ตอนพิเศษ 93-2 ท่านเทพเป็นอันธพาล จับได้คาหนังคาเขา
หมิงซิวยื่นยันต์ส่งสารให้หนีฉางหนึ่งแผ่น “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องสร้างตำหนักเทพเสวี่ยซานขึ้นมาใหม่เหมือนกัน มิสู้สร้างตำหนักเมฆาขึ้นมาอยู่ข้างกันเลยเถิด”
หนีฉางหน้าเขียว
หลังจากนั้นหมิงซิวก็ใช้เคล็ดวิชาเดินทางไปที่เกาะมังกร
สี่ฤดูกาลในแดนเทพไม่แบ่งแยกชัดเจนเหมือนในโลกมนุษย์ ขอเพียงมีพลังอาคมมากพอ ต้องการให้อากาศเป็นเช่นไรก็จะได้อากาศเช่นนั้น ก่อนหมิงซิวเดินทางออกไปจากเกาะ บนเกาะยังเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่ร้อยบุปผาเบ่งบาน ทว่าผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วยาม บนเกาะกลับมีปุยหิมะใหญ่เท่าขนห่านโปรยปรายลงมาแล้ว
ทิวทัศน์บนเกาะมังกรงดงามอย่างยิ่ง มันดูราวกับอัญมณีสีดำขลับที่ทอประกายสีเขียวหยกลอยอยู่เหนือผืนทะเลสีฟ้าคราม บนอัญมณีเม็ดนั้น มีหน้าผาที่ราวกับถูกดาบตัดนับพัน ยอดเขาสูงชันซ้อนเรียงราย หมื่นบุปผาแย้มกลีบบานขันแข่ง มังกรรูปลักษณ์ต่างๆ นานาเลื้อยร่างอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ งดงามเสมือนหนึ่งแดนเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
เวลานี้แดนเซียนแห่งนี้หิมะตก มันก็ยังงดงามหาที่สุดมิได้ เพียงแต่ลำบากมังกรพวกที่ทนความหนาวไม่ได้พวกนั้น พวกมันแต่ละตัวๆ ขดอยู่ในรังมังกรเนื้อตัวสั่นระริก
“จอมมารกับชิงสุ่ยเจินเหรินเล่า” หมิงซิวคว้ามังกรเหลืองตัวน้อยตัวหนึ่งที่เฝ้าประตูมาถาม
มังกรเหลืองน้อยแปลงกายเป็นมนุษย์แล้วตอบว่า “พวกเขาออกไปท่องทะเลแล้วขอรับ”
“ออกไปนานมากแล้วหรือ” หมิงซิวถาม
มนุษย์สีเหลืองตัวน้อยตอบว่า “อืม ท่านกับคุณชายรองออกจากเกาะไปไม่นาน พวกเขาก็ออกไปแล้วขอรับ”
หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าหิมะนี่ไม่ใช่ฝีมือพวกเขา
แววตาล้ำลึกของหมิงซิววูบไหวเบาๆ เขายกเท้าก้าวเข้าไปยังตำหนักบรรทมของจอมมาร
เฉียวเวยเวยอยู่ในตำหนักบรรทมที่กว้างขวางที่สุด งดงามวิจิตรที่สุด ทั่วทั้งห้องเป็นสีทองอร่ามมากที่สุด ไม่ว่าจะผนังหรือพื้นห้อง ตู้เสื้อผ้าหรือเครื่องใช้ ไม่มีชิ้นใดมิใช่ทองคำชั้นดี
หน้าต่างสีทองอร่ามเปิดอ้ากว้าง ริมหน้าต่างมีโต๊ะตัวน้อยตั้งอยู่ เฉียวเวยเวยนั่งอยู่ที่โต๊ะ มือข้างหนึ่งเท้าคาง ทอดสายตามองสวนดอกไม้น้อยนอกหน้าต่างอย่างเบื่อหน่ายเพราะไม่มีสิ่งใดให้ทำ
นางกะพริบตา ดอกไม้พลันแย้มกลีบบาน
นางกะพริบตาอีกหน ดอกไม้พลันร่วงหล่นจากต้น
นางคือดอกบัวน้ำแข็งแห่งหกดินแดน ความสามารถเท่านี้ย่อมสมควรมีอยู่แล้ว
ตอนที่หมิงซิวเดินเข้ามาในห้อง เฉียวเวยเวยเพิ่งสั่งให้ดอกไม้บานแล้วโรยเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยยี่สิบ ปลายนิ้วของนางวาดหนึ่งหน หิมะบนท้องนภาพลันโปรยปรายลงมาหนักกว่าเดิม
นางสวมกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน ตรงเอวมีเข็มขัดหยกสีทองรัดไว้แน่น เอวบางอ้อนแอ้นบางจนหนึ่งฝ่ามือกำได้รอบ
ในอดีตเสวี่ยหลันอีก็มีเอวบางดุจกิ่งหลิวเช่นนี้ เอวบางแน่งน้อยนั่นเคยทำให้หมิงซิวจดจ้องมองนางนานกว่าปกตินิดหน่อย ทว่าเขายังไม่ถึงวัยหนุ่ม ไม่รู้ว่าอารมณ์พิศวาสคือสิ่งใด เขาจึงชื่นชมเพียงอย่างเดียวแต่ไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น!
แต่กับเฉียวเวยเวยกลับไม่เหมือนกัน เอวบางของนางทำให้เขาอยากโอบมือรอบมัน
เขาไม่รู้ว่าเพราะรู้จักอารมณ์พิศวาสแล้วจึงคิดว่านางดีงาม หรือว่าได้สัมผัสความดีงามของนางแล้วจึงรู้จักอารมณ์พิศวาสในที่สุด
จู๋อียกชากับขนมเข้ามา เมื่อเดินมาถึงประตูก็เห็นหมิงซิวมองหญิงสาวริมหน้าต่างด้วยสีหน้าหลงใหล นางยังไม่เคยเห็นท่านเทพเก็บงำอารมณ์ไม่อยู่เช่นนี้มาก่อน ภาพนี้ทำให้หัวใจนางเต้นกระตุกผิดจังหวะไปหนึ่งจังหวะ
หากมองต่อไปนางคงรู้สึกปรารถนาบุรุษขึ้นมาด้วยแน่
จู๋อีหยิบขนมเกาลัดชิ้นหนึ่งยัดเข้าปาก นางอมขนมเกาลัดแล้ววิ่งเตลิดหนีไปทันที!
หมิงซิวพับแขนเสื้อก้าวเข้าไปในห้องอย่างอ้อยอิ่ง เฉียวเวยเวยเหมือนไม่รู้ตัวว่าเขามาเยือน นางหันท้ายทอยให้เขาอยู่ตลอด ศีรษะด้านหลังของนางก็งดงามอย่างยิ่งเช่นกัน มันกลมดิก หุ้มด้วยเส้นผมสีดำดุจน้ำหมึก เกล้าขึ้นไปเป็นมวยผมทรงขดหอยหนึ่งมวย ปักด้วยปิ่นหยกขาวเรียบง่ายแต่สง่างามเล่มหนึ่ง
ปิ่นหยกเล่มนั้นสีดุจเดียวกับผิวของนาง ขาวผ่องนวลเนียน ขาวจนราวกับจะโปร่งใส
หมิงซิวเดินเข้าไปใกล้ ปลายจมูกได้กลิ่นหอมรัญจวนใจของดอกบัวน้ำแข็งจากตัวนาง
หมิงซิวหยุดอยู่ด้านหลังนาง “เวยเวย”
เฉียวเวยเวยไม่สนใจเขา
เด็กคนนี้ ตอนเล็กเลี้ยงง่ายนัก โตมาเริ่มคิดเล็กคิดน้อยเช่นสตรี ชักจะตะล่อมหลอกไม่ง่ายเหมือนเดิมแล้ว หัวใจดวงนี้ต้องขบคิดเพื่อนาง มิใช่เพียงเนื้อน้ำแดงชามหนึ่งกับอสรพิษวิญญาณตัวหนึ่งจะทำให้นางลืมทุกสิ่งได้อีกแล้ว
“ดูซิว่าข้านำสิ่งใดมาให้เจ้า” จีหมิงซิวแบฝ่ามือออก เผยให้เห็นดอกบัวน้อยสีทองระยิบระยับดอกหนึ่ง
เฉียวเวยเวยตอบโดยไม่หันกลับมาสักนิด “ข้าไม่เอา!”
หมิงซิวคิดไว้อยู่แล้ว เขาเอ่ยแผ่วเบา “ยังไม่ทันดูก็ตอบว่าไม่เอาแล้วหรือ”
เฉียวเวยเวยโมโหฮึดฮัด “ก็บอกแล้วว่าไม่เอา! เจ้ามอบสิ่งใดให้ก็ไม่เอาทั้งนั้น!”
หมิงซิวพอจะเข้าใจว่านางโมโหเรื่องอะไร เมื่อวานเขาเพลิงโทสะแล่นขึ้นสมองเอ่ยวาจาปากพล่อยออกมาประโยคหนึ่ง คิดไม่ถึงว่านางจะได้ยินแล้ววิ่งมาขอเขาจริงๆ
เรื่องนี้ย่อมขอกันไม่ได้
เฉียวเวยเวยเบ้ปาก “เจ้าคนหลอกลวง!”
หมิงซิวตอบอย่างจนปัญญา “มนุษย์ความคิดสลับซับซ้อน ประโยคหนึ่งตีความได้เก้าอย่าง ยามนั้นข้ากล่าวเช่นนั้น แต่มิได้หมายความตามนั้น”
เฉียวเวยเวยฟังแล้วสับสนงงงวย นางหันกลับมามองเขาอย่างเย็นชา หลังจากนั้นก็หลุบสายตาลง “ข้าไม่อยากเป็นมนุษย์แล้ว เป็นมนุษย์เหนื่อยเหลือเกิน เป็นมังกรน้อยดีกว่า ไม่ต้องรักษาศีลของพวกมนุษย์”
หมิงซิวแก้ให้นาง “นั่นไม่ใช่ศีล แต่มันเป็นขนบธรรมเนียม”
เฉียวเวยเวย “ก็ไม่กี่คำเหมือนกัน คล้ายๆ กันนั่นแหละ!”
หมิงซิว “…”
เฉียวเวยเวยเอ่ยอีกว่า “เดี๋ยวเจ้าก็บอกว่าชอบข้า เดี๋ยวก็บอกว่าไม่ได้ชอบแบบนั้นอย่างที่ข้าคิด ถ้าอย่างนั้นเจ้าชอบข้าแบบไหนกันแน่”
หมิงซิวประคองดวงหน้าของนางขึ้นมาแล้วใช้ปลายนิ้วไล้ผิวนุ่มเนียนของนาง แววตาลึกล้ำจ้องเข้าไปในดวงตากระจ่างใสของนาง “เจ้าเล่า เจ้าชอบข้าแบบใด”
ปลายนิ้วของเขาเย็นเฉียบ แต่ยามจับบนพวงแก้มนางกลับร้อนผะผ่าว เฉียวเวยเวยกะพริบตาหนึ่งปริบแล้วตอบสีหน้าจริงจัง “ข้าถามก่อนนะ!”
สาวน้อยคนนี้รู้จักโจมตีคนอื่นก่อนแล้ว คำพูดที่พูดในหนึ่งปีรวมกันยังไม่มากเท่าวันนี้วันเดียว แล้วยังเล่นงานได้ชะงัดทำให้คนหาข้อผิดมาแย้งไม่ได้อีก ดูท่าจู๋อี…จะลงแรงไปไม่น้อยเลยทีเดียว
จู๋อีที่แอบฟังอยู่ตรงกำแพงรู้สึกเหมือนหัวเข่าถูกลูกธนูยิงสองดอกอย่างไร้สาเหตุ!
เฉียวเวยเวยรออยู่นานก็ยังไม่ได้คำตอบจากเขา “เหตุใดเจ้าไม่พูดเล่า เจ้าไม่ชอบข้าสักนิดเลยสินะ หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าจะไปหาผู้อื่นแล้ว!”
ใบหน้าของหมิงซิวดำทะมึนในพริบตา!
จู๋อีกุมหน้าผาก จุดเทียนไว้อาลัยให้มังกรน้อยอย่างเงียบๆ ข้าให้เจ้าท่องบทละครมาก็พอ เจ้าแต่งอะไรเพิ่มเองมามั่วซั่วกันหืม…
นอกห้องเกล็ดหิมะมากมายโปรยปรายลงมาราวกับขนห่านเบาหวิว พวกมันร่วงหล่นลงมาประดับบนกลีบดอกตูมที่ใกล้จะแย้มกลีบ หิมะสะท้อนแสงเป็นประกายแวววาว ประกายหิมะสะท้อนตกต้องใบหน้าหล่อเหลาของท่านเทพทำให้ใบหน้านั้นดูเย็นยะเยือก
แววตาดำทะมึนของท่านเทพตวัดมามอง มังกรน้อยก็หัวหด
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร”
เฉียวเวยเวยก้มศีรษะกลมๆ ของตัวเองแล้วเปลี่ยนคำพูดอย่างหวาดหวั่น “ข้าบอกว่า…ข้าบอกว่าจะกินเจ้า”
“อ้อออ!”
เสียงหันเราะหยันคล้ายแฝงความนัยแทรกผ่านริมฝีปากของท่านเทพ “ใช้ปากไหนเล่า”
“หืม” เฉียวเวยเวยเงยหน้าขึ้นมาอย่างงงๆ แล้วจ้องเขาอย่างมึนงง
จู๋อีลอบด่าในใจ เจ้าอันธพาล ที่แท้ท่านเทพก็เป็นอันธพาลลามก!
เฉียวเวยเวยตอบว่า “ใช้ทั้งสองสิ”
กินจิตตั้งต้นของเจ้าใช้ปากของดอกบัวน้ำแข็ง กินกายเนื้อของเจ้าใช้ปากของมังกรมาร
หมิงซิวย่อมเข้าใจว่านางพูดถึงเรื่องปกติธรรมดา แต่เขาไม่อาจห้ามตนเองไม่ให้คิดนอกลู่นอกทางได้ หมิงซิวบีบพวงแก้มของนาง
นางถูกบีบจนปากยู่ “จะทำอะไร”
หมิงซิวอุ้มนางขึ้นมา ท่อนแขนใหญ่โอบอุ้มเอวบางอ้อนแอ้นของนาง แล้วถามด้วยแววตาลึกซึ้ง “ไม่ใช่ว่าจะกินข้าหรอกหรือ”
“เรื่องนั้นข้าเพียงพูดเล่น ไหนเลยข้าจะตัดใจ…อื้อ…”
เฉียวเวยเวยหายใจไม่ทัน เขาถึงปล่อยนาง
ดวงตาที่ปกคลุมด้วยม่านน้ำของเฉียวเวยเวยมองเขา “เจ้ายังไม่พูดเลยว่าเจ้าชอบข้าแบบไหน หากมิใช่ชอบแบบที่ข้าต้องการ ถ้าเช่นนั้นก็อย่ามาแตะต้องข้าอีก ข้าเป็นมังกรมีศีลธรรมนะ!”
มังกรผู้มีศีลธรรม ล้วงมือน้อยๆ เข้ามาในคอเสื้อของเขาแล้ว
หมิงซิว “…”
หมิงซิววางนางลงบนฟูกเตียงนุ่มนิ่ม
“จู๋อีบอกว่าสิ่งนั้นเจ็บมากจริงหรือไม่ นางหลอกข้าใช่หรือไม่” จู่ๆ เฉียวเวยก็เอ่ยขึ้นมา
หมิงซิวลูบกระหม่อมของนางแล้วพยักหน้า “อืม เจ็บอยู่”
เฉียวเวยเวยผุดลุกอย่างหวาดผวา “ถ้าเช่นนั้นข้าไม่ทำแล้ว!”
หมิงซิว “!”
สาวน้อยคนนี้! ไฟติดจนจะเผามังกรตายอยู่แล้ว จู่ๆ บอกจะไม่ทำก็ไม่ทำเช่นนั้นหรือ!
“เสี่ยวซิว” เฉียวเวยเวยเขยิบเข้ามาหาอีกครั้ง
หมิงซิวเลิกคิ้ว สรุปก็คือยังจะทำอยู่สินะ
มือน้อยอันเงอะงะของเฉียวเวยเวยจับกระดุมบนสาบเสื้อ “ข้า…ข้าติดไม่ได้”
หมิงซิวหมดอารมณ์ทันใด
“ชาติก่อนข้าติดหนี้เจ้าไว้สินะ”
หมิงซิวสูดหายใจลึกๆ กดความปรารถนาที่จะหิ้วมังกรขึ้นมาตีก้น เขาดึงเสื้อของนางปิดแล้วกลัดกระดุมให้นางพลางบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าฟังให้ดี คำพูดนี้ข้าจะพูดเพียงหนเดียวเท่านั้น ข้าชอบเจ้า เหมือนเช่นบิดาเจ้าชอบมารดาของเจ้า…”
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
ชิงสุ่ยเจินเหรินกับจอมมารกลับมาถึงบ้านแล้ว
ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงประตู เห็นทุกสิ่งในพริบตาเดียว
ทั้งที่เขากำลังลงมือสวมเสื้อผ้าให้เฉียวเวยเวยอยู่แท้ๆ แต่ในสายตาของทั้งสองคนกลับไม่ใช่เช่นนั้น
ชิงสุ่ยเจินเหริน “ชิงหลวน ดาบยักษ์ของเจ้าเล่า”
จอมมารยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ยังจะใช้ดาบอีกหรือ”
กล่าวจบนางก็หยิบปืนใหญ่ทลายนภาออกมา