บทที่ 495 ข้าไม่สามารถคืนเด็ก ๆ ให้พวกเจ้าได้
อาอินมองดูพวกเขา ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เด็กทั้งสองคนลูบที่มือของอาเหริ่นคนละข้าง โดยไม่กลัวความเย็นแม้แต่น้อย
แม้พวกเขาจะไม่ได้พูดคำนั้นออกมา แต่การกระทำนั้นเท่ากับเป็นการยอมรับอาเหริ่นแล้ว
น่าเสียดายที่อาเหริ่นก็ยังคงนอนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
“ท่านย่าอูหลาง อาเหริ่นสลบไปในวันที่ซือถูเซิงจากไปอย่างนั้นหรือ? เขาจะถูกพิษหรือหนอนกู่หรือไม่?” ไป๋จิ่นเอ่ยถาม
เห็นได้ชัดว่าท่านย่าอูหลางรู้จักสองสิ่งที่พูดมา เมื่อได้ยินดังนั้นก็เพียงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็เคยคิดเช่นนั้น เพราะไม่ว่าจะปลุกเขาอย่างไร เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตามหลักแล้วต่อให้เขาต้องตายก็ไม่มีทางปล่อยเซิงเซิงไปอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ลูกก็ไม่อยู่ข้างกายของเขา เขาไม่มีทางวางใจแน่ เพราะนั่นไม่ใช่นิสัยของอาเหริ่น
ตอนนั้นวุ่นวายอย่างมาก หลังจากที่ซือถูรุ่ยนำกองทัพจากไปแล้ว พวกเราก็กลัวว่าซือถูรุ่ยจะเปลี่ยนใจและย้อนกลับมาอีก ดังนั้นจึงรีบให้หมาป่าหิมะนำทางพาคนทั้งเผ่าออกจากที่นั่นทันที ส่วนเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด แต่ก็ยังคลานไปบนหิมะเพื่อไปพั่นโจว พวกเรากลัวว่าเขาจะทำอะไรโง่ ๆ และทำให้ความเสียสละของเซิงเซิงสูญเปล่า ดังนั้นจึงจับตัวอาเหริ่นมามัดเอาไว้แล้วพาตัวไป
แต่เมื่อพวกเราเจอที่พักแล้วและมาดูเขาอีกครั้ง ก็พบว่าเขาสลบไปแล้ว จากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็นในทุกวันนี้”
เผ่าหมาป่าไม่มีทางละทิ้งคนในเผ่าของตนเองไปง่าย ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงหวังว่าจะได้เห็นอาเหริ่นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ไป๋จิ่นกับเยว่พั่วหลัวยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาอาจจะโดนพิษหรือกู่เข้า
เพียงแต่เมื่อครู่พวกเขาเสนอว่าอยากจะตรวจดู ทว่าอูหลางกลับไม่เห็นด้วย ตอนนี้จึงต้องปล่อยไปก่อนและไม่พูดถึงอีก เพราะอีกเดี๋ยวค่อยอาศัยตอนที่ไม่มีคนสนใจแอบเข้ามาอีกที
อูหลางพูดต่ออีกสักพัก จึงได้เอ่ยเรื่องสำคัญกับเผยยวน “ในเมื่อเด็กทั้งสองคนกลับคืนสู่เผ่าของเราแล้ว ข้าก็ขอขอบคุณเจ้าแทนอาเหริ่นด้วย”
เผยยวนจึงเอ่ยขึ้นมา “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของข้า แต่หลายปีมานี้ข้าเป็นคนเลี้ยงพวกเขามาเองกับมือ พวกเขาก็คือลูกของข้า และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
อูหลางจึงเอ่ยเสียงเข้ม “เผ่าหมาป่าก็ย่อมต้องใช้ชีวิตอยู่ในเผ่า”
เผยยวนรู้อยู่แล้วว่าคงไม่ง่ายเช่นนั้น ทุกคนต่างก็มองหน้ากัน ก่อนที่จี้จือฮวนจะเป็นคนเอ่ยขึ้นมา “ไม่มีทาง”
นางลุกขึ้นยืน อูหลางหรี่ตาลง “เจ้าคือ?”
“ข้าคือแม่ของเด็ก ๆ ข้าชื่อจี้จือฮวน ข้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธพวกท่านแทนเด็กทั้งสองคน”
“เจ้าไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของพวกเขา”
“แต่สามีของข้าเป็นคนมอบชีวิตให้พวกเขาอีกครั้ง และสามีของข้าก็เป็นคนที่เลี้ยงดูพวกเขามา การที่พวกเขายังมีชีวิตและมายืนอยู่ตรงนี้ ก็เป็นผลจากความพยายามของข้าและสามี ไม่ต้องพูดถึงว่าพ่อผู้ให้กำเนิดของพวกเขายังคงหมดสติไม่ฟื้น ไม่สามารถดูแลเด็กทั้งสองคนได้ แค่พูดถึงสภาพแวดล้อมของพวกท่านก็ไม่เหมาะกับพวกเขาแล้ว”
ต่อให้อาเหริ่นมีสติ จี้จือฮวนก็ไม่มีทางทิ้งลูกไว้ที่นี่แน่
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจแทนพวกเขา?”
“หากว่าข้าไม่มีคุณสมบัติ เช่นนั้นบนโลกนี้ก็คงไม่มีใครกล้าพูดประโยคนี้แล้ว” จี้จือฮวนเอ่ยจบ เด็กทั้งสองคนก็กลับมาอยู่ข้างกายของนางทันที
จี้จือฮวนปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “ที่ข้าพาพวกเขามา เพราะต้องการให้พวกเขาได้พบพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง หากโตกว่านี้อีกหน่อยค่อยมาพักกับพวกท่านระยะสั้น ๆ หรือกลับมาอยู่ด้วยก็ได้ แต่มีเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องเรียนหนังสือ ออกไปเผชิญโลกที่กว้างใหญ่ด้านนอก ไม่ใช่อยู่ที่นี่ไปวัน ๆ รู้จักแค่การล่าสัตว์ และอยู่กับหมาป่าหิมะเช่นนี้”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้ไปกระตุ้นความโมโหของอูหลางเข้า “เจ้าพาเด็กทั้งสองคนกลับไปไม่ได้! เทพหมาป่าไม่มีทางอนุญาตแน่”
“นั่นเป็นเทพหมาป่าของท่าน ไม่ใช่ของข้า” จี้จือฮวนเอ่ยจบ อูหลางก็โมโหจนตัวสั่น
“นี่เจ้ากำลังประกาศสงครามกับเผ่าหมาป่าของเราอย่างนั้นหรือ?!”
“ข้าแค่ทำหน้าที่แม่เท่านั้น! จะให้ข้าทิ้งลูกของตัวเองให้ใช้ชีวิตในเผ่าที่ไม่รู้จักอย่างนั้นหรือ นั่นต่างหากที่เรียกว่าขาดความรับผิดชอบต่อพวกเขา หากพวกท่านไม่ต้อนรับพวกเรา พวกเราก็จะกลับ พวกท่านจะลองดูก็ได้ว่า แม้ทุกคนในเผ่าร่วมมือกันยังจะสามารถรั้งพวกเราเอาไว้ได้หรือไม่ ข้าเองก็จะทำให้พวกท่านได้รู้ว่า หากพรากลูกไปจากแม่คนหนึ่ง นางจะทำอะไรได้บ้าง!”
จี้จือฮวนไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
ไป๋จิ่นกับพวกเยว่พั่วหลัวย่อมอยู่ข้างจี้จือฮวนอยู่แล้ว สถานที่ผีสางเช่นนี้อยู่แค่ครู่เดียวก็หนาวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว เด็กทั้งสองคนก็ไม่ได้เติบโตจากที่นี่ จะทนได้อย่างไรกัน? ยิ่งไปกว่านั้นพ่อผู้ให้กำเนิดก็ยังนอนนิ่งขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย แม่แท้ ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นตายอย่างไรก็ยังไม่รู้ แค่เผ่าหมาป่าบอกให้อยู่ก็ต้องอยู่อย่างนั้นหรือ? พวกเขาจะวางใจได้อย่างไรกัน?
เผยยวนเป็นคนกลัวเมียอยู่แล้ว เมื่อจี้จือฮวนแสดงออกเช่นนี้ เขาย่อมสนับสนุนนางโดยไม่มีเงื่อนไข
อูหลางที่เผชิญหน้ากับการที่พวกเขาตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างกะทันหัน ก็ปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง จากนั้นก็ได้พูดขึ้นมา “ข้าเข้าใจได้ พวกเจ้าเป็นแขกคนสำคัญของเผ่าเรา เรื่องของเด็ก ๆ อีกเดี๋ยวค่อยว่ากันเถอะ”
จี้จือฮวนกับเผยยวนจับมือเด็ก ๆ เอาไว้แน่น คิดว่าพวกเขาคงไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ เป็นแน่
อูหลางก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่จะให้เด็ก ๆ อยู่ต่ออีก เพียงแค่ให้คนไปเตรียมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อต้อนรับแขก ทุกครอบครัวล้วนนำเนื้อที่เก็บไว้ออกมา สำหรับเผ่าหมาป่าแล้ว นี่เป็นการให้เกียรติที่สูงที่สุดแล้ว
มีไป๋จิ่นอยู่จึงไม่มีใครกังวลว่าจะถูกวางยาพิษในอาหารและเครื่องดื่ม แต่พวกเขากำลังคิดหาวิธีการอื่นกันอยู่ เพื่อจะไปดูว่าร่างกายของอาเหริ่นมีอะไรผิดปกติกันแน่
คนในเผ่าต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่นมากจริง ๆ รอบกองไฟทุกคนต่างกินเนื้อย่างและดื่มนมหมาป่าร่วมกัน ส่วนไป๋จิ่นกับเยว่พั่วหลัวนั้นกำลังหาโอกาสเข้าไปดูอาการของอาเหริ่นอยู่
น่าเสียดายที่ขออนุญาตอูหลางแล้ว นางกลับไม่เห็นด้วย
ไป๋จิ่นรู้สึกท้อแท้ยิ่งนัก “ยายแก่นั่นเหตุใดถึงได้ดื้อรั้นเพียงนี้กัน พวกเราย่อมไม่มีทางทำร้ายอาเหริ่นอะไรนั่นอยู่แล้ว”
เยว่พั่วหลัวส่งเสียงชิชะออกมา “นางไม่ไว้ใจพวกเราอย่างไรเล่า”
ไป๋จิ่นเริ่มกลัดกลุ้ม ไม่ให้ดูแล้วจะรู้ได้อย่างไร
อาชิงดื่มนมหมาป่าไปสองอึก จากนั้นก็เลียริมฝีปากแล้วดึงไป๋จิ่นมา ก่อนจะพูดว่า “อาจารย์ ข้าไปดูให้ดีหรือไม่ขอรับ?”
ไป๋จิ่นขมวดคิ้ว “เจ้าไหวหรือ? อย่าทำอะไรส่งเดชนะ”
อาชิงตบหน้าอกตัวเอง “อาชิงน้อยทำได้! ข้าเป็นศิษย์เอกของท่านนะขอรับ”
ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีอื่นแล้ว
หากไม่ขโมยตัวอาเหริ่นมา จนถูกเผ่าหมาป่าตามฆ่า ก็แค่สู้ตายกับพวกเขา และพาตัวพวกเด็ก ๆ ไป
ไป๋จิ่นจึงดึงอาชิงเข้ามาใกล้ ๆ แล้วเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “เจ้าต้องไปดูเฉย ๆ เท่านั้นนะ อย่ากรีดเลือดใส่ปากเขาหรือทำยาอะไรทั้งนั้น หากดื่มไปแล้วเกิดปัญหาขึ้นมา เจ้าก็จะไม่มีพ่อแท้ ๆ อีก”
“อาชิงรู้ว่าอะไรควรไม่ควรขอรับ!”
เขาเอ่ยจบ ขาทั้งสองข้างก็วิ่งเข้าไปในบ้านน้ำแข็งท่ามกลางสายตาของทุกคน
ไม่มีใครห้ามเขา เพราะในความคิดของเผ่าหมาป่า นั่นก็คือเด็กในเผ่าของพวกเขา และพวกจี้จือฮวนแค่ต้องคืนเด็กให้พวกเขาเท่านั้น พรุ่งนี้พวกเขาก็จะจากไป
อาชิงรีบวิ่งไปที่เตียงน้ำแข็งของอาเหริ่น ทันทีที่เขาขึ้นไปก็ตัวสั่นเทาเพราะความหนาวเย็น จากนั้นก็ล้มตัวนอนลงไปบนหน้าอกของอาเหริ่น
และทำจมูกฟุดฟิด ๆ จากนั้นก็เปิดปากของอาเหริ่นออก โยนกู่ค้นหาที่เยว่พั่วหลัวยัดให้เขาเมื่อครู่เข้าไปและรออย่างอดทน หากกู่ค้นหาไม่พบหนอนกู่ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้ถูกกู่ทำร้าย
จากนั้นอาชิงก็เริ่มปลดสายคาดเอวของอาเหริ่น และเปิดเสื้อของเขาออก สังเกตผิวหนังทั่วร่างกายของเขา ตอนไม่เปิดออกยังไม่เท่าไร แต่ทันทีที่เปิดออกก็พบว่า ตรงตำแหน่งหัวใจของเขามีรอยเลือดคั่งสีดำอยู่
เช่นนี้หากไม่ถูกพิษก็คงบาดเจ็บสาหัส แต่บาดเจ็บหนักเพียงนี้กลับยังไม่ตายอีกอย่างนั้นหรือ?
.
.
.
………………………………………………..