คราวนี้ภาพทักษะสวรรค์ของปีศาจมังกรสาวไม่ได้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ แต่ปรากฏที่แผ่นหลังของเขา ซุกซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าของโจวเหว่ยชิง
ทักษะผนึกมังกรเงียบมีประโยชน์มากเกินความคาดหมายของเขาและสร้างความเสียหายให้กับโจวเหว่ยชิงมากเช่นกัน ดังนั้น เขาจะยอมแพ้ไม่กักเก็บทักษะอื่นๆ ของปีศาจมังกรสาวมาด้วยได้อย่างไร? เมื่อเด็กหนุ่มไปถึงระดับมณี 4 ชุดแล้ว สิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คือปีศาจมังกรสาวนั่นเอง
แม้ว่าปีศาจมังกรสาวจะเป็นเพียงอสูรสวรรค์ระดับมหาราชา แต่เนื่องจากมันเป็นการผสมผสานของทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุปีศาจ ทักษะของมันจึงใกล้เคียงกับระดับเทพเจ้าอยู่แล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทักษะของปีศาจมังกรสาวสามารถเรียกภาพทักษะสวรรค์ออกมาได้
เพียงครึ่งก้าวสู่ระดับเทพเจ้า หมายความว่ามันได้เยื้องย่างเข้าสู่ประตูเทพเจ้าแล้ว! ตัวอย่างก็เช่นว่าทักษะผนึกมังกร…ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าโจวเหว่ยชิงเคยใช้มันเพื่อผนึกมังกรระดับเทพเจ้าหรอกหรือ? แม้แต่เทียนเอ๋อร์จากภูเขาหิมะสวรรค์ก็ยังรู้สึกอิจฉาเกี่ยวกับทักษะนี้ ดังนั้นจึงสามารถจินตนาการได้แล้วว่าทักษะของปีศาจมังกรสาวนั้นทรงพลังเพียงใด
สิ่งที่โจวเหว่ยชิงกำลังปลดปล่อยออกมาในขณะนี้คือทักษะที่ 2 ที่เขากักเก็บมาจากปีศาจมังกรสาว เป็นทักษะผสานระหว่างธาตุปีศาจและธาตุมืด ชื่อของทักษะนี้คือผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจ และมันก็เป็นหนึ่งในทักษะชั้นยอดของปีศาจมังกรสาว
ผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจให้ผลเรียบง่าย ทว่ามันกลับได้รับการจัดอันดับที่ 11 ดาวครึ่ง ปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คือมันเป็นทักษะสัมบูรณ์เช่นกัน
ผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจถูกปล่อยออกมาจากทางดวงตาทั้งสองข้าง และเช่นเดียวกับทักษะผนึกมังกรเงียบ มันไม่ต้องอาศัยพลังปราณสวรรค์ใดๆ ตราบใดที่บุคคลนั้นสบตากับผู้ร่าย และพลังปราณสวรรค์คนผู้นั้นต่ำกว่าผู้ร่าย 4 ระดับ ทักษะนี้ก็จะมีผลทันที
ผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจ สิ่งที่ปิดผนึกคือวิญญาณ กล่าวคือคนที่ต้องมนต์ทักษะผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจ วิญญาณของเขาจะถูกปิดผนึกโดยสิ้นเชิง กลายเป็นเหมือนผีดิบไร้จิตใจภายใต้การควบคุมของผู้ร่าย…เกือบจะเป็นเหมือนร่างทรงของผู้ร่ายด้วยซ้ำ
แน่นอนว่ายังมีข้อจำกัดขนาดใหญ่สำหรับผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจ กล่าวคือในเวลานั้นสามารถควบคุมได้เพียงคนเดียว หากต้องการควบคุมคนอื่น เขาจะต้องยกเลิกการควบคุมคนแรกเสียก่อน
ดูเพียงผิวเผิน ผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจอาจไม่ได้ดูน่ากลัวเท่าทักษะผนึกมังกรเงียบ แต่เมื่อโจวเหว่ยชิงเห็นรายละเอียดของทักษะนี้ เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่ามันพิเศษมากเพียงใด
แน่นอนว่าผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจนี้จะต้องพัฒนาขึ้นไปได้อีกพร้อมๆ กับระดับพลังปราณของเขา หากวันหนึ่งระดับพลังปราณของโจวเหว่ยชิงขึ้นไปแตะระดับเทพเจ้า เขาก็จะสามารถควบคุมยอดฝีมือระดับมหาราชาได้! แน่นอน ข้อแม้คือเขาต้องมีพลังเหนือกว่าคนที่ต้องการควบคุม 4 ระดับ
หลายครั้งที่เรื่องสำคัญบางอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการต่อสู้ ทักษะนี้จึงมีประโยชน์อย่างน่าประหลาดใจในหลายๆ สถานการณ์ อาจกล่าวได้ว่าทักษะนี้ทำให้โจวเหว่ยชิงมีหุ่นเชิดที่ควบคุมได้
เวลานี้ก็เป็นสถานการณ์ที่เหมาะสมสุดๆ สำหรับใช้งานทักษะนี้ไม่ใช่หรือ?
โจวเหว่ยชิงจับมือของหัวหน้าหน่วยพลาธิการเอาไว้และเติมพลังปราณสวรรค์เข้าสู่ร่างกายของเขา ด้วยการตรวจสอบง่ายๆ เขาสัมผัสได้อย่างง่ายดายว่าแม้หัวหน้าหน่วยพลาธิการจะมีพลังปราณสวรรค์ แต่ก็อยู่ในระดับที่ 6 เท่านั้นซึ่งต่ำกว่าของตนเอง โจวเหว่ยชิงจึงเปิดใช้ผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจโดยไม่ลังเล
ผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจเป็นทักษะที่สามารถปิดบังอำพรางการใช้งานได้ดี นอกจากผู้ใช้และหุ่นเชิดแล้ว ไม่มีใครสามารถมองเห็นดวงตาสีม่วงแดงของเขาได้ และแม้แต่ภาพทักษะสวรรค์ก็ถูกซ่อนไว้อย่างดีที่แผ่นหลังของโจวเหว่ยชิง
ในบรรดาผู้คนเหล่านี้ มีเพียงซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ซึ่งมีระดับพลังปราณสูงกว่าโจวเหว่ยชิงเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยพลังปราณสวรรค์ที่สะท้อนอยู่บนอากาศ สำหรับคนอื่นๆ พวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลย
หัวหน้าหน่วยพลาธิการชะงักไปชั่วขณะ แสงสีแดงม่วงกระพริบจางๆ ในดวงตาของเขาชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่จะหายไป หลังจากจ้องมองโจวเหว่ยชิงอย่างงุนงงสักพักก็ดูเหมือนเขาจะฟื้นคืนสติและอุทานออกมาด้วยความเข้าใจในฉับพลัน “อ่า ไม่น่าแปลกใจเลย เป็นท่านนั่นเอง! ข้าจำได้แล้ว การมีท่านอยู่ในกรมทหารที่ 16 เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กองกำลังของพวกเขามากจริงๆ! ท่านต้องมาที่นี่เพื่อดูแลกองทหารม้าหนักของกรมทหารที่ 16 แน่”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างหยิ่งทะนงพลางก้มศีรษะลงใกล้หูของผู้ควบคุมกองร้อย เอ่ยประโยคเบาๆ ก่อนจะส่งแผ่นป้ายให้เขา
ผู้คุมก้มศีรษะลงดูก่อนจะส่งมันกลับไปให้โจวเหว่ยชิงด้วยความเคารพ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าเข้าใจแล้ว โปรดรออยู่ข้างนอกสักครู่ ข้าจะจัดเตรียมเสบียงให้ท่านทันที”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับเข้าไปในค่าย โจวเหว่ยชิงเดินไปที่ม้าปีศาจผีของเขา สั่งให้คนอื่นๆ ในกองร้ายลงจากหลังม้าและพักผ่อนเช่นกัน
ทหารกองพันไร้พ่ายไม่รู้ว่าโจวเหว่ยชิงกำลังทำอะไรอยู่ และพวกเขาก็ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นมากทีเดียว ไม่ใช่ว่าผู้บัญชาการกองพันของพวกเขาเพิ่งได้รับคัดเลือกมาใหม่หรอกหรือ? ทำไมดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักกับหัวหน้าหน่วยพลาธิการคนนี้เป็นอย่างดี? อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในใจ แต่ทุกคนก็ไม่มีใครกล้าเปิดปากถาม นั่นเป็นเพราะหากพูดออกไป เงินของพวกเขาก็จะหายไปเช่นกัน!
ดังนั้นทุกคนจึงทำได้เพียงกลืนคำถามกลับลงกระเพาะไปและเฝ้ารออย่างเงียบๆ
ความจริงแล้วแผ่นหลังของโจวเหว่ยชิงก็กำลังปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นๆ เช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจเป็นครั้งแรกและแม้ภายนอกจะดูเหมือนคนสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ แต่จริงๆ แล้วเขาต่างหากที่เป็นผู้ควบคุมทั้งหมด
แม้ว่าพลังวิญญาณของโจวเหว่ยชิงจะสูงมาก แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องยากลำบากที่จะแยกวิญญาณของเขาออกเป็นสองส่วนเช่นนี้
ผลของผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจนั้นทรงพลังมากและยังมีระยะใช้งานมากกว่า 500 ลี้ เช่นเดียวกับทักษะผนึกมังกรเงียบ จะมีอีกเพียงครั้งเดียวที่มันพัฒนาขึ้น นั่นคือตอนที่โจวเหว่ยชิงทะลุไปถึงระดับราชา
แน่นอน ใครจะเดาได้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้อยู่ภายใต้การควบคุมของโจวเหว่ยชิง! เมื่อหัวหน้าหน่วยพลาธิการกลับไปที่ค่าย ไม่นานเสียงจอแจวุ่นวายก็ดังขึ้นจากภายใน ทั้งเสียงลากล้อรถและสัพเพเหระต่างๆ
การนำทหารม้าหนักจำนวน 100 นายออกมาปฏิบัติการในคืนนี้เป็นแผนสำรองของโจวเหว่ยชิงในกรณีที่หัวหน้าหน่วยพลาธิการมีระดับพลังที่สูงกว่าข้อจำกัดผนึกเทพเจ้ามังกรปีศาจของเขา โชคดีที่ดูเหมือนว่าแผนสำรองนี้จะไม่จำเป็นต้องนำออกมาใช้แล้ว
โจวเหว่ยชิงกวักมือเรียกผู้บัญชาการกองร้อยที่ประตู ผู้ซึ่งรีบเดินมาหาอย่างรวดเร็ว
“ผู้บัญชาการกองพัน ท่านมีคำสั่งอะไรหรือขอรับ?” เมื่อได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงมาจากกองพลม้าปีศาจผีที่แสนโด่งดัง สายตาที่เขาใช้มองอีกฝ่ายก็กลายเป็นเคารพยำเกรงขึ้นหลายส่วน
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเฉยชา “หัวหน้าหน่วยพลาธิการของเจ้าเริ่มเตรียมเสบียงแล้ว พวกข้าจะไม่รอที่นี่และมุ่งหน้ากลับก่อน บอกให้หัวหน้าหน่วยพลาธิการของเจ้าส่งของตามไปยังจุดหมายปลายทางที่ข้าบอกเขา”
ในขณะที่กล่าว เขาก็โบกมือให้ผู้บัญชาการกองร้อยของตน และทั้งหมดก็เคลื่อนที่ออกไปอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากกฎ 2 ข้อที่โจวเหว่ยชิงได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ ทหารกองพันไร้พ่ายจึงถูกบังคับให้เงียบเสียงแม้จะมีความอยากรู้อยากเห็นคับอกอยู่ก็ตาม ทั้งหมดมุ่งหน้าตามหลังโจวเหว่ยชิงไปทางทิศตะวันออกเป็นระยะทางสั้นๆ ก่อนที่จะเลี้ยวไปทางทิศเหนือ
ในที่สุดซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป ถึงอย่างไร เธอไม่สนใจเหรียญทองอยู่แล้ว “อ้วนน้อยโจว เจ้ามีไพ่ตายอะไรซ่อนอยู่? เจ้าเพิ่งรู้จักหัวหน้าหน่วยพลาธิการเมื่อกี้นี้เองไม่ใช่หรือไง?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “หึๆ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็แค่รอดู”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กล่าวด้วยท่าทางไม่พอใจ “ข้าไม่สนใจว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดีหรือไม่ เจ้าบอกข้าว่าการปฏิบัติการครั้งนี้น่าสนุก สนุกบ้าอะไรล่ะ!? ก็แค่ออกมาอบอุ่นร่างกายกลางลมหนาวแค่นี้น่ะนะ?!”
เมื่อมองไปที่ปีศาจน้อย โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกหมดสิ้นหนทาง การพยายามเอาชนะเธอไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เนื่องจากไม่มีทางเลือก เด็กหนุ่มจึงพูดออกมาอย่างมีเลศนัย “เฟยเอ๋อร์ ข้าจะบอกความลับแก่เจ้า อันที่จริง ข้าไม่รู้จักหัวหน้าหน่วยพลาธิการคนนั้นเลย แถมแผ่นป้ายที่ข้ามอบให้เขาก็เป็นเพียงตราผู้บัญชาการกองพันของข้า ไม่ใช่คำสั่งลับใดๆ ทั้งสิ้น…และมันก็ไม่ควรมีประโยชน์ด้วย…นั่นเป็นส่วนที่สนุกอย่างแท้จริงของปฏิบัติการในคืนนี้…เจ้าลองคิดดูสิ ทำไมเขาถึงฟังข้ากันน้า? เดาได้ไหม?”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นหญิงสาวก็เข้าสู่ความเงียบ เธอเป็นเด็กสาวที่ชาญฉลาด แต่กระนั้นก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่โจวเหว่ยชิงพูดอยู่ดี ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าเขารู้จักกับหัวหน้าหน่วยพลาธิการคนนั้น แต่เมื่อเขาบอกว่าไม่ใช่ … เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง โจวเหว่ยชิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขานำทั้งกองร้อยเดินไปเป็นระยะเกือบ 50 ลี้ ในที่สุดก็หยุดฝีเท้าที่เนินเขาสูงลูกหนึ่ง
“ทุกคนพักผ่อนที่นี่ ปกปิดร่องรอยตัวเอง ปฏิบัติการนี้ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นระวังปากของเจ้าไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นก็อาจถูกปรับได้” โจวเหว่ยชิงออกคำสั่ง
หลังจากพูดจบ เขาก็นั่งลงอย่างสบายๆ และเริ่มฝึกปราณ ราวกับว่าแผนของเขาก็คือการมานั่งอยู่ที่นี่ แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าโจวเหว่ยชิงกำลังตั้งสมาธิเพ่งจิตไปที่การควบคุมหัวหน้าหน่วยพลาธิการคนนั้น ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์และคนอื่นอยู่ใกล้ๆ เพื่อคอยปกป้องเขา นอกจากนี้ โจวเหว่ยชิงยังสามารถปลุกตัวเองได้ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกลัวการถูกขัด จังหวะใดๆ
ผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง กลุ่มทหารเกือบ 500 นายก็เดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างลับๆ ผู้นำคือเว่ยเฟิง
เมื่อเว่ยเฟิงมาถึง เขาก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงและคนอื่นๆ รอพวกเขาอยู่ที่จุดนัดพบก่อนแล้ว ด้วยความสับสน ชายหนุ่มจึงเดินหน้าไปหาโจวเหว่ยชิงอย่างรวดเร็ว
“ผู้บัญชาการกองพัน สถานการณ์เป็นอย่างไร?”
โจวเหว่ยชิงลืมตาขึ้น หันไปหาซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก่อนจะพูดว่า “เฟยเอ๋อร์ เจ้านำกองทหารม้าหนักกลับก่อน ตัวตนของพวกเขาเด่นชัดเกินไป ทิ้งที่เหลือไว้ให้พวกเราจัดการเถอะ”
ในตอนนี้ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ยังคงอยู่ในระหว่างการคิดไตร่ตรองว่าโจวเหว่ยชิงทำทุกอย่างสำเร็จได้อย่างไร สมองของเธอขบคิดผ่านความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน ซึ่งก็ถูกหญิงสาวจับโยนทิ้งไปทีละอย่าง เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง เธอก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะขี่ม้าปีศาจผีของตนเองและนำเหล่าทหารม้าหนักออกไปโดยที่ยังคงตกอยู่ในภวังค์อย่างเงียบงัน
หลังจากส่งซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ออกไปแล้ว โจวเหว่ยชิงก็หันไปหาเว่ยเฟิงและยิ้มน้อยๆ ด้วยความมั่นใจ “สั่งให้ทุกคนปกปิดตัวตนให้ดีที่สุด เราแค่ต้องนั่งนิ่งๆ ดูการแสดงดีๆ ที่กำลังจะมาถึง”
อีก 2 ชั่วโมงต่อมาก็เป็นเวลาเที่ยงคืน ความหนาวเย็นอันแสนทรมาณของคืนนี้ทำให้ทหารกองพันไร้พ่ายหลายคนตัวสั่นไม่หยุดหย่อน แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะเป็นจ้าวมณีที่มีร่างกายยอดเยี่ยม แต่การอยู่ในสถานที่เช่นนี้ก็ยังไม่ใช่เรื่องสะดวกสบายนัก ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าโจวเหว่ยชิงได้ให้สัญญากับพวกเขาว่าจะได้รับผลประโยชน์มากมาย และก่อนหน้านี้เขาก็รักษาสัญญาที่ให้ไว้จริงๆ บางทีพวกเขาอาจจะล้มเลิกไปกลางคันแล้ว
ในขณะนั้น จู่ๆ ทุกคนก็ได้ยินเสียงของรถลากในระยะไกลๆ เมื่อมองไปอีกฟาก พวกเขาก็เห็นเกวียนขนเสบียงหลายคันถูกเหล่าทหารลากมาอย่างช้าๆ นำโดยหัวหน้าหน่วยพลาธิการซึ่งนั่งอยู่บนม้าอย่างสง่าผ่าเผย อย่างไรก็ตาม หากมีใครตรวจสอบดวงตาของเขาอย่างใกล้ชิดจริงๆ ก็จะพบว่ามันว่างเปล่าไร้วิญญาณ
พวกเขาเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอยู่ห่างจากจุดที่โจวเหว่ยชิงและกองพันไร้พ่ายซุ่มอยู่ประมาณ 500 เมตร ก่อนที่หัวหน้าหน่วยพลาธิการจะยกมือขึ้นและรถทั้งหมดก็หยุดลง
ในเวลานี้ เว่ยเฟิงจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง มีรถลากเกือบ 200 คัน เต็มไปด้วยเสบียงและสัตว์เลี้ยงอยู่ข้างหลัง ประกอบด้วย หมู วัว และแกะบางส่วน ถ้าไม่ใช่เพราะมือของโจวเหว่ยชิงที่โอบไหล่เขาไว้ บางทีเว่ยเฟิงอาจจะนำคนออกไปปล้นพวกเขาทั้งหมดแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็มีทหารเพียง 500 คนที่ลากเกวียนอยู่เท่านั้น ในแง่ของความสามารถในการต่อสู้ กองกำลังขนส่งเสบียงเหล่านี้จะเทียบกับกองพันไร้พ่ายได้อย่างไร
…………………………………………………………..