เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 268 น้ำตกภูลำธาร เมืองอาทิตย์อุทัย

ตอนที่ 268 น้ำตกภูลำธาร เมืองอาทิตย์อุทัย

ตอนที่ 268 น้ำตกภูลำธาร เมืองอาทิตย์อุทัย

เขตแดนกลาง อุดมสมบูรณ์รุ่งเรือง สามสิบหกเมืองล้อมรอบเมืองหลวง

น้ำตกภูลำธาร หลังผู้บำเพ็ญออกจากเมืองหลวงก็จะขี่กระบี่บินได้ เพียงแต่คนที่มีความสามารถขี่กระบี่ได้ก็เป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตกลางขึ้นไปแล้ว

การขี่กระบี่ของขอบเขตกลาง ความจริงไม่นับว่าเป็นการขี่กระบี่ ได้แต่เรียกว่าเหยียบกระบี่มากกว่า

เว้นแต่ศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์ส่วนน้อยอย่างเช่นเขาอนันต์เล็กแดนประจิม ตอนฝึกบำเพ็ญยังเรียนวิชาขี่กระบี่ด้วย สำนักอื่น โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญพเนจร การขี่กระบี่ที่ตนตระหนักรู้ออกมาไม่มีค่าให้เอ่ยถึงเลย อีกทั้งเพราะแสงดาราไหลเวียนในกาย ผู้บำเพ็ญขอบเขตกลางปกติจะขี่กระบี่ได้แค่ครึ่งชั่วยามก็จะหมดแรง

คำว่าขี่กระบี่ ความจริงเป็นเพียงพื้นฐานของการฝึกกระบี่

หลังตระหนักเจตจำนงกระบี่แรก ก้าวสู่ธรณีประตูนักกระบี่ กำลังรบจะเท่ากับผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ด ความจริงก็หลุดจากธรณีประตูขอบเขตกลางแล้ว ตอนนี้จิตใจกับกระบี่เชื่อมต่อกัน กระบี่บินเล่มเดียว ยืนบนนั้น แค่เคลื่อนความคิดก็ขี่ไปได้

หนิงอี้ เด็กสาวและหลิ่วสืออีสามคน หลังออกจากเมืองหลวงก็ยังไม่ขี่กระบี่

แม้จะพ้นจากศัตรูข้างหลัง แต่ยังแอบรู้สึกกดดันอยู่

แม้การขี่กระบี่จะเร็ว แต่ก็เด่นเกินไป จะสร้างปัญหาได้ง่าย

“ต้องไปชายแดนประจิม ออกจากแดนกลาง ระหว่างนั้นมีเก้าเมืองโบราณต้าสุย ต่อให้ไปเป็นเส้นตรงที่สุดก็ต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์” สามคนพุ่งทะยานในป่าเก่าแก่ แสงตะวันส่องผ่านลงมาเป็นจุดด่าง ตกลงตรงหน้าผากเด็กสาว เส้นผมปลิวไสว นางพูดเสียงเบา “ครั้งก่อนนั่งรถม้าไม้ขาวของท่านเจ้าลัทธิ มีข้ารับใช้ มีปรมาจารย์ค่ายกลหลายท่าน วาดยันต์เร่งความเร็วตลอด แปดวันจากเขาน้ำค้างเล็กก็ถึงเมืองหลวง ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าไกลเท่าไร ตอนนี้ดูแล้ว ความเร็วแปดวัน ปรมาจารย์ยันต์พวกนั้นต้องต่อค่ายกลกันไม่หยุด เกรงว่าคงเหนื่อยล้ากันมาก กลับเมืองหลวงไปต้องพักอย่างน้อยครึ่งเดือน”

น้ำตกภูลำธารข้างๆ ส่งเสียงดัง

สามคนไม่ขี่กระบี่ ไม่ขี่ม้า แค่ใช้สองขาวิ่งไป ร่างกายรับแรงกดดันต่ำมาก

“ยอดฝีมือจากแดนบูรพาน่าจะมีวิชาพิเศษบางอย่าง ตอนนี้อยู่ห่างไปไกลก็ยังหาพวกเราเจอเร็วมาก” เผยฝานหรี่ตาลง นางกอดต้นใบครามนั้น ใบไม้ขยับขึ้นลงไปตามการวิ่ง โคลงตัวไม่หยุด “ระยะนี้น่าจะราวๆ ร้อยลี้ เราเดินทางทั้งวันทั้งคืน ตอนนี้น่าจะพ้นแล้ว…หากพวกเขาตามมาทัน ยันต์กระดิ่งทองจะเตือนเอง”

ใบหน้าหลิ่วสืออีดูไม่ปั้นยากเท่าเดิมอีก เขานั่งยองใต้น้ำตกล้างหน้า ใบหน้ารูปไข่ที่ไม่มีมาดคุณชายแต่ดูเหมือนเด็กนั้น หลังจากล้างฝุ่นออกก็ดูโอนอ่อนลงมาก แม้เขาจะได้ฉายาว่าไร้พ่ายในขอบเขตที่เจ็ด พูดน้อยเคร่งขรึม ฟังดูเหมือนนักกระบี่เลือดเย็นไร้ความปรานี แต่ถ้ามองแค่ภายนอกก็ยังดูหล่อเหลา ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกไม่ดีอะไร

หลิ่วสืออีได้ฟังคำพูดเผยฝานก็ยกมือขึ้นตามจิตใต้สำนัก ยันต์กระดิ่งทองนั้นพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ความจริงนี่เป็นยันต์สีขาวง่ายๆ เป็นสีขาวหิมะ ทรงสี่เหลี่ยมยาว ตรงขอบปักด้วยด้ายทอง

“ยันต์กระดิ่งทองรึ” หลิ่วสืออีเลิกหางคิ้วขึ้น “ยันต์นี่ใช้อย่างไร”

“ไม่มีวิธีใช้ กระทั่งไม่เรียกว่ายันต์มาตรฐานด้วยซ้ำ” เผยฝานใช้สองนิ้วคีบยันต์กระดิ่งทองมาแกว่งตรงหน้าตน ทันทีที่กระตุ้นด้วยแสงดารา ด้ายทองบนตัวยันต์ก็สว่างวาบ ส่งเสียงดังปานกระดิ่ง “ข้าเดาว่าพวกมันไม่ยอมเลิกราแน่ น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญภูตผีไม่ใช่คนใต้บัญชาแดนบูรพา ปกติผู้บำเพ็ญภูตผีซ่อนตัวลึกกว่านี้ แต่หากเกิดจิตสังหาร ไอชั่วร้ายในร่างกายจะหลั่งไหลออกมา ในวิถีการปราบภูตผีของสำนักเต๋า มียันต์ด้ายทองที่ใช้ปราบผู้บำเพ็ญภูตผีโดยเฉพาะ ทุบตีร่างกาย ใช้บีบเจ็ดจิตหกวิญญาณออกมาได้ หากเป็นผู้บำเพ็ญที่มีพลังสูงใช้ยันต์ ถึงขั้นดับสลายอีกฝ่ายไปได้ แต่ข้าทำยันต์ด้ายทองไม่ได้ แต่ก็ได้แรงบันดาลใจมาเล็กน้อย ถึงได้มียันต์กระดิ่งทองนี้”

นางหัวเราะคิกคัก “ในระยะสามจั้ง ใส่แสงดาราไว้ในยันต์ก็จะเลี่ยงภัยได้”

“สามจั้งรึ” หลิ่วสืออีพูดด้วยความกลัดกลุ้ม “เจอนักกระบี่แดนบูรพาคุมกระบี่ออกจากฝัก ในระยะสามจั้ง ยันต์ยังไม่ทันดัง หัวคนก็คงหล่นลงพื้นแล้ว”

เด็กสาวยักไหล่ “นั่นก็ต้องโทษว่าตัวเองไร้ความสามารถแล้ว”

หนิงอี้พูดอย่างจนปัญญา “ไม่มีอะไรปลอดภัยไปเสียทุกอย่างหรอก ยันต์กระดิ่งทองแผ่นเดียว อย่าว่าแต่คาดเดาไอชั่วร้ายในระยะสามจั้งเลย ต่อให้แคบกว่านี้แค่สามฉื่อ เจ้าจะเอาหรือไม่เอา ไม่เอาก็คืนมา ข้าจะแปะให้เจ้าครามหมื่นปี”

หลิ่วสืออีพูดด้วยความโมโห “เอาสิ ไม่เอาก็โง่แล้ว”

ต้นครามโคลงตัวไปมา เหมือนกำลังเยาะเย้ยบางคน

ต้นครามนี้มาจากภูเขาม่วง เป็นของผู้อาวุโสฉู่เซียวก่อน จากนั้นติดตามสวีจั้ง ตอนนี้อยู่กับหนิงอี้ เด็กสาวเอาไว้ติดตัวตลอด แค่หมุนๆ ก็กินไอวิญญาณในโลกไปไม่น้อย เหมือนมีจิตวิญญาณอยู่จริงๆ

“แต่มีเรื่องหนึ่งต้องพูดหน่อย” เผยฝานเก็บยันต์กระดิ่งทอง พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งจึงพูดเสียงเบา “ยันต์กระดิ่งทองนี้ปักด้ายทองไว้รอบหนึ่ง มีจุดที่บังเอิญบางอย่างกับ ‘พลังอันยิ่งใหญ่’ ของเขาเชียงซาน ดังนั้นไม่ใช่แค่ใช้ตรวจจับไอชั่วร้ายของผู้บำเพ็ญภูตผี ขอแค่ไม่ใช่แสงดาราดั้งเดิม อย่างอื่นก็ตรวจจับได้เช่นกัน”

หนิงอี้ทำเสียงหืม “นอกจากไอชั่วร้ายของผู้บำเพ็ญภูตผีแล้ว ยังมีผู้บำเพ็ญคนอื่นไม่ฝึกแสงดาราอีกรึ”

เด็กสาวอธิบายง่ายๆ “เจ้าเอายันต์กระดิ่งทองไปในใต้ฟ้าเผ่าปีศาจแดนอุดรดู แค่เดินสามก้าว ยันต์ก็ระเบิดแล้ว”

หลิ่วสืออีได้ยินเช่นนั้นก็อดขำไม่ได้ หัวเราะออกมา

หนิงอี้หัวเราะเช่นกัน “มันตรวจจับกลิ่นอายของเผ่าปีศาจได้ด้วยรึ”

เด็กสาวพยักหน้า “ยันต์กระดิ่งทองไม่ใช่ยันต์ระดับสูงอะไร เพียงแต่ด้ายทองไม่ถูกกับไอชั่วร้าย ขอแค่มีกลิ่นอายคล้ายๆ กัน กระดิ่งทองก็จะทำงาน แต่หากเป็นยอดปีศาจอย่างมังกรจู๋หลง แม้จะเป็นแค่ลูกมังกร แค่เผยมาเล็กน้อย เกรงว่ายันต์ยังไม่ทันเตือนก็คงจะเผาไหม้ไปเลย”

หนิงอี้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว

หลิ่วสืออีเงียบไปก่อนจะถามด้วยความแปลกใจ “ใต้ฟ้าต้าสุยมีเผ่าปีศาจด้วยรึ”

“มี”

หนิงอี้ตอบหลิ่วสืออี เขาตอบง่ายๆ ว่ามี ตอนนี้สิ่งแรกที่ปรากฏในความคิดคือภาพในคืนนั้นที่อารามโพธิ์เทือกเขาประจิม

ยอดปีศาจแมงมุมขอบเขตที่แปดนั้นฆ่ากองกำลังของตำหนักสวรรค์กับสำนักเต๋า ส่วนใหญ่เป็นผู้บำเพ็ญราวๆ ขอบเขตกลาง

เผ่าปีศาจที่ยังไม่กลายร่างนี้ หนิงอี้ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องกลายร่าง นี่เป็นการฝึกภายในเผ่าปีศาจ การกลายร่างไม่ได้สื่อว่ามีพลังบำเพ็ญแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ยักษ์ใหม่หมื่นปีของแดนอุดรก็ยังอยู่ในร่างดั้งเดิม

ตอนอยู่ตำหนักก้นทะเลภูเขาแดง หนิงอี้สู้กับเจียงหลินที่เป็นสามอันดับแรกในรุ่นเยาว์ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ อยู่ในแดนผนึกแสงดารา หนิงอี้เกือบจะกดดันให้เจียงหลินเผยร่างจริงออกมาได้

จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าหากเผ่าปีศาจเผยร่างจริง กำลังรบจะเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น

“เขตแดนต้าสุยมีเผ่าปีศาจอาศัยอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่นอกสี่แดน” เด็กสาวพูดต่อ มองหลิ่วสืออี นางอ่านตำรามามากมายในจวนขุนนางรองท่องกระบี่ แทบจะเป็นมนุษย์คลังตำราเมืองหลวงแล้ว

หลิ่วสืออีพูดด้วยความสงสัย “เข้ามาจากโลกเทารึ”

เด็กสาวส่ายหน้า “มีหลายที่มาก และก็ไม่จำเป็นต้องมาจากข้างนอกเสมอไป”

นางเอ่ยช้าๆ “ต้นไม้ใบหญ้าล้วนมีจิตวิญญาณ หากฝึกบำเพ็ญถึงขั้นย่อมเกิดสติปัญญา แดนทักษิณมีสำนักหนึ่งฝึกวิชาคุมวิญญาณ ผู้บำเพ็ญที่นั่นเริ่มฝึกจากการเรียกวิญญาณ ผู้สำเร็จวิชาขั้นสูงมักจะมีสัตว์ปีศาจใต้บัญชาเป็นหมื่น แม้สติปัญญาไม่สูง แต่ก็กลายเป็นปีศาจได้”

“นี่ก็คือเหตุผลที่กรมปราบปีศาจต้าสุยถึงมีอยู่ทุกที่ อยู่ในทุกเมือง…กรมปราบปีศาจฟังดูเล็กและไร้ประโยชน์ แต่หากมันได้ใช้แค่ตอนสู้กับเผ่าปีศาจ เช่นนั้นก็มีแค่สนามรบโลกเทาแดนอุดรเท่านั้นที่เหมาะสม” เผยฝานพูดเสียงเบา “สี่แดนต้าสุย หลายปีมานี้มีวิญญาณปีศาจปรากฏ บ้างทำร้ายผู้คนปล้นชิง ถูกกรมปราบปีศาจพบก็ฆ่าทิ้ง บ้างก็ลบสติปัญญา ฝึกฝนตามหลังผู้ถือคำสั่งกรมปราบปีศาจ”

หลิ่วสืออีเป็นคนคลั่งกระบี่ ตั้งแต่ลงเขามาก็เพิ่งรู้เรื่องพวกนี้

เผยฝานพูดอะไร เขาก็จดจำไว้เงียบๆ

“วิญญาณปีศาจของต้าสุยส่วนใหญ่อยู่นอกสี่แดน”

“เหนือใต้ออกตก กำแพงเมืองทั้งสี่ ประชาชนผู้ยากไร้จะเข้าไปยากยิ่ง จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเผ่าปีศาจ” เผยฝานนิ่งไปก่อนจะพูดอย่างเฉยชา “ความจริงการสร้างกำแพงเมืองทั้งสี่ก็เพื่อกันไม่ให้เผ่าปีศาจแปลงกายแฝงตัวเข้ามาสืบ…ยอดฝีมือใต้ฟ้าเผ่าปีศาจไม่ลองด้วยตัวเอง หมื่นปีมานี้ของต้าสุย หากถูกกรมปราบปีศาจพบ มีกลอุบายพลิกฟ้าก็หนีออกจากเขตแดนสี่หมื่นลี้นี้ไม่ได้ ถูกทำลายจิตวิญญาณโดยตรง แต่ทุกปีจะมีเผ่าปีศาจเดนตายต่างๆ ข้ามทะเลพลิกผันมา ทว่ามีน้อยมาก ยากจะปราบได้หมด พวกเขามาต้าสุย มาเปิดจิตวิญญาณในที่ที่ไม่มีคน นี่ถือเป็นการสืบทอดอย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรนอกกำแพงเมืองสี่แดนก็ค่อนข้างวุ่นวาย เทือกเขาประจิมมีเพียงสำนักเต๋า ดินบูรพาก็มีเพียงเขาวิญญาณ ไม่เหมือนในต้าสุยที่มีเขาศักดิ์สิทธิ์มากมาย และยังมีกรมปราบปีศาจตรวจตรา ดังนั้นเผ่าปีศาจก็มักจะเปิดจิตวิญญาณที่นอกเขตแดน ทว่าก็เป็นเพียงปีศาจเล็กๆ ไม่มีระเบียบแบบแผน”

นางพูดมาในอึดใจเดียว

เผยฝานชะงักไปก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้างหน้าเป็นเมืองอาทิตย์อุทัย พักในเมืองอาทิตย์อุทัยก่อนแล้วกัน”

สามคนออกจากป่าโบราณ

…..

เมืองอาทิตย์อุทัย หนึ่งในสามสิบหกเมืองดินแดนกลาง

หากวัดกันที่ความเจริญ เมืองอาทิตย์อุทัยไม่ติดอันดับในดินแดนกลาง แต่ในเมืองมีอีกทิวทัศน์ มีภูเขามีน้ำมีน้ำตก แม่น้ำวายุแดงของเมืองหลวงแยกไหลผ่านมา รอบเมืองอาทิตย์อุทัยมั่นคง มองลงมาจากที่สูงจะถูกสายน้ำตัดผ่าน ก็คือแม่น้ำยาวสายนี้

เมืองแบ่งเป็นสองส่วน เลี้ยวลดคดเคี้ยว ดูเหมือนภาพหยินหยาง

สามร่างเงาเข้าใกล้ประตูเมืองอาทิตย์อุทัยก็ลดความเร็วลง

ตอนเข้าเมืองพวกเขาก็กดงอบลง กระบี่สามเล่มพันด้วยผ้าดำ ผนวกกับการแต่งตัวธรรมดา

ร่มกระดาษมันตรงเอวหนิงอี้ กระบี่ตารางหนาข้างหลังเผยฝานรวมถึงปราณนิรันดร์ข้างหลังหลิ่วสืออี ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเข้าเมืองเลย

ในเมืองอาทิตย์อุทัย เทียบกับเมืองใหญ่ดินแดนกลางแล้วยังเทียบไม่ได้บ้าง อาจพูดได้ว่าแม้นกกระจอกจะตัวเล็ก แต่ก็มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์[1]

เสียงผู้คนดังเกรียวกราว คึกคักมาก ทั้งสามคนเข้าเมืองไปช้าๆ

………………………

[1] แม้นกกระจอกจะตัวเล็ก แต่ก็มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นการเปรียบเทียบขนาดเมืองว่าแม้จะเล็ก แต่ก็สมบูรณ์แบบในตัวของมันแล้ว

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Score 10
Status: Completed
ขลุ่ยกระดูกธรรมดาที่เด็กหนุ่มครอบครอง กลับเป็นยอดสมบัติที่จะทำให้เขากลายเป็นเชียนกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า หนิงอี้' เด็กหนุ่มยากจนจากเทือกเขาประจิมลอบเข้าไปปลันสุสานใต้ดินกับน้องสาว 'เผยฝาน' โชคดีเก็บ 'ไข่มุกตะวันคร้าน' สมบัติที่ผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักใหญ่ตามหาได้ แต่เขาดันทำมันแตก! ซ้ำยังสลบไปจนน้องสาวต้องลากออกมา แม้จะรอดชีวิตจากสุสานใต้ดินมาได้ แต่กลับต้องมาถูกปีศาจแมงมุมตามล่า เพราะมันเข้าใจว่าไข่มุกตะวันคร้านอยู่ที่เขา หนิงอี้ไม่กลัว ถ้ำเกิดอะไรขึ้นเขายังมี 'ขลุ่ยกระดูก' ที่แม้ภายนอกจะดูเหมือนขลุ่ยใบไม้ธรรมดา ทว่าคมจนตัดเหล็กกล้ำได้ แต่หนิงอี้ไม่ทันได้ควักขลุ่ยกระดูกออกมาใช้ก็มีคนมาช่วยพวกเขาไว้เสียก่อน ผู้ใหม่คือ 'สวีจิ้ง ผู้บำเพ็ญอันดับ 3 แห่งต้สุยที่ถูกหลายสำนักหมายหัว และการได้พบกับสวีจั้งนี้เองที่ทำให้ชีวิตของหนิงอี้เปลี่ยนไป ประตูสู่โลกของผู้บำเพ็ญที่เขาไม่เคยคิดจะย่างกรายเข้าไปได้เปิดออก ขลุ่ยกระดูกธรรมดาๆ ที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดกลับกลายเป็นยอดสมบัติ! ทั้งยังมีความลับเบื้องหลังชาติกำเนิดที่รอวันเปิดเผย เส้นทางสู่การอยู่เหนือคนทั้งใต้หล้าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

Options

not work with dark mode
Reset