บทที่ 501 เข้าร่วมทัพอย่างเป็นทางการ
เมื่อจี้จือฮวนทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาเหริ่นก็พาเด็กทั้งสองคนกลับมาแล้วเช่นกัน
อาชิงนั่งอยู่บนไหล่ของเขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเขาก็จูงมืออาอินเอาไว้พร้อมแววตาที่อ่อนโยน
“ท่านพ่อ!” อาอินตะโกนขึ้นมา พร้อมกับนำฟืนแห้งส่งให้หลิวเฟิงที่เดินมารับ จากนั้นก็วิ่งตึงตังขึ้นไปบนตักของเผยยวน แล้วเอ่ยอย่างออดอ้อน “ท่านพ่อ อาอินคิดถึงท่านจังเลยเจ้าค่ะ”
อาเหริ่นวางอาชิงลง เด็กทั้งสองต่างก็วิ่งเข้าไปออดอ้อนเผยยวน
จี้จือฮวนมองดูอาเหริ่นที่มีสีหน้าผิดหวัง ก็นำแป้งอบในหม้อและไก่หม้อดินที่ตุ๋นเสร็จแล้ว ตักใส่ชามและยกไปให้เขา
“หิวแล้วใช่หรือไม่ ลองชิมฝีมือข้าดู”
อาเหริ่นมองจี้จือฮวนด้วยความงุนงง
นางจึงได้แนะนำตัวเอง “ข้าเป็นแม่ของพวกเด็ก ๆ ชื่อว่าจี้จือฮวน ส่วนเขาคือสามีของข้า เผยยวน”
อาเหริ่นพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็คารวะอย่างเป็นทางการตามธรรมเนียมของเผ่าหมาป่าให้กับจี้จือฮวน “ขอบคุณพวกเจ้า”
จี้จือฮวนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องขอบคุณหรอก พวกเขาก็เป็นลูกของเราเหมือนกัน”
จี้จือฮวนเชิญอาเหริ่นให้นั่งลง เผ่าหมาป่าไม่คุ้นเคยกับอาหารของพวกเขา ดังนั้นจึงเลือกที่จะกินเนื้อแช่แข็งที่นำมาด้วยจากภูเขาหิมะแทน
ส่วนอาเหริ่นเมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตในเมืองกับซือถูเซิงอยู่หลายปี ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับอาหารของชาวฮั่น*มานานแล้ว
* ชาวฮั่น (汉人) หมายถึง ประชาชนส่วนใหญ่ของจีน ที่ไม่ได้เป็นชนเผ่า
ขณะที่อาเหริ่นกินข้าวอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางเด็กทั้งสองคน และรู้สึกอิจฉาเผยยวนที่สนิทสนมกับพวกเขาอย่างมาก
“พวกเขาเป็นเด็กที่ฉลาดมาก ต่อไปพวกเขาก็จะปฏิบัติกับเจ้าเช่นนี้เหมือนกัน”
จี้จือฮวนสังเกตได้ถึงความอิจฉาของเขา จึงอธิบายขึ้นมา
อาเหริ่นพยักหน้ารับ “เป็นข้า…ที่ไม่สามารถปกป้องลูกและผู้หญิงของตัวเองได้”
ถ้าเขาแข็งแกร่งพอ ซือถูรุ่ยคงไม่สามารถพาตัวเซิงเซิงไปได้
“แต่ตอนนี้เจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว เดิมข่าวนี้ควรเป็นท่านย่าอูหลางที่ต้องเป็นคนบอกเจ้าเอง แต่ต่อให้ข้าจะเป็นคนบอกก็คงไม่ต่างกัน ซือถูเซิงหายสาบสูญไปจากเมืองเจว๋เฉิง”
มือที่ตักอาหารของอาเหริ่นชะงักไปทันที ก่อนจะเงยหน้ามองจี้จือฮวน ราวกับว่าไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูด
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข้าไม่ได้หมายความว่าเซิงเซิงไม่อยู่แล้ว ไม่มีข่าวย่อมถือเป็นข่าวดี เพราะมีความเป็นไปได้ว่าซือถูเซิงอาจถูกขังอยู่ที่ใดสักแห่งในเมืองเจว๋เฉิง กองทัพของเรากำลังบุกโจมตีพั่นโจวเพื่อทวงดินแดนที่ถูกตระกูลซือถูยึดครองกลับคืนมา ถึงเวลานั้นต่อให้จะต้องพลิกแผ่นดินพั่นโจว พวกเราต้องหาซือถูเซิงเจออย่างแน่นอน”
อาเหริ่นเอ่ยด้วยความเคียดแค้น “เขาทำไม่ดีต่อเซิงเซิง เซิงเซิงต้องเจ็บปวดมากอย่างแน่นอน!”
จี้จือฮวนเข้าใจความโกรธแค้นของชายที่ถูกพรากภรรยาไปเป็นอย่างดี “วางใจเถอะ พวกเราจะยืนอยู่ข้างเจ้าอย่างแน่นอน”
แต่อาเหริ่นก็ยังคงสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขาอยู่
ทว่าเมื่อกลับถึงเพี่ยวโจว พวกเผ่าหมาป่าก็ได้รู้แล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของเผยยวนนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
และคาดไม่ถึงเลยว่าชะตากรรมของเด็กทั้งสองจะอัศจรรย์ได้ถึงเพียงนี้
ตอนที่อาเหริ่นไม่ได้อยู่กับพวกเด็ก ๆ เขานิ่งเงียบจนเหมือนไม่มีตัวตน
อาหารทุกมื้อที่จี้จือฮวนจัดเตรียมเอาไว้ให้เขา ได้มีการใส่ยาหลิงเฉวียนลงไปด้วย แค่ยาเม็ดบำรุงร่างกายก็ปั้นเอาไว้ให้ชามใหญ่แล้ว เพื่อให้เขากินให้ตรงเวลาทุกวัน
เมื่อเห็นว่าเขาฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว ในที่สุดจี้จือฮวนก็รู้สึกวางใจ
ในช่วงที่เผยยวนไม่อยู่ ลู่เอี้ยนได้ช่วยเขาจัดการความเรียบร้อยของเมืองเพี่ยวโจว ทันทีที่เขากลับมาก็รีบมาระบายความคับข้องใจทันที เพราะปัญหาที่สือฟางผู้นั้นทิ้งเอาไว้ ไม่สามารถแก้ไขได้ในชั่วข้ามคืนจริง ๆ!
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเรียกเก็บภาษีอย่างโหดร้ายทารุณจากชาวบ้าน แม้แต่วิถีชีวิตประจำวันที่เรียบง่ายของคนในเมืองก็เปลี่ยนไปด้วย ไม่รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาคนในท้องถิ่นอดทนมาได้อย่างไร
และเพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวที่เผ่าหมาป่าเข้ามาในเมืองแพร่กระจายออกไป ทุกคนจึงได้เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าทั่วไปเช่นชาวต้าจิ้น ทว่าพวกเขากลับไม่ยอมอาศัยอยู่ในเมือง เผยยวนจึงต้องสร้างค่ายทหารที่นอกเมืองให้ เป็นค่ายพิเศษที่สร้างขึ้นสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ
เดิมทียังกังวลว่าพวกเขาอยู่ที่นี่จะปรับตัวไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็สามารถปรับตัวได้แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่าหมาป่าที่เกิดมาพร้อมกับพละกำลังที่แข็งแกร่ง อาอินเองก็เป็นหนึ่งในคนแปลกเหล่านั้นด้วย นางอายุยังน้อยทว่ากลับมีพละกำลังเทียบได้กับผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่ นับประสาอะไรกับผู้ชายในเผ่าหมาป่าเหล่านี้กัน
ประกอบกับกองทัพทหารเกราะเหล็กตอนนี้มีทหารหญิงด้วย พวกฮวาหลางจึงได้ประลองฝีมือกับพวกทหารหญิงเรียบร้อยแล้ว
ปกติเวลาที่กองทัพทหารเกราะเหล็กฝึกฝน พวกเขาอยู่ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ จึงได้วิ่งตามหลังและคอยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของพวกเขา
อีกทั้งพวกเขาก็อยู่ห่างเพียงรั้วกั้น ดังนั้นรองแม่ทัพหลายคนจึงให้พวกเขาเข้ามาร่วมฝึกด้วย
เดิมพวกเขาก็มีพละกำลังมหาศาลอยู่แล้ว ประกอบกับได้รับการฝึกฝนกระบวนท่าใหม่ ๆ ดังนั้นพลังที่ปลดปล่อยออกมา จึงสามารถกล่าวได้ว่ามีพลังทำลายล้างเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
โดยเฉพาะอาวุธในกองทัพที่ต้องใช้กำลังแขนอย่างมากนั้น ทหารธรรมดาจำเป็นต้องฝึกฝนอย่างหนักจึงจะสามารถบังคับได้ ทว่าฮวาหลางและคนอื่น ๆ ในเผ่า เพียงแค่เรียนรู้ท่าทางก็สามารถใช้ได้อย่างอิสระแล้ว
ทำให้แม้แต่ท่านย่าอูหลางก็ปลื้มใจในตัวพวกเขามากเช่นกัน
“สู้ ๆ! สู้ ๆ!” อวี้จื่อหนิงเดินไปรอบ ๆ สนามฝึก ส่วนพวกหม่าเหวินปินที่ตกเป็นเชลย จึงมีหน้าที่ทำความสะอาดเก็บอึม้าในค่ายทหาร และยังต้องมีคนคอยจับตาดูทุกฝีก้าว
ไม่ใช่ว่าหม่าเหวินปินไม่เคยคิดหนี เพียงแต่ม้าที่นี่ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดจะใช้ข้ออ้างพาม้าไปอาบน้ำเพื่อหลบหนี ม้านั่นก็จะวิ่งกลับมาเองทุกครั้ง กลับมายังไม่เท่าไร แต่ม้านั่นยังสะบัดเขาลงจากหลังไปกองอยู่กับอึของมันอีกด้วย!
ไม่เคยเห็นกองทัพเช่นนี้มาก่อน น่าโมโหยิ่งนัก!
เมื่อเห็นว่าเผ่าหมาป่าเหล่านั้นเริ่มประลองกับเหล่าทหาร และเข้าร่วมในการฝึกกับกองทัพเป็นประจำ ใบหน้าของหม่าเหวินปินก็เต็มไปด้วยความดูถูก
กองทัพทหารเกราะเหล็กแล้วอย่างไรเล่า ที่เมืองของพวกเขามียอดฝีมือมากมาย ไม่ช้าก็เร็วท่านเจ้าเมืองต้องมาช่วยเขาอย่างแน่นอน
หม่าเหวินปินกำลังคิดไปต่าง ๆ นานา ปากสกปรกนั่นก็พูดออกมาไม่หยุด “เผยยวนอะไรกัน กองทัพทหารเกราะเหล็กอะไรกัน มีอะไรดีอย่างนั้นหรือ?”
ทว่าจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง ‘พรวด~’ ดังขึ้นข้าง ๆ เป็นจ้านอิ่งที่เบ่งอึใส่เขาหนึ่งก้อน จากนั้นก็สะบัดหางไปมาด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะนำบรรดาม้าศึกไปออกกำลังกายต่อ!
หากไม่ใช่เพราะร่างกายของหม่าเหวินปินสกปรกเกินไป พวกมันต้องเดินข้ามตัวเขาไปอย่างแน่นอน!
ประทับกีบม้าไว้บนใบหน้าเขาด้วยยิ่งดี
หม่าเหวินปินกระทืบเท้าเร่า ๆ ด้วยความโมโห “บัดซบ ไอ้ม้าบ้านี่!”
‘เพียะ!’ ทันใดนั้นก็มีแส้ฟาดมาจากด้านข้าง หลิวเฟิงเอ่ยเสียงเย็นขึ้นมา “นี่คือจ้านอิ่ง ขุนพลเดชพยัคฆ์ของค่ายของเรา เจ้านับเป็นตัวอะไรกัน ขุนพลเดชพยัคฆ์ยอมมอบอึให้เจ้า ดังนั้นเจ้าห้ามอาบน้ำเด็ดขาด!”
หม่าเหวินปินถึงกับตกตะลึงอีกครั้ง โกนหัวเขาแล้วยังไม่ยอมให้เขาอาบน้ำอีก! ให้เขาตายไปเสียยังดีกว่า
หลิวเฟิงจึงเอ่ยเสียงเย็นขึ้นมาอีกว่า “อยากตายก็เชิญ หาต้นไม้สักต้นตามสบายเลย ไม่มีใครห้ามเจ้าหรอก”
หม่าเหวินปินเหลือบมองกองกำลังสือฟางซึ่งถูกลากออกมาเพราะกดขี่ข่มเหงรังแกชาวบ้าน คนเหล่านั้นต่างถูกแขวนคอและกลายเป็นผีเฝ้าป่า ร่างแกว่งไกวไปตามสายลม
“แหวะ!” เขาขอมีชีวิตอยู่ต่อดีกว่า!
ต้องมีชีวิตอยู่จึงจะสามารถมีโอกาสแก้แค้นได้!
…
ในสนาม อาเหริ่นกำลังประลองฝีมือกับรองแม่ทัพจ้าวของกองทัพทหารเกราะเหล็กอยู่ สุดท้ายสู้กันได้ไม่กี่กระบวนท่า รองแม่ทัพจ้าวก็กระเด็นออกไปแล้ว
“ท่านพ่อ! เก่งจังเลยเจ้าค่ะ!” อาอินวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของอาเหริ่นด้วยความดีใจ “พละกำลังของข้าแข็งแกร่งเหมือนท่านพ่อ แต่เหตุใดน้องชายถึงได้อ่อนแอเพียงนั้นกัน อีกทั้งยังขี้เกียจด้วยเล่าเจ้าคะ!”
สองวันมานี้อาเหริ่นได้ออกมาตากแดด สุขภาพผิวของเขาจึงดีขึ้นมาก และเมื่อได้ยินลูกสาวถามดังนั้น เขาจึงเกาหัวแล้วตอบไปว่า “เซิงเซิง น้องชายเจ้าเหมือนเซิงเซิง”
อาอินลูบหูของเขา “ท่านพ่อวางใจเถอะเจ้าค่ะ อีกไม่นานพวกเราก็จะไปตีพั่นโจวและชิงตัวท่านแม่กลับมาแล้ว ใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ!”
ประโยคหลังนั้นอาอินกลับหันไปถามเผยยวน
ซึ่งพ่อทั้งสองคนก็สามารถฟังออกว่านางกำลังคุยกับใคร
เผยยวนจึงพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “แน่นอน”
ฮวาหลางเอ่ยขึ้นมา “ในเมื่อจะทำศึก เช่นนั้นพวกเราไปด้วยได้หรือไม่? และหมาป่าหิมะของพวกเราก็สามารถเข้าร่วมศึกได้เช่นกัน!”
.
.
.