ตอนพิเศษ 97-1 มาปลูกบุปผา ให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยกันเถิด (4)
ฝ่ายสตรีนางนั้นหลังกลับมาถึงโรงเตี๊ยม นางก็พบว่าผู้ฝึกตนหุ่นเชิดสองคนในโรงเตี๊ยมถูกใครบางคนทุบจนสลบไปแล้ว นางสังหรณ์ใจไม่ดีทันที นางเข้าไปสำรวจในห้องก็พบว่าอวิ๋นเยี่ยไม่อยู่แล้วจริงๆ!
เพลิงโทสะของนางพวยพุ่งสามจั้ง ยามเพลิงราคะกำลังแผดเผาร่างของนาง นางอุตส่าห์ข่มกลั้นตนเองเพื่อเอาใจเจ้าหนุ่มน้อยนั่น แต่สุดท้ายกลับโดนเจ้าหนุ่มนั่นหลอกต้ม!
นี่เป็นเพราะนางประเมินความมุ่งมั่นของอวิ๋นเยี่ยต่ำเกินไป ทั้งที่ถูกนางวางยาปลุกกำหนัดฤทธิ์แรงไปแล้วแท้ๆ แต่อยู่ต่อหน้าคนงามเช่นนางกลับยังตั้งสติเอาไว้ได้อีก
“ไม่เสียทีเป็นผู้ที่อดทนอยู่ในหอคอยผนึกปีศาจมาได้ถึงสองหมื่นปี ธิดาเทพผู้นี้จะยอมละเว้นเจ้าสักครั้ง! แต่ครั้งหน้าเจ้าจะไม่โชคดีเช่นนี้แน่!”
…
อีกด้านหนึ่ง หลิงจือดื่มยาห้ามครรภ์เสร็จก็ร่ำไห้จนตาบวมฉึ่ง
อวิ๋นเยี่ยเปิดม่านรถ แล้วบอกอย่างเย็นชา “ตอนนี้เจ้าลงไปได้แล้ว”
หลิงจืออยากจะหนีไปจาก ‘เงื้อมมือมาร’ ของบุรุษผู้นี้มาตลอด แต่ต้องไม่ใช่สภาพเช่นตอนนี้ สภาพที่นางถูกโยนทิ้งลงไปเหมือนขยะชิ้นหนึ่ง
นางยอมรับว่าที่ร่วงลงไปทับเขาเป็นความผิดของนาง แต่ที่สตรีนางนั้นลอบเล่นงานเขาได้ ไม่ใช่เพราะเขาสลบไปหรอกหรือไร
เขามาโยนความผิดทั้งหมดใส่หัวนางได้อย่างไรกัน!
นี่ยุติธรรมกับนางหรือ
“เจ้ายังมีมโนธรรมอยู่บ้างสักนิดหรือไม่” หลิงจือก่นด่าเบาๆ
อวิ๋นเยี่ยตอบหน้าตาย “เจ้าโวยวายมาตลอดทางว่าอยากจะลงจากรถมิใช่หรือไร”
“ข้า…” หลิงจือสะอึก
อวิ๋นเยี่ยมองนางด้วยแววตาเหมือนจะบอกว่าหรือเจ้าคิดจะเกาะข้าต่อ
สุดท้ายหลิงจือก็ยังเป็นเพียงแม่นางน้อยผู้ยังเผชิญโลกกว้างมาไม่มากคนหนึ่ง นางไหนเลยจะทนผู้อื่นยั่วยุนางเช่นนี้ไหว นางเลือดลมฉีดพล่านลุกขึ้นก้าวลงรถม้าไปทันที
นางหันหลังให้เขา แล้วจงใจยั่วโมโหเขาบ้าง “ยาห้ามครรภ์ของโลกมนุษย์ถ้วยเดียวดื่มไปก็เท่านั้น เจ้าคิดจริงหรือว่าจะใช้ได้ผลกับข้า ข้าขอบอกเจ้า ตอนนี้ข้ามีพลังขั้นประสานเม็ดตันแล้ว ยาเท่านี้อาจไม่มีฤทธิ์ใดๆ กับข้าเลยสักนิดก็ได้! หากถึงเวลาข้าตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ เจ้าจะต้องกลับมาขอ…”
หลิงจือพูดพลางก็หันกลับไปอย่างเย็นชา แต่กลับพบว่ารถม้าที่จอดอยู่ตรงนั้นหายไปนานแล้ว นางมองตามเสียงไปก็เห็นรถม้าของอวิ๋นเยี่ยฉวยโอกาสตอนที่นางไม่ทันตั้งตัวขับหนีไปนานแล้ว เพียงพริบตาเดียวมันก็แล่นออกไปไกลหลายลี้
“เจ้าเทพชั่วช้าสารเลว!”
หลิงจือโกรธจนขนพองแล้ว!
ถนนเส้นนี้เป็นถนนในเมืองขนาดเล็กที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง หากเดินพ้นถนนเส้นนี้ไปก็จะเข้าไปยังเส้นทางบนภูเขาที่ไม่ค่อยจะมีคน นานครั้งจะเห็นทุ่งนาสองสามหมู่ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ แม้แต่ทุ่งนาก็ไม่มี รอบด้านมีแต่ภูเขารกครึ้ม รัตติกาลมาเยือนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
หลิงจือพาร่างกายที่ปวดไปทั้งตัวเดินไปตามเส้นทางบนภูเขาที่สูงๆ ต่ำๆ เวลานี้นางเริ่มคิดถึงมังกรน้อยตัวแสบแล้ว หากเจ้ามังกรน้อยตัวแสบอยู่ นางจะต้องไม่ยอมให้เจ้าสารเลวคนนั้นข่มเหงรังแกนางแล้วรอดไปได้อย่างแน่นอน แล้วนางก็คิดถึงผู้พิทักษ์ใหญ่กับศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักเชียนหลันยิ่งนัก สิ่งที่ประหลาดก็คือนางคิดถึงฉินหลิงเอ๋อร์อยู่นิดๆ ด้วย
จะว่าไปแล้วฉินหลิงเอ๋อร์ก็ถูกจิตมารตนนั้นยึดครองร่างไปแล้ว ไม่รู้ว่านางจะเป็นอย่างไรบ้าง ตายหรือยังไม่ตาย
เมื่อคิดว่าฉินหลิงเอ๋อร์อาจตายแล้ว นางก็เศร้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
ขณะที่นางกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดนั่นเอง ทะเลสาบด้านหลังก็มีเงาสีขาวน่าขนลุกร่างหนึ่งโผล่ออกมาอย่างเงียบเชียบ เงาสีขาวร่างนั้นมีเส้นผมยาวสีดำสนิทแผ่สยาย ใบหน้าซีดเผือดดุจภูตผี ดวงตาทอประกายดุร้าย นิ้วมือของมันผอมแห้ง มีเล็บยาวเฟื้อยสีแดง
หลังจากขึ้นฝั่ง เท้าของมันก็เหยียบย่างอยู่บนอากาศห่างจากพื้นดินหนึ่งชุ่น มันแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้แผ่นหลังของหลิงจือมากขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นมันก็อ้าปากสีแดงสด พ่นหมอกพิษที่สังหารได้แม้แต่สัตว์ร้ายแสนแข็งแกร่งออกมา
หลิงจือสูดหมอกพิษสายนี้เข้าไป เท้าก็หยุดชะงักทันควัน
มันแสยะมุมปากอย่างน่าขนลุก จากนั้นจึงส่งสัญญาณมือไปทางผิวทะเลสาบ เงาดำทะมึนขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากันอีกสิบกว่าร่างโผล่ยุ่บยั่บออกมาจากผิวทะเลสาบ
เงาดำทะมึนฝูงนี้อาศัยอยู่ใต้น้ำมาหลายร้อยปี พวกมันฝึกตนจนกลายเป็นภูตน้ำที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งมานานแล้ว เพียงแต่พลังปราณในแดนล่างหายไปหมดสิ้นแล้ว ไม่มีชีพจรปราณให้พวกมันฝึกฝนอีกต่อไป เพื่อบรรลุขึ้นไปยังดินแดนที่สูงกว่านี้ในเร็ววัน พวกมันจึงหันมาหมายตามนุษย์ที่สัญจรผ่านไปมา
วันนี้ พวกมันกำลังจะล่า ‘เหยื่อ’ รายแรก
ดูเหมือนพวกมันจะโชคดีไม่เลวจึงพบศิษย์หญิงผู้มีพลังจากการฝึกตนคนหนึ่ง
กินนางคนเดียวมีค่าเท่ากับกินมนุษย์ธรรมดานับร้อยคน
ฮี่ๆ ฮี่ๆ
ภูตน้ำทั้งหลายหัวเราะอย่างน่าขนลุก พวกมันทั้งฝูงรุมกระโจนเข้าใส่หลิงจือผู้ต้องพิษ
“กรี๊ดดดด!”
เพียงพริบตาเดียวหลังจากนั้น เสียงกรีดร้องของหลิงจือก็ดังก้องพงไพร
แต่ในความคิดของบรรดาภูตน้ำที่หน้าบวมจมูกเขียว นอนหมอบกระแตกระดิกตัวไม่ได้อยู่บนพื้นบ้าง ห้อยอยู่บนต้นไม้บ้าง เกี่ยวอยู่บนเถาวัลย์บ้าง “…”
เจ้าจะกรีดร้องทำบ้าอะไรห๊า ผู้ที่ควรกรีดร้องมันคือพวกข้าต่างหากเล่า…
หลิงจือตกใจกลัวจนตอนลงมือวิวาทนางไม่รู้สึกตัว หลังจากลงมือเสร็จแล้วจึงค่อยพบว่ากลุ่มคน…เอ่อ ฝูงตัวอะไรสักอย่างที่โจมตีนาง เหตุไฉนจึงหน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้!
หากเป็นสัตว์ร้ายก็ช่างเถิด แต่พวกมันดันมีรูปร่างของมนุษย์ ทว่าหัวโตหูกาง หน้าซีดขาว ลิ้นยาวเล็บยาว…น่ากลัวเสียยิ่งกว่าผี!
หลิงจืออยู่ที่สำนักเชียนหลันมานานแล้ว นางเคยแต่ปราบภูตผีปีศาจที่หน้าตาพอไปวัดไปวา ภูตน้ำกระจอกที่แม้แต่ในตำรายังไม่มีบันทึกไว้พรรค์นี้ จะมาโทษว่านางตกใจกลัวมากไปก็ไม่ได้
พลังของภูตน้ำทั้งหลายยังไม่ถึงขั้นรากฐาน ยามอยู่ต่อหน้าหลิงจือที่อยู่ขั้นประสานเม็ดตันขั้นปลายย่อมอ่อนแอปวกเปียก พลังวิญญาณของพวกมันอ่อนแอจนตรวจจับขั้นพลังของหลิงจือไม่ได้ พวกมันสัมผัสได้แต่พลังวิญญาณที่เหลือไม่เท่าไรหลังจากถูกอวิ๋นเยี่ยสูบเรี่ยวแรงจนเหือดแห้ง พวกมันจึงคิดว่าหลิงจือเป็นผู้ฝึกตนหญิงธรรมดาๆ นางหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าดันมาพบยอดฝีมือ
“ท่านเซียนหญิงไว้ชีวิตด้วย ท่านเซียนหญิงไว้ชีวิตด้วย!” ภูตน้ำที่เป็นหัวหน้าคุกเข่ากับพื้น โขกศีรษะให้หลิงจือทันที “มิทราบว่าท่านเซียนหญิงจะมาเยือน ข้าน้อยจึงล่วงเกิน ขอท่านเซียนหญิงเห็นแก่ที่พวกข้าทำผิดหนแรก ละเว้นพวกข้าสักหนเถิด!”
หลิงจือเดินทางไปแดนเทพมาหนึ่งหน มิใช่ว่าจะเก็บเกี่ยวอะไรมามิได้เลย ยามนี้ดวงตาของนางมองเห็นพลังปราณของคนที่อยู่ใกล้ๆ ได้ แน่นอนว่าเงื่อนไขแรกเริ่มก็คืออีกฝ่ายจะต้องมีขั้นพลังต่ำกว่านาง เหนือศีรษะของภูตน้ำฝูงนี้ไม่มีไอโลหิตปกคลุมอยู่ พวกมันไม่เคยสังหารมนุษย์มาก่อนจริงๆ
หากเป็นเมื่อก่อน หลิงจือคงจะตักเตือนแล้วปล่อยไป แต่วันนี้นางอารมณ์ไม่ดีมาก ภูตน้ำฝูงนี้จึงถึงคราวซวย “วันนี้ข้าละเว้นพวกเจ้า หากวันหน้าข้าจากไป พวกเจ้าก็คงออกมาก่อเภทภัยทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีก เช่นนั้นไยมิใช่กลายเป็นบาปของข้า“
ภูตน้ำร่ำไห้วิงวอน “ท่านเซียนหญิง พวกข้าหมดหนทางแล้วจริงๆ จึงวางแผนเช่นนี้ขึ้นมา ชีพจรปราณในแดนล่างแห้งเหือดหมดแล้ว หากพวกข้ามิหาสิ่งใดมาเสริมแทน ขั้นการฝึกตนในร่างก็จะถดถอย หากพวกข้าไร้พลังจากการฝึกตนก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา แต่พวกข้าแต่ละตนอายุหลายร้อยปีแล้ว มีมนุษย์ธรรมดาคนใดมีชีวิตอยู่จนถึงอายุเท่านี้กันบ้างเล่า สิ่งที่รอคอยพวกข้าอยู่…มีเพียงความตายเท่านั้น!”