หาพนักงานครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะหาคนคอยบริการสามคน ยังได้รับคนทำขนมมาใหม่อีกสี่คน
ครั้งนี้เรียกได้ว่า แต่ละบ้านต่างมีคนเข้าไปทำงานในห้องอบขนมแล้ว
คนบริการสามคน
สะใภ้ใหญ่ของเกาถูฮู ภรรยาซ่งฝูกุ้ย สะใภ้เล็กของยายหวัง
พวกนางทั้งสามคนจะตามท่านย่าหม่ากับท่านยายเถียนไปกลับเมืองเฟิ่งเทียนทุกวัน
ไม่เพียงแต่พวกนางจะเรียนรู้การทำชานมจนเป็น
เอาแค่ชานมก็แบ่งเป็นชานมพุทราแดง ชานมขนมเค้ก ชานมถั่วแดง ชานมสุริยันจันทรา
ใช้น้ำหิมะต้มชา เมื่อใดที่หิมะตกหนักก็จะออกไปเก็บหิมะที่สะอาดที่สุด
น้ำแอปเปิ้ลผสมน้ำผึ้ง นมปั่นแอปเปิ้ล สลัดผลไม้
อีกทั้งในอนาคตพวกนางยังต้องทยอยเรียนทำแซนด์วิช แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า รวมถึงหลังจากที่ต้นพริกออกผล ก็จะทำไก่ป๊อบ นักเก็ต ปีกไก่ทอด น่องไก่ทอด ของกินเล่นอะไรพวกนี้ เอาพริกมาโรยด้านบน
ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อเหล้าข้าวของหนิวจั่งกุ้ยหมักได้ที่ พอเริ่มมีแขกผู้ชายเข้าร้าน ทั้งสามคนนี้อาจยุ่งยิ่งกว่าเดิม
ท่านยายเถียนก็ยังคงติดตามท่านย่าหม่า
ต่อไปนอกจากท่านยายเถียนจะส่งขนมแล้ว ครั้งนี้ยังต้องช่วยท่านย่าหม่าเติมน้ำ ทำความสะอาดร้านด้วย
เวลาที่ท่านย่าหม่านั่งที่โต๊ะเก็บเงิน จดบัญชี คิดเงิน ท่านยายเถียนจะมีหน้าที่ดูแลห้องน้ำ
ทุกครั้งหลังจากที่ลูกค้าเข้าใช้ นางจะต้องทำความสะอาด ขัดล้าง เช็ดทั้งนอกและในให้สะอาดสะอ้าน รวมถึงคอยเตรียมน้ำอุ่นสำหรับล้างมือไว้ที่เตาด้านหลังด้วย
พอลูกค้ามาก็ต้องใช้สองมือประคองกาน้ำชา ให้สาวใช้หรือบ่าวรับใช้ชายที่ติดตามมา
ช่วงไม่กี่วันมานี้ตรงบริเวณริมเขามักจะได้ยินเสียงดัง ท่านย่าหม่าพาทุกคนไปฝึกคุมเกวียน “ไป!”
พวกนางผลัดกันฝึก นี่เป็นเรื่องที่พวกนางต้องเรียน
ไม่เชื่อหรอกว่าผู้ชายทำเป็นแล้วผู้หญิงจะทำไม่ได้
ที่กล่าวมานี้เป็นกลุ่มที่ต้องไปเมืองเฟิ่งเทียน
ภายในห้องอบขนม ขณะเดียวกันก็ได้ต้อนรับคนทำขนมใหม่อีกสี่คน
พวกเขาผ่านการคัดเลือกจากท่านย่าหม่า คนทำขนมจำเป็นต้องเป็นพวกลูกสะใภ้ ห้ามหาผู้หญิงที่อีกหน่อยต้องออกเรือนไป ครั้งนี้มีตัวแทนจากทุกบ้านแล้ว
คนทำขนมทั้งสี่ทำความเคารพท่านย่าหม่าอย่างตั้งใจ ยกน้ำชาให้
หลังจากดื่มชาเสร็จ ต้ายากับเอ้อร์ยาก็รับลูกศิษย์ เถาฮวามีลูกศิษย์ หลี่ซิ่วมีลูกศิษย์ พอเข้ามาในห้องทำขนมก็ต้องเรียกว่าอาจารย์ เช่นนี้เรียกธรรมเนียมปฏิบัติ
กลับเป็นป้าสะใภ้ใหญ่กับป้าซ่งอิ๋นเฟิ่งที่อายุค่อนข้างมาก รู้สึกเหนียมอายพลางคิดในใจ เทียบกับพวกสาวๆ พวกนางไม่ยอมคงไม่ไหว พวกนางเรียนรู้ช้า อย่าว่าแต่ให้สอนคนอื่นเลย ขนาดตัวเองยังไม่เข้าใจทั้งหมด
ซ่งฝูหลิงแจกชุดทำงานให้คนทำขนมที่มาใหม่ทั้งสี่ ผ้าโพกหัวสีน้ำเงินลายดอกไม้
เป็นอันจบขั้นตอน
ห้องทำขนมเล็กๆ จากตอนแรกสุดมีเพียงท่านย่าหม่ากับซ่งฝูหลิง สองย่าหลานที่ปีนกำแพงบ้านคนอื่นขอซื้ออิฐ เข็นขนมเค้กไปขายโรงเตี๊ยม โรงน้ำชา นั่งขายขนมอยู่นอกหอนางโลม จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ที่นอกจากพวกนางสองคนแล้ว ยังมีพนักงานอย่างเป็นทางการอีกยี่สิบคน
คิดว่ายี่สิบคนนี้ถือว่ามีหน้าที่แน่นอนแล้ว ส่วนพนักงานชั่วคราวยังมีอีกหลายคน
ยกตัวอย่างเช่น คราวนี้ป้าสะใภ้ใหญ่ของซ่งฝูเซิงได้เสนอให้ลูกสาวของตัวเองมาทำงานที่ห้องอบขนม แต่ท่านย่าหม่าไม่พอใจ
ทว่า ท่านย่าหม่าไม่ใช่ท่านย่าหม่าคนก่อนอีกต่อไปแล้ว ไม่มีทางชี้หน้าด่าคนอื่นว่าลูกสาวของเจ้าไม่ดี อะไรทำนองนี้
นางคิดแล้วถึงได้แนะนำ “เย็บถุงใส่ให้พวกเราก็แล้วกัน”
ถุงกระดาษสำหรับใส่ของทั้งเล็กใหญ่ ต่างใช้เชือกป่านทำเป็นหูหิ้ว
อย่าดูถูกถุงแบบนี้ ไม่เพียงแต่บนนั้นจะปั๊มคำว่า ‘ย่าหม่า’ ยังต้องติดหน้ายิ้มสีเหลืองอีกด้วย
รวมถึงก้นกล่องขนมเค้กชิ้นเล็ก บรรจุภัณฑ์ของขนมเค้กก้อนใหญ่ที่ใช้ริบบิ้นหลากสีมาเย็บ และของประดับตกแต่งกระจุกกระจิก
เช่นนี้แล้วเหล่าสตรีที่อยู่บ้านแต่ไม่ได้ถูกรับเข้าไปทำขนม ก็จะสามารถหารายได้เสริมให้กับครอบครัวโดยใช้เวลาว่างตอนกลางคืนได้อีกหน่อย ทำเสร็จหนึ่งอันก็ได้หนึ่งเหวิน สองเหวิน ทั้งยังไม่เบียดเบียนงานช่วงกลางวัน
ท่านย่าหม่าเองก็พูดกับสะใภ้คนรองของนาง “ถ้าเจ้าอยากทำก็ไปทำ เจ้าเองก็ไม่ต้องแอบด่าข้าในใจว่าลำเอียง ทำไมเจ้าไม่ลองคิดดูว่า บ้านใหญ่มีแค่สะใภ้ใหญ่ไปทำขนม ส่วนบ้านเจ้า ลูกสาวสองคนได้ไปทำหมด คนที่ควรด่าข้าว่าลำเอียงคือสะใภ้ใหญ่ เจ้าอย่ามาไม่รู้จักพอ”
พูดเสียจนจูซื่อต้องยืดคอขอสาบาน “ข้าถูกปรักปรำนะท่านแม่ ข้าไม่เคยด่าท่านแม่ว่าลำเอียง จริงๆ นะ ถ้าไม่เชื่อข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร”
ท่านย่าหม่าคิดในใจ เจ้าควรทำอย่างไรงั้นรึ แม้แต่คำสาบานให้กลายเป็นหมูเป็นหมายังกล้าพูด ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว
สรุปว่าคนทำงานแบบไม่ประจำยังมีอีกมาก
ใช้คำพูดของลุงซ่งก็คือ “พวกเราไม่ขาดอะไรทั้งนั้น ขาดก็แค่คน”
นอกจากนี้ ทางด้านลู่จือหว่านก็ให้คนมาด้วย
“เป่าจูคารวะแม่นางซ่ง”
เด็กสาววัยสิบสามเหมือนกัน แต่เป่าจูกลับไม่สุขุมเท่าซ่งฝูหลิง
ถูกต้อง หากซ่งฝูหลิงไม่พูด จะดูเหมือนคนนุ่มนวล ตาโตสุกใสมีชีวิตชีวาก็อ่อนโยนดุจสายน้ำ อีกทั้งนางยังดูใสซื่อ ดูสุขุมเยือกเย็น
เป่าจูตัวไม่สูง โครงเล็ก แต่กลับดูอวบ ใบหน้าจ้ำม่ำเหมือนเด็กแรกเกิด ยิ้มทีหน้าแดงเหมือนลูกแอปเปิ้ล ดวงตาโค้งมนเหมือนจันทร์เสี้ยว แค่เห็นก็รู้สึกว่าร่าเริงสดใส
“ซื่อจ้วง เจ้าทำอะไร ยืนขวางข้าทำไม”
ทันใดนั้นเสียงตะโกนของซ่งฝูกุ้ยก็หยุดลง นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาที่บ้าน คุณหนูสามสกุลลู่ส่งคนมาอีกแล้ว
แต่ว่าซื่อจ้วง ข้าลากก้อนหินมาเต็มแคร่ เจ้าอย่าขวางทางเข้าสิ
ซื่อจ้วงรีบลากแคร่เข้าไปข้างในอย่างลุกลี้ลุกลน
ภายในบ้าน ซ่งฝูหลิงได้ฟังสะใภ้เล็กสกุลสวี่แนะนำเป่าจูแล้ว นางถาม “เจ้ารู้หนังสือหรือไม่”
“เรียนแม่นางซ่ง พอรู้บ้างเจ้าค่ะ”
ซ่งฝูหลิงดีใจ พวกนางไม่ขาดคนทำงาน ขาดแค่คนรู้หนังสือ แล้วจะให้เป่าจูไปทำความสะอาดได้อย่างไร
เย็นวันนั้นหมี่โซ่วเอาสองมือเท้าคาง มองพี่สาวที่ตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสือตรงตะเกียง
“ท่านพี่เขียนเรื่องอะไรอยู่เหรอ”
เขียนอะไรน่ะเหรอ
ซ่งฝูหลิงกัดหัวพู่กัน แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องชิงรักหักสวาท หลงเมียน้อย ทอดทิ้งเมียหลวงที่ไม่ได้อิงจากเรื่องของใคร
ถ้าไม่ได้ก็จะเขียนไปทางยุคผมเปียหางหนูสมัยราชวงศ์ชิง
ต้องทำให้เมียหลวงที่ถูกเมียน้อยวางแผนสารพัดอย่างวางยา ใส่ร้ายป้ายสี ทำให้ตกอยู่ในอันตราย แต่จนในที่สุดก็คลอดลูกออกมาได้ อีกทั้งเมียน้อยยังทำร้ายลูกของเมียหลวง ผลักตกแม่น้ำ เล่นตุกติกกับม้าอะไรทำนองนั้น
รวมถึงในบ้านก็วุ่นวายไม่พอ สามียังไม่ลืมรักครั้งเก่า นั่นก็คือภรรยาของน้องชาย ชอบมาตั้งแต่ก่อนแต่งงาน หลังแต่งงานไม่เพียงแต่จะรับอนุเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ยังมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับน้องสะใภ้อีกด้วย
สรุปว่าจะเอาพวกละครกับนิยายที่นางอ่านตอนยุคปัจจุบันมายำรวมกัน ไม่ต้องสนว่าเป็นเรื่องละครวังหลวงหรือหรือละครชาวบ้านตบตี น้ำเน่าขนาดไหนก็เขียนไป เอาให้คนฟังจบแล้วต้องโกรธแค้นกัดฟัน เขียนต่อไปอย่าหยุด
จะให้ดีสุดต้องถึงขั้นที่บรรดาคนฟังโมโหจนควันออกหู แต่ละคนฟังจบต้องแอบด่าว่าแต่งผิดคน สามีเป็นคนไม่ได้เรื่อง นางเอกก็ซื่อบื้อ นางหยุดเล็กน้อย หมุนพู่กัน ให้นางเอกกลับมาเกิดใหม่ กลับมาเกิดตอนที่ ‘พ่อแม่ตกลงกับแม่สื่อ’
แน่นอนว่าในที่นี้จะพูดว่ากลับชาติมาเกิดไม่ได้ ก็เขียนเป็นได้เกิดใหม่ แต่ยังมีความทรงจำอยู่
จากนั้นก็เริ่มต้นตั้งแต่ตรงนี้ ล้างแค้น เอาให้สะใจ
“ฮ่าๆ” ซ่งฝูหลิงยังเขียนไปได้ไม่กี่ตัวก็หลุดขำเสียก่อน
ต่อไปนางจะเขียนเพิ่มสี่พันอักษรทุกวัน
ปกติถ้าเขียนนิยายจบหนึ่งเรื่องก็จะเขียนอักษรคล่องแล้ว
จากนั้นก็แต่งอีก ในหัวมีหลายเรื่องเต็มไปหมด
อันที่จริงเรื่องที่ยาวที่สุดก็คือเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงยุคปัจจุบัน
ไม่รู้จริงๆ ว่า ถ้าวันหนึ่งนางเขียนว่าผู้หญิงยุคปัจจุบันอยากไปไหนก็ได้ ไม่ต้องยืนปรนนิบัติแม่สามีกินข้าว ถึงขนาดที่แม่สามีบางคนยังต้องทำกับข้าวรอลูกสะใภ้ แม่สามีกล้าทำท่าทางไม่ดีใส่ ประเดี๋ยวภรรยาก็จะกล้าทุบโต๊ะตะโกนใส่สามี “ฉันจะไม่ทนแล้ว”
เวลาที่ผู้ชายทำความผิด พวกเขาก็จะตบปากตัวเอง พูดอย่างนอบน้อมว่าผิดไปแล้ว ผมจะไม่ทำอีกแล้ว
เมื่อวันนั้นมาถึง ผู้หญิงที่นี่จะรู้สึกเหมือนฟังเรื่องแฟนตาซีหรือเปล่า
…
สองวันก่อนเปิดร้าน
ลู่จือหว่านปรากฏตัวขึ้นที่ร้าน
เมื่อนางยิ้มหน้าบานออกจากร้านเข้าไปนั่งในรถม้า
ปี้เอ๋อก็ตะโกนบอกพวกพ่อบ้าน “ตกรางวัล”
วันต่อมาซ่งฝูหลิงก็มาที่เมืองเฟิ่งเทียน เตรียมความพร้อมสุดท้ายสำหรับเปิดร้าน