คำพูดเช่นนี้ทำเอาตงฟางโยวยากจะรับได้เสียยิ่งกว่าดูถูกชาวซางหมางตรงๆ เสียอีก นางตั้งใจจะช่วยเหลือม่อซิวเหยาด้วยความจริงจัง และนางก็เชื่อว่าติ้งอ๋องจะได้ครอบครองใต้หล้าภายในระยะเวลาอันสั้นภายใต้การช่วยเหลือของนางแน่นอน และจากนี้ไปชื่อเสียงและสถานะของเขาซางหมางก็จะยิ่งเลื่องลือและมั่นคงขึ้นกว่าเดิม ทว่านึกไม่ถึงเลยว่าม่อซิวเหยาจะดูถูกนางและอำนาจเบื้องหลังนางเยี่ยงนี้
ตงฟางโยวมองม่อซิวเหยาแล้วหันไปมองเยี่ยหลี ในใจก็พลันกระจ่างแจ้ง นางหันไปมองสวีชิงเฉิน ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อติ้งอ๋องมิอาจยอมรับวิธีของข้าได้ เช่นนั้นก็สามารถปรับเปลี่ยนวิธีใหม่ได้” ม่อซิวเหยาสีหน้าเรียบเฉยไม่ไหวติง ได้ยินเสียงตงฟางโยวเอ่ยกังวานขึ้นว่า “ในเมื่อติ้งอ๋องไม่ยอมแต่งข้าเข้าตำหนักเพราะเกรงจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างติ้งอ๋องกับพระชายา เช่นนั้นข้าแต่งเข้าตระกูลสวีก็ได้เช่นกัน”
สามคนที่เหลือต่างตะลึงงัน สายตาของม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีต่างมองไปยังสวีชิงเฉินโดยพร้อมเพรียง ตระกูลสวียามนี้มีเพียงสวีชิงเฉินกับสวีชิงเหยียนที่ยังมิได้หมั้นหมายกับผู้ใด ตงฟางโยวนางนี้คงไม่แต่งให้สวีชิงเหยียนที่ยังไม่เคยพบหน้าเป็นแน่ ดังนั้นจึงเหลือเพียงคุณชายสวีชิงเฉินเท่านั้น แววตาม่อซิวเหยาพลันเป็นประกายด้วยความสนุก สายตาที่มองคุณชายชิงเฉินราวกับกำลังมองเนื้ออวบอ้วนในจาน หากเปลี่ยนเป็นคุณชายชิงเฉินที่สามารถรับความช่วยเหลือจากเขาซางหมางได้ล่ะก็ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เห็นได้ชัดว่าคุ้มค่ายิ่งนัก แน่นอนว่าแม่นางตงฟางผู้นี้คงได้แต่อยู่บ้านเลี้ยงลูกปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่สามีอย่างว่านอนสอนง่าย เรื่องอื่นั้นไม่ต้องคิดถึงเลย
“หยุดคิดไปได้เลย” สวีชิงเฉินปฏิเสธความคิดของม่อซิวเหยาอย่างไร้ความเกรงใจ
ม่อซิวเหยาก็ตามใจ เขารู้สึกว่าอำนาจของเขาซางหมางมิได้สำคัญเพียงนั้น มีก็ดี ไม่มีก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากได้รับความช่วยเหลือจากเขาซางหมางจริงๆ เขาก็ยังต้องหาทางตอบแทน กันเอาไว้เผื่อร้อยปีจากนี้จะมีสตรีน่ารำคาญที่เป็นตัวแทนสวรรค์มาเลือกจักรพรรดิอีก เขาผายมือออกพลางเอ่ยว่า “เอาเถิด เรื่องนี้…ให้คุณชายชิงเฉินเป็นคนจัดการก็แล้วกัน ข้าจะไม่ถามให้มากความแล้ว อาหลี เราไปกันเถิด ที่ห้องหนังสือยังมีเรื่องให้ต้องสะสาง…”
เยี่ยหลีมองสวีชิงเฉินด้วยความลังเล ม่อซิวเหยาดึงนางเดินออกไปด้านนอกพลางเอ่ยปลอบว่า “วางใจเถิด หากเรื่องแค่นี้คุณชายชิงเฉินยังจัดการมิได้ เช่นนั้นก็เสียชื่อคุณชายอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าแล้ว พี่ชิงเฉิน ลำบากท่านแล้ว” เห็นม่อซิวเหยาจูงเยี่ยหลีเดินออกจากประตูไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย สวีชิงเฉินก็แทบอยากจะเอาตำราในห้องหนังสือมาตบหน้าตัวเองให้หมด เขาลำบากทำงานหลังขดหลังแข็งให้ตำหนักติ้งอ๋อง แต่ม่อซิวเหยากลับไม่นึกซาบซึ้งใจแม้แต่น้อย แต่นั่นก็แล้วไปเถิด นี่ยังจะมาเพิ่มความยุ่งยากใจให้เขาไม่หยุดไม่หย่อนอีก
“คุณชายชิงเฉิน” ตงฟางโยวเอ่ยเรียกเสียงเบา
“แม่นางตงฟาง” สวีชิงเฉินเอ่ยขัดนางไว้ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ตำหนักติ้งอ๋องไม่ต้องการความช่วยเหลือจากแม่นางตงฟาง” ที่สำคัญที่สุดคือ ตระกูลสวีไม่ต้องการสะใภ้อย่างตงฟางโยว ตงฟางโยวเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ติ้งอ๋องมิได้กล่าวเช่นนี้เสียหน่อย คุณชายชิงเฉินตัดสินใจเองเช่นนี้ไม่เห็นแก่ตัวเกินไปหรือ”
สวีชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อ เรียกองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกให้เข้ามา “ส่งแม่นางตงฟางออกไป และไม่อนุญาตให้ผู้ใดปล่อยนางเข้ามาอีก”
“ข้าไม่ยอมแพ้หรอก!” ตงฟางโยวตอบอย่างแน่วแน่
สวีชิงเฉินสีหน้าไม่เปลี่ยน “พาตัวออกไป”
หลังจากส่งตงฟางโยวออกไปแล้ว สวีชิงเฉินจึงเดินไปยังห้องหนังสือด้วยสีหน้าบึ้งตึง ภายในห้องหนังสือ ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีนั่งอิงแอบกันด้วยบรรยากาศอันอบอุ่นและใกล้ชิดสนิทสนม ทำเอาเขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นส่วนเกินไป เยี่ยหลีที่เห็นเขาเข้ามาก็ยืนขึ้นพลางยิ้มบางเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ส่งตงฟางโยวกลับไปแล้วหรือ” สวีชิงเฉินพยักหน้า กวาดสายตาทิ่มแทงไปยังม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาไร้ซึ่งความละอายโดยสิ้นเชิง เขายิ้มแย้มเอ่ยว่า “นี่คุณชายชิงเฉินทำอันใดลงไปหรือ ประโยคนั้นมิใช่ข้าที่เป็นคนเอ่ยขึ้นเสียหน่อย เป็นแม่นางตงฟางผู้นั้นที่ถูกใจเจ้าเองมิใช่หรือ”
สวีชิงเฉินยิ้มบางเอ่ยว่า “สตรีเยี่ยงนั้น กระทั่งติ้งอ๋องนางยังไม่แล แล้วนางจะไปถูกใจผู้ใดได้” แม้จะเป็นการสนทนากันเพียงประโยคสั้นๆ แต่สวีชิงเฉินกลับมองออกอย่างทะลุประโปร่ง ตงฟางโยวสตรีนางนี้ไม่รู้ว่าชาวเขาซางหมางเลี้ยงดูกันมาอย่างไร ความคิดและมุมมองไร้ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าความรักความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ดังนั้นนางจะไม่มีทางเข้าไปแทรกระหว่างม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีจริงๆ แน่นอนว่านางเสนอความคิดในการแต่งให้สวีชิงเฉินก็มิใช่เพราะนางถูกใจเขา แต่เป็นเพราะคิดว่าทำเช่นนี้สะดวกกว่า การแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องมาเป็นชายารอง หรือการแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของสวีชิงเฉิน ก็ล้วนสามารถแสดงความสามารถของตนเพื่อช่วยเหลือตำหนักต้งอ๋องให้ปกครองได้หล้าได้ทั้งสิ้น ว่ากันถึงแก่นแท้แล้ว ในใจนางมีเพียงความสำเร็จกับปณิธานสองอย่างนี้เท่านั้น แต่ปณิธานอันสูงส่งของนางนั้น ในสายตาของม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีแล้วช่างเหมือนภาพลวงตาที่ไร้ซึ่งตัวตน นอกจากอำนาจของเขาซางหมางที่อยู่เบื้องหลังนางแล้ว นางไม่มีอันใดทั้งสิ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการช่วยเหลือจักรพรรดิแห่งยุคเลย
สตรีที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศกว่าผู้อื่น เป็นประมุขแห่งวังหลัง และอยู่ด้านหลังองค์จักรพรรดินั้นไม่ได้จำเป็นต้องมีความฉลาดเพียงอย่างเดียว สตรีที่ฉลาดหลักแหลมในใต้หล้านี้มีมากมายเหลือคณานับ สตรีที่เป็นเลิศในด้านการดนตรี หมากรุก เขียนพู่กัน วาดภาพก็มีอยู่ไม่น้อย แต่สตรีที่สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่บุรุษได้อย่างเยี่ยหลีเช่นนี้กลับไม่มีผู้ใดอีก นอกจากตัวนางเอง ทว่าหากจะให้พูดตามจริง ดนตรี หมากรุก เขียนพู่กัน วาดภาพ โครงกลอนกาพย์กวี กระทั่งทำนายทายทัก ดาราศาสตร์ หรือการแพทย์ บางทีเยี่ยหลีก็อาจจะเทียบตงฟางโยวมิได้ แต่สิ่งที่ตงฟงโยวทำได้นั้นสตรีคนอื่นในโลกนี้ก็ทำได้เช่นกัน ส่วนสิ่งที่เยี่ยหลีสามารถทำได้ บนโลกนี้กลับมีสตรีน้อยนักที่จะทำได้ ดังนั้นเยี่ยหลีจึงเป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เป็นฮองเฮาองค์ก่อนๆ ที่มาจากเขาซางหมาง ก็มิเคยวางตัวเองไว้ในฐานะขุนนางที่ช่วยเหลือจักรพรรดิ คำเดียวคือ ตงฟางโยวประเมินตัวเองสูงเกินไป
ม่อซิวเหยายิ้มเอ่ยว่า “บางทีแม่นางตงฟางนั่นอาจจะชอบบุคลิกอย่างเทพเซียนเช่นนี้ของคุณชายชิงเฉินก็เป็นได้”
“ท่านอ๋อง ข้าเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าอยากจะออกเดินทางท่องเที่ยวสักระยะหนึ่ง เรื่องราวน้อยใหญ่ภายในตำหนักติ้งอ๋องรบกวนท่านอ๋องจัดการเองก็แล้วกัน” สวีชิงเฉินสีหน้าไม่สบอารมณ์พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ม่อซิวเหยาก็จำต้องยอมแพ้ อย่างไรเสียหากบีบคั้นให้คุณชายชิงเฉินจากไปจริงๆ เช่นนั้นคงเสียหายหนักแน่ เขากระแอมออกมาแล้วเอ่ยอย่างมีเหตุมีผลว่า “อย่างไรเสียตงฟางโยวก็ให้เจ้าจัดการไปแล้ว จะตบแต่ง หรือเอาไปต้มยำทำแกงอย่างไรก็ได้ไม่ต้องมาถามข้า พี่ชิงเฉินวางใจได้ ไม่ว่าพี่จะทำอย่างไรข้ากับอาหลีล้วนสนับสนุนแน่นอน” พูดจบก็ไม่ลืมตบบ่าสวีชิงเฉินเป็นเชิงบอกว่าสนับสนุนเขา
สวีชิงเฉินยกมือขึ้นปัดมือเขาอย่างรังเกียจ เคยเห็นผู้ใดไร้ยางอายได้เท่านี้หรือไม่ คุณชายชิงเฉินรู้สึกได้ว่าสามีของน้องสาวเขาคนนี้เป็นคนที่ไม่น่าเชื่อที่สุดในชั่วชีวิตเขาแล้ว หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าจะมีวันนี้ ตอนนั้นไม่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมให้หลีเอ๋อร์ได้แต่งกับไอ้คนไร้ยางอายเช่นนี้แน่นอน
เยี่ยหลีเอามือกุมหน้าผากอย่างจนปัญญา เอ่ยถามขัดสงครามระหว่างทั้งคู่ขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ซิวเหยา สตรีจากเขาซางหมางผู้นั้นจะเอาอย่างไรกันดี” ถึงอย่างไรเยี่ยหลีมิใช่คนในยุคสมัยนี้โดยแท้จริง เรื่องโดยมากที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ นางก็จะไม่ได้ตั้งใจไปทำความเข้าใจ อย่างเช่นเขาซางหมางนี่ เยี่ยหลีไม่มีความเข้าใจพื้นฐานนักเลยจริงๆ
สวีชิงเฉินนั่งลง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ที่เขาซางหมางลึกลับเช่นนี้ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมากกับฮองเฮาสามนางที่มาจากเขาลูกนี้ อีกทั้งคนของราชวงศ์ในอดีตที่ออกจากเขามาหาประสบการณ์ก็ล้วนเป็นคนที่มีความฉลาดเป็นเลิศ แต่หากจะบอกว่าเก่งกาจขนาดสามารถกุมอำนาจในใต้หล้าให้เป็นของตนได้ทั้งหมดแล้ว…” คุณชายชิงเฉินแย้มยิ้มอย่างมีแผนการ ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีต่างรู้จักเขาเป็นอย่างดี ย่อมมองออกว่ามีการเหน็บแนมอยู่ในประโยคนี้ด้วย