มหนึ่ง ยอดเหมันต์เล่มหนึ่ง มองจากชื่อกระบี่ อานุภาพของชีวิตนิรันดร์ดูไม่พอเท่าไร
แต่สิ่งที่ทำให้หนิงอี้รู้สึกเหลือเชื่อคือ…ทั้งแดนประจิมไปจนถึงทั้งต้าสุยไม่มีใครเคยบอกว่าตำหนักทะเลสาบกระบี่ยังมี ‘ชีวิตนิรันดร์’ อีกเล่ม
ตำหนักทะเลสาบกระบี่มีกระบี่ประจำตำหนักเพียงเล่มเดียวมาตลอด
ยอดเหมันต์!
หลิ่วสืออีพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปเล็กน้อย
“แม่นางเผยเคยได้ยินคำว่า ‘วิมานเทพ’ นอกทะเลหรือไม่”
เผยฝานพยักหน้าและก็ส่ายหน้า
รู้จักชื่อ แต่ไม่รู้รายละเอียด
“นอกทะเลตะวันตกได้ยินว่ามีสำนักเซียนหนึ่งชื่อว่าวิมานเทพ ไม่แก่งแย่งกับทางโลก ศิษย์ในสำนักฝึกวิถีโอสถเป็นหลัก แสวงหามหามรรคชีวิตนิรันดร์ ไม่ชำนาญวิถีการต่อสู้” หลิ่วสืออีพูดช้าๆ “ทั้งแดนประจิมมีตำนานว่าตำหนักทะเลสาบกระบี่ข้าเกี่ยวข้องกับวิมานเทพนอกทะเล”
พูดถึงตรงนี้ หนิงอี้กับเด็กสาวมองหน้ากัน ต่างพยักหน้า
โอสถที่มีชื่อเสียงที่สุดของตำหนักทะเลสาบกระบี่คือโอสถเซียนวิมานเทพ ได้ยินว่ามีสรรพคุณสูงยิ่ง มาจากนอกทะเลตะวันตก
“ตอนก่อตั้งตำหนักทะเลสาบกระบี่ บรรพจารย์ทั้งสองท่านมีความเห็นไม่ตรงกัน บรรพจารย์ท่านหนึ่งมุ่งเน้นการสังหาร เพาะบ่มกระบี่เล่มหนึ่งใต้ฟ้าต้าสุย สังหารศัตรูมากมาย ก่อตั้งสำนัก ในยุคนั้นแทบจะชนะสิบทิศ เอาชนะศัตรูทั้งหมด หาคู่ต่อสู้ไม่ได้” หลิ่วสืออีหรี่ตาลง ก่อนพูดช้าๆ อย่างไร้ความรู้สึก “บรรพจารย์อีกท่านยึดมั่นในวิถีโอสถ ฝึกสร้างค่ายกล สร้างยอดค่ายกลภูเขาสมบูรณ์ขึ้นบนตำหนักทะเลสาบกระบี่ อยากจะปกป้องศิษย์ไปตลอดกาล”
“บรรพจารย์ก่อตั้งสำนักเป็นพี่น้องแท้ๆ กัน พวกเขาต่างมีพรสวรรค์การบำเพ็ญของตนเองสูงส่ง ต่อให้ผ่านมาหลายพันปีก็ยังมองเห็นได้” หลิ่วสืออีพูดถึงตรงนี้ก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ตำหนักทะเลสาบกระบี่เป็นเขาศักดิ์สิทธิ์แดนประจิม ไม่เกรงกลัวศัตรูใด!”
“ชีวิตนิรันดร์กับยอดเหมันต์…” หนิงอี้คิดตามหลิ่วสืออี ก่อนพูดพึมพำ “สอดคล้องกับวิชากระบี่ประจำตัวของบรรพจารย์สองท่านนี้รึ”
หลิ่วสืออีพยักหน้าช้าๆ
หนิงอี้พลันเกิดความคิดหนึ่ง
เขามองดวงตาของหลิ่วสืออี
“ต่อมา…บรรพจารย์โอสถท่านนั้นก็ออกจากตำหนักทะเลสาบกระบี่ ไปทะเลตกวันตก” หนิงอี้พูดเสียงแหบ “ดังนั้นจึงเกิดวิมานเทพรึ”
หลิ่วสืออีพยักหน้าช้าๆ อีกครั้ง
“เรื่องพวกนี้หลิ่วสือเป็นคนบอกข้าเอง”
คนคลั่งกระบี่หรี่ตาลง “วิมานเทพนอกทะเลที่ปุถุชนพูดถึง…มีอยู่จริงๆ วิมานเทพกับตำหนักทะเลสาบกระบี่ข้า มีสัมพันธ์ที่ขีดค่าไม่ชัดเจนอยู่จริงๆ”
“เจ้าตำหนักรุ่นแรกทั้งสองท่านนี้ คนหนึ่งมีปณิธานยิ่งใหญ่จะช่วยทุกชีวิต หลอมโอสถชีวิตนิรันดร์ไม่แก่เฒ่าขึ้นมาจริงๆ จึงออกเดินทางไปเกาะเซียนนอกทะเล อีกท่านฝึกเจตจำนงกระบี่ทำลายล้างถึงที่สุด เดินจนสุดทางการดับสูญ ชีวิตนิรันดร์กับยอดเหมันต์ประจำตำหนักก็มาจากตรงนี้”
เขาพูดออกมาทีละคำ
“ชีวิตนิรันดร์ใต้หล้า สี่ฤดูยอดเหมันต์”
สองเส้นทางที่ตรงกันข้าม
“ที่หลิ่วสือบอกเรื่องนี้กับข้า…”
คนคลั่งกระบี่หัวเราะ
“เพราะเขามีศิษย์น้องคนหนึ่ง ขอใช้คำพูดของหลิ่วสือ เป็นศิษย์น้องที่แข็งแกร่งมากแต่น่าเสียดายหลงทาง เพราะเหตุผลต่างๆ จึงถูกเจ้าตำหนักรุ่นก่อนไล่ออกจากตำหนักทะเลสาบกระบี่”
หนิงอี้ขมวดคิ้ว หลิ่วสืออีเคาะฝักกระบี่เบาๆ
“ศิษย์น้องของหลิ่วสือ สวีไหล สวีไหลจากคำว่าสายลมพัดผ่าน ตอนถูกไล่ออกจากตำหนักยังแอบขโมยชีวิตนิรันดร์ประจำตำหนักไป ออกจากต้าสุย หนีไปไกลถึงวิมานเทพนอกทะเล”
“หลิ่วสือใจอ่อนกับเรื่องขโมยกระบี่ จึงไม่ได้ขวางไว้ เพราะเรื่องนี้เองเขาจึงถูกลงโทษให้ปิดด่านบำเพ็ญอยู่ใต้น้ำตกใหญ่สิบปี จนเจ้าตำหนักตายในคืนโลหิตเมืองหลวง จึงไม่มีใครมารับตำแหน่งเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ต่อ เขาถึงได้ออกมาจากใต้น้ำตกใหญ่”
พอพูดถึงตรงนี้ หลิ่วสืออีก็เงยหน้าขึ้น
เขาพลันบีบจี้หยกแน่น
น้ำเสียงคนคลั่งกระบี่มีความซับซ้อน
“ตอนหลิ่วสือรับข้าเป็นศิษย์ก็เคยบอกข้าว่าเขาจะถ่ายทอดให้ทุกอย่าง ไม่มีกักไว้ เขาบอกข้าว่า…ศิษย์น้องชื่อสวีไหลคนนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ สวีไหลจะต้องกลับจากวิมานเทพมาตำหนักทะเลสาบกระบี่แน่นอน พาชีวิตนิรันดร์เล่มนั้นกับศิษย์ภาคภูมิของวิมานเทพมาด้วย
และข้าจะเป็นผู้ครองยอดเหมันต์แห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่ สู้กับศิษย์ของสวีไหล…เอาชนะวิมานเทพอย่างแท้จริง!”
…………………………