ตอนที่ 388 นั่งสนทนาใต้ต้นไม้
เมื่อภิกษุชราและฮุ่ยถงเข้าไปในวัดต้าเหลียง ภิกษุเยาว์วัยที่มีมรรควิถีอยู่บ้างภายในวัดต้าเหลียงหลายรูปรีบปรากฏตัว แม้การตอบสนองของพวกเขาเชื่องช้าอยู่บ้าง ถึงขนาดไม่รู้ว่าเสียงธรรมทั่วทั้งวัดนี้มาจากที่ใด ทว่าก็ไปที่ตำหนักพระวิทยาราชโดยจิตใต้สำนึกแล้ว
เป็นดังคาด ไม่นานเท่าไหร่นักก็เห็นฮุ่ยถงตามหลังภิกษุชรารูปหนึ่งเดินมาอย่างช้าๆ พบที่มาของเสียงธรรมที่ดังก้องทั่ววัดแล้ว เป็นเสียงสวดมนต์จากปากภิกษุชรารูปนั้นนี่เอง
จากนั้นมีภิกษุผู้มีปัญญาเป็นเลิศและมีจิตใจผ่องใสจำนวนหนึ่งทยอยมาถึง ทั้งด้านหน้าตำหนักพระวิทยาราชเริ่มมีภิกษุรวมตัวกันไม่น้อย มีเพียงภิกษุที่เพิ่งบวชเรียนไม่กี่วันเท่านั้นที่งกๆ เงิ่นๆ
วัดต้าเหลียงยังคงเป็นวัดต้าเหลียง ผู้ศรัทธารอบข้างยังคงมาถึงไม่ขาดสาย กลับไม่มีใครมีปฏิกิริยาใดต่อสถานการณ์ภิกษุทั้งหลายรวมตัวกันเช่นนี้เป็นพิเศษ
จี้หยวนรั้งท้ายอยู่ไกลๆ ห่างออกไปยี่สิบถึงสามสิบก้าว มองผู้ศรัทธาโดยรอบจุดธูปสักการะและท่องบทสวด
แม้ว่าหลายครั้งผู้คนจะไม่สนใจสิ่งอื่นนอกเหนือจากความสนใจของตนเองก็ตาม แต่สถานการณ์ในตอนนี้มีความหมายพิเศษของการแยกตัวออกจากกันอยู่อย่างชัดเจน
องค์หญิงใหญ่และนางกำนัลตามจี้หยวนและฮุ่ยถงไปถึงนอกวัดตั้งแต่แรก พวกนางรู้สึกได้ว่าภิกษุชรารูปนี้น่าจะเป็นภิกษุระดับสูง ตอนนี้จึงตามหลังอยู่ไกลๆ เช่นกัน
กระนั้นทั้งสองคนกลับพบว่าผู้ศรัทธาโดยรอบยังคงเป็นเหมือนเดิม โดยเฉพาะตอนที่ไต้ซือฮุ่ยถงปรากฏตัว ไปจนถึงภิกษุระดับสูงมากมายของวัดต้าเหลียงทยอยกันปรากฏตัว นี่ออกจะแปลกๆ อยู่บ้างแล้ว
พวกนางไม่ได้เข้าไปใกล้กลุ่มภิกษุข้างหน้า ทว่าเข้าใกล้จี้หยวนอย่างระมัดระวัง
“ท่านคือท่านจี้กระมัง”
องค์หญิงใหญ่ถามด้วยมารยาท จี้หยวนหันกลับไปเห็นสตรีสองคนแล้วพยักหน้า
“ถูกต้อง เป็นข้าคนแซ่จี้”
“ท่านจี้ ท่านรู้สึกว่ารอบข้างแปลกไปหรือไม่ นี่ผิดปกติอยู่บ้างแล้ว ผู้ศรัทธาเหล่านี้…”
จี้หยวนมองรอบๆ ก่อนยิ้มกล่าว
“วัดต้าเหลียงเป็นวัดประจำอาณาจักรถิงเหลียงเสมอมา ด้วยฐานะขององค์หญิงใหญ่และนางกำนัลลู่ ย่อมรู้ว่าไต้ซือฮุ่ยถงมีพุทธธรรมแท้อยู่กับตัว ข้าคนแซ่จี้จะพูดตามตรงนะ พระเถระที่มาถึงในวันนี้มีพุทธธรรมถึงแก่น ผู้ศรัทธาเหล่านี้ไม่ได้ถูกครอบงำ ทว่าแยกตัวออกจากเหล่าภิกษุต่างหาก”
คิดแล้วจี้หยวนก็ใช้คำพูดที่คนทั่วไปเข้าใจอธิบายอีก
“ภิกษุระดับสูงทั้งหลายของวัดต้าเหลียงไม่ได้หายไปจากสายตาของทุกคนจริงๆ ทว่าถูกคนที่จิตใจไร้ธรรมหรือไม่เข้าใจพุทธศาสนามองข้ามไปโดยจิตใต้สำนึก ในการรับรู้ของพวกเขา ทั้งหูและตาล้วนเป็นปกติ ที่จริงพวกเขามาวัดหากไม่ใช่เพื่อสวดมนต์ก็เพื่อขอพร ข้าสักการะท่าน ท่านคุ้มครองข้า ย่อมมองไม่เห็นพุทธธรรมแท้ อืม ในบางความหมายเหมือนกับมีอะไรบังตานั่นแหละ”
นางกำลังพลันถามตามสัญชาตญาณ
“เช่นนั้นเหตุใดข้ากับองค์หญิงถึงมองเห็นเล่า จิตใจใฝ่ธรรมของพวกข้ามีมากกว่าคนส่วนมากหรือ”
“ฮ่าๆๆ…นั่นย่อมไม่ใช่ ข้าคนแซ่จี้บอกแล้วว่าไม่ใช่ว่าทุกคนมองไม่เห็นเหล่าภิกษุ แต่เพียงมองข้ามไป พวกเจ้าตั้งใจสังเกตไต้ซือฮุ่ยถงตั้งแต่แรกเริ่ม จะมองข้ามไปได้อย่างไรเล่า มองดูอยู่ตรงนี้เงียบๆ เถอะ นับว่าเป็นวาสนาของพวกเจ้าเลยทีเดียว”
พูดจบแล้วจี้หยวนก็ยืนอยู่ที่หน้าตำหนักใหญ่อย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรมากอีก
องค์หญิงใหญ่สบตากับนางกำนัล สุดท้ายเข้าไปใกล้จี้หยวนอีกสองก้าว แล้วยืนมองไปทางตำหนักใหญ่อยู่ข้างๆ อย่างนั้น
จี้หยวนค่อยๆ สงบจิตใจ ถึงขนาดได้ยินเสียงสดมนต์ดังขึ้นเลือนรางๆ ยิ่งตั้งใจฟังยิ่งได้ยินชัดเจน
“ไม้มีเชือกค้ำจะตั้งตรง โลหะเมื่อถูกลับจะคมกริบ สมแล้วที่เป็นผู้ฝึกปราณศาสนาพุทธระดับสูง เมื่อมาถึงแล้ว ภิกษุที่มีใจใฝ่ธรรมแท้จริงของวัดต้าเหลียงล้วนได้รับประโยชน์ ยิ่งมีใจใฝ่ธรรมมากยิ่งขึ้น”
จี้หยวนเอ่ยเสียงเรียบ กลับพบว่าภิกษุชราที่ท่องบทสวดที่หน้าตำหนักและคล้ายกับพระวิทยาราชรูปนั้นหันมามองเขาครั้งหนึ่ง
องค์หญิงใหญ่ที่เห็นภาพนี้เอ่ยเสียงเบากับนางกำนัลที่อยู่ข้างๆ
“ไต้ซือหูดีทีเดียว…”
ทว่าไม่นานนักทั้งสองก็ล้อเล่นไม่ออกแล้ว ถึงขนาดเบิกตากว้างยิ่งกว่าเดิม
เสียงธรรมวัดต้าเหลียงดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงเสียงฟ้าร้องของภิกษุชรารูปนั้น ยิ่งประสานด้วยเสียงสวดมนต์อย่างพร้อมเพรียงของภิกษุวัดต้าเหลียง
ทว่าภิกษุชราที่ยืนอยู่นอกตำหนักตลอดหยุดสวดมนต์แล้ว สองมือที่ประกบกันค่อยๆ ลดระดับลง ร่างกายไม่ขยับไหว ทว่ามีเงาร่างกึ่งโปร่งใสเดินออกมาจากร่างของเขา
เงาร่างนี้เหมือนกับภิกษุชราอย่างกับแกะ ทว่าออกจากร่างเพียงสองก้าวเท่านั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นสีทอง จากนั้นก้าวไปทางตำหนักใหญ่ทีละก้าว ร่างกายค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนสุดท้ายมีความสูงเท่ากับกรอบประตูตำหนักใหญ่ วินาทีที่ก้าวเข้าไปในนั้นก็มีความสูงเพิ่มขึ้นอีกช่วงหนึ่ง
เสียงสวดมนต์จากภิกษุวัดต้าเหลียงดังกังวานยิ่งขึ้น ต่างก็มองภาพเงาร่างพระพุทธรูปสีทองเดินท่ามกลางผู้ศรัทธาโดยไม่ถูกเนื้อต้องตัวใครด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ฝ่ายผู้ศรัทธาก็หลบเลี่ยงไปตามสัญชาตญาณเช่นกัน
จนกระทั่งเงาร่างสีทองยืนอยู่กลางตำหนักพระวิทยาราช ยืนเผชิญหน้ากับพระพุทธรูปตรงหน้า
“รูปกายพระพุทธเจ้า รูปกายข้า รูปร่างทอง รูปร่างแปลง สาธุ…”
เงาร่างสีทองสักการะพระพุทธรูปครั้งหนึ่งก่อนก้าวเท้าไปข้างหน้า สุดท้ายแทรกร่างเข้าไปในพระพุทธรูปองค์นั้น
ทันใดนั้นเองแรงปรารถนากำยานอบอวลและบทสวดถูกดูดซับ พร้อมกันนั้นพากันรวมเข้าสู่พระพุทธรูป ทำให้พระพุทธรูปที่เดิมทีห่อหุ้มด้วยทองส่องแสงทองเรืองรองออกมา
เหล่าภิกษุวัดต้าเหลียงโค้งกายไหว้ไปทางตำหนักใหญ่ ผู้ศรัทธาที่เดินกันขวักไขว่เหมือนกับรู้สึกถึงอะไรได้บ้างเช่นกัน ต่างก็ไหว้ตำหนักใหญ่โดยจิตใต้สำนึก แม้แต่องค์หญิงใหญ่และนางกำนัลก็ประกบฝ่ามือไหว้ด้วย
มีเพียงจี้หยวนยังคงยืนอยู่อย่างนั้น เขาไม่ใส่ใจอะไรเลยสักนิดอย่างแท้จริง ด้วยไม่กล้าไหว้ร่างทองตามใจชอบ ทำได้เพียงยืนอยู่อย่างสงบ
พลังพุทธและแรงปรารถนาที่เข้มข้นกระจายไปทั่วทั้งวัดต้าเหลียง แม้คนทั่วไปมองไม่เห็นสีสันแบบนี้ แต่ชั้นเมฆเหนือตำหนักพระวิทยาราชกลับถูกแต่งแต้มด้วยสีสันมากมาย
“ดูบนท้องฟ้าเร็ว เมฆหลากสี!”
“นี่ๆ พวกเจ้าดูสิ”
“จริงด้วย เกิดเมฆหลากสีที่วัดต้าเหลียงล่ะ!”
“ท่านแม่ๆๆๆ บนท้องฟ้ามีเมฆหลากสี”
“นี่เป็นอภินิหารพระวิทยาราชของวัดต้าเหลียงกระมัง!”
“พระพุทธรูปแสดงอภินิหาร!”
“ไหว้เร็วๆ ขอให้ข้าร่ำรวยตลอดทั้งปีด้วยเถอะ!”
“ขอให้ข้าได้แต่งกับภรรยาดีๆ สักคนด้วยเถอะ!”
…
หลังจากเหล่าผู้ศรัทธาพบเมฆหลากสี นอกจากความตื่นเต้นและซาบซึ้งแล้ว พวกเขายิ่งไหว้พระพุทธรูปในแต่ละตำหนักของวัดต้าเหลียงด้วยความกระตือรือร้นยิ่งขึ้น ด้วยรู้สึกว่าวันนี้ได้พบโชคดี ไหว้พระพุทธรูปแล้วจะต้องได้รับพรอย่างแน่นอน
เมื่อองค์หญิงใหญ่ไหว้เสร็จแล้วถึงพบว่าจี้หยวนยืนนิ่งดังเดิม
“ท่านไม่ไหว้หรือ”
“อืม ไม่สะดวกไหว้”
ส่วนเพราะอะไรไม่สะดวกไหว้ จี้หยวนไม่ได้อธิบายมาก องค์หญิงใหญ่ก็ไม่ถามมากเช่นกัน
ยากนักที่จะได้เห็นภาพงดงามเช่นนี้ ราชวงศ์อาณาจักรถิงเหลียงรู้เสมอว่าวัดต้าเหลียงมีพุทธธรรมแท้ วันนี้นับว่าได้เห็นด้วยตนเองแล้ว
รอจนครึ่งเค่อให้หลัง เสียงธรรมทั่ววัดค่อยๆ จางลง เมฆหลากสีบนท้องฟ้ากลับสู่สภาพปกติแล้วเช่นกัน
ภิกษุชรารูปนั้นเดินลงจากบันไดตำหนักพระวิทยาราชโดยมีเหล่าภิกษุรายล้อม เป็นสัญญาณว่าพระวิทยาราชแปลงกายครั้งนี้สัมฤทธิ์ผล หลังจากนี้วัดต้าเหลียงเป็นลานพุทธธรรมแล้ว
เจ้าอาวาสวัดต้าเหลียงเร่งฝีเท้าเดินไปหลายก้าว เดินถึงข้างกายฮุ่ยถงแล้วสบตากับอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปถึงตรงหน้าภิกษุชราและเอ่ยเชิญด้วยความตื่นเต้นอย่างชัดเจน
“หลวงพ่อ โปรดไปพักผ่อนที่ลานด้านในเถิด!”
“อืม ไม่รีบ!”
ภิกษุชรามีใบหน้าเมตตา ครั้นมองไปทางจี้หยวนแล้วค่อยสาวเท้าเดินไป
จี้หยวนเห็นภิกษุชรารูปนั้นมองมาทางตนเองอย่างชัดเจน จึงหันไปกล่าวกับองค์หญิงใหญ่และนางกำนัลว่า
“ทั้งสองท่านกลับไปก่อนเถอะ ไต้ซือฮุ่ยถงคงไม่ค่อยสะดวกพักหนึ่งเลย แม้ว่าการตามเกี้ยวเพื่อให้ได้คู่ครองไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่บวชเรียนแล้ว เหลือพื้นที่ว่างให้เขาบ้างเถอะ”
องค์หญิงใหญ่ไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นผู้สูงส่งอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเขาเป็นคนต้าเจิน เมื่อคิดได้ว่าบัณฑิตคนหนึ่งเดินทางมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ตอนนี้นางก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
แขกผู้มีเกียรติของวัดต้าเหลียงในวันนี้ต้องเป็นผู้สูงส่งศาสนาพุทธอย่างแน่นอน ล้วนเป็นผู้ที่เหมือนกับเทพเซียน นางเย่อหยิ่งกับฮุ่ยถงได้บ้าง ทว่ามีใจเคารพนบนอบต่อผู้สูงส่งเหล่านี้เช่นกัน
“ตกลง ท่านจี้จงจำไว้ว่าต้องช่วยข้าพูดกับไต้ซือฮุ่ยถงหน่อย บอกว่าหลังจากนี้หรูเยียนจะมาพบเขาอีก”
“ได้ ข้าจะบอกเขาให้”
หญิงสาวทั้งสองคนหนึ่งสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ส่วนอีกคนหนึ่งประสานมือคารวะครั้งหนึ่ง เมื่อมองภิกษุทั้งหลายทางนั้นแล้วถึงค่อยจากไปพร้อมกัน
ภิกษุชรารูปนั้นไม่มองสตรีสองคนที่จากไป เพียงเดินเข้ามาใกล้จี้หยวน สายตามองข้ามไปยังกระบี่เครือเขียวที่ลอยคว้างอยู่ข้างหลังจี้หยวน พูดจาด้วยท่าทีสำรวม
“ท่านไปพูดคุยกันที่ลานด้านหลังเป็นอย่างไร”
จี้หยวนกวาดสายตามองฮุ่ยถงและภิกษุระดับสูงหลายคน จากนั้นประสานมือคารวะอย่างจริงจัง
“ไต้ซือเขิญ!”
ภิกษุชราสวมจีวรสีเหลืองซีดและจี้หยวนในเสื้อสีขาวเดินอยู่ข้างหน้าด้วยกัน เจ้าอาวาสวัดต้าเหลียงรีบมองภิกษุด้านข้างทั้งซ้ายขวา ฮุ่ยถงรู้กัน เข้าไปใกล้แล้วพูดเสียงเบาว่า
“ท่านเจ้าอาวาส เขาคือสหายของข้า เป็นผู้สูงส่งมรรคเซียน”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
…
จี้หยวนและภิกษุชราไม่ได้ไปยังอุโบสถหลังงาม แต่เดินอยู่ในลานวัดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่อันเขียวชอุ่ม ก่อนจะมีภิกษุนำเบาะทรงกลมสองอันมาให้ทั้งสองนั่งลง
ภิกษุรูปอื่นส่วนใหญ่ถูกไล่ไปแล้ว มีเพียงเจ้าอาวาสวัดต้าเหลียง ฮุ่ยถง และภิกษุอาวุโสอายุสามรูปอยู่ด้วย ทว่าทำได้เพียงยืนอยู่อย่างนั้น
“อาตมามาวัดต้าเหลียงครั้งนี้เพียงเพื่อแสดงพระพุทธรรูปร่างทองและเพื่อแปลงกาย กลับไม่คิดเลยว่าจะได้พบผู้สูงส่งมรรคเซียนอย่างท่าน เห็นทีวัดต้าเหลียงจะดียิ่งกว่าที่อาตมาคิดไว้!”
“หามิได้ๆ ข้าคนแซ่จี้มาวัดต้าเหลียงเพื่อนพบสหาย คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้เห็นพระวิทยาราชพุทธศาสนาแปลงกายกับตาตนเอง”
“ท่านเป็นคนที่ใด”
จี้หยวนแบมือ
“บ้านเกิดข้าอยู่ที่รัฐจีแห่งต้าเจิน ไม่ใช่คนอาณาจักรนี้หรอก”
ภิกษุชราตั้งใจมองจี้หยวน สบตาดวงตาสีเทาด้านข้างของจี้หยวนเข้าพอดี
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง อัจฉริยะในใต้หล้ากว้างใหญ่มีนับไม่ถ้วนจริงๆ! วันหลังหากท่านมาทวีปไอหมอกประจิม จะมาเป็นแขกที่ลานพุทธธรรมพระมหากัสสปะก็ได้”
“ไต้ซือเกรงใจแล้ว มีโอกาสข้าคนแซ่จี้ต้องไปอย่างแน่นอน จริงสิ พูดถึงเทวีปไอหมอกประจิม ข้าขอสอบถามไต้ซือเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าไต้ซือรู้จักถ้ำสวรรค์จิ้งจอกหยกหรือไม่”
ภิกษุชราเผยรอยยิ้ม
“รู้จัก ในนั้นมีปีศาจจิ้งจอกและเซียนปีศาจฝึกปราณอยู่ จิ้งจอกของถ้ำสวรรค์จิ้งจอกหยกบ้างมีทั้งความชั่วและความดี กระทำทั้งความถูกและความผิด และมีบ้างที่ใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง ท่านเซียนถามเช่นนี้เพราะเคยเจอมาก่อนหรือ”
จี้หยวนพยักหน้า
“อืม ก่อนหน้านี้มีจิ้งจอกตัวหนึ่งเคยคิดขโมยกระบี่เครือเขียวของข้าคนแซ่จี้ไป”
หึ่ง…
กระบี่เซียนสั่นไหวครั้งหนึ่ง ส่งเสียงออกมาด้วย
ภิกษุชราชะงักไปเล็กน้อย ไหนเลยจะมีจิ้งจอกที่ใจกล้าปานนั้น จากนั้นเขาดึงสติกลับมาในทันที น่าจะเป็นเพราะเพียงเห็นกระบี่เซียน แต่ไม่ได้มองผ่านเขตแดนฟ้าดินในกายที่จี้หยวนแทบจะจมอยู่ในนั้นตลอดเวลา