เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 257

ตอนที่ 257

ตอนที่ 257

เด็กรับใช้ที่กำลังเหม่อรู้ตัวว่าตนเสียอาการ แต่เขากลับเลี่ยงสายตาจากเด็กสาวที่นั่งหน้าเครื่องชาคนนั้นไม่ได้

สวีชิงเยี่ยนขมวดคิ้ว รีบหยิบหมวกขึ้นมาปิดใบหน้าไว้อีกครั้ง

จนถึงตอนนี้ เด็กรับใช้ถึงเพิ่งได้สติกลับมา ปากพูดขอโทษไม่หยุด ก่อนก้มหน้าลงเก็บเศษถ้วยน้ำชาบนพื้น ต่อให้ถูกเศษถ้วยน้ำชาบาดก็ยังไม่รู้สึก

รายนามน้ำชาที่วางอยู่ใต้แก้วน้ำชาเปียกไปหมด

ทั้งถาดรองตกแตก

เถ้าแก่ของร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์เป็นบุรุษวัยกลางคนรูปร่างผอมสูง ดูมีลักษณะเหมือนเซียน สวมชุดคลุมใหญ่แขนเสื้อกว้างสีขาวดำ กำลังยุ่งอยู่กับการต้อนรับที่โต๊ะข้างหน้า เพิ่งจะส่งคนใหญ่คนโตสองคนจากสามกรมกลับ พอเห็นภาพนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อน ต่อว่าเด็กรับใช้ไม่มีแรงทำงานเสียงเบา จากนั้นใช้มือเปิดผ้าม่านออกช้าๆ เอียงตัวครึ่งหนึ่ง ประสานสองมือคารวะก่อนพูดด้วยใบหน้าโอนอ่อน “ขออภัยทั้งสองท่านด้วย…จะเก็บกวาดให้เดี๋ยวนี้แล้ว อีกเดี๋ยวจะส่งรายนามน้ำชาใหม่มาให้”

สิ่งที่เห็นคือชายหญิงหนุ่มสาวสองคนที่กำลังนั่งเรียบร้อย สตรีสวมหมวก มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน

หนิงอี้ป้องมือพูดด้วยรอยยิ้ม “รายนามชาไม่ต้อง ขอที่ถูกที่สุดก็พอ”

หญิงสวมหมวกขมวดคิ้ว “ข้าเชิญเจ้ามาดื่มชา จะดื่มที่ถูกที่สุดได้อย่างไร”

เมื่อพูดจบ หญิงสวมหมวกก็เงยหน้าขึ้น พูดอย่างจริงจัง “เอาที่แพงที่สุด”

เวลานี้เถ้าแก่ร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนิดๆ เขายังคงท่าทางสองมือสอดในแขนเสื้อแสดงความนอบน้อม ไม่ได้รีบร้อนตอบรับ แต่มองไประหว่างชายหญิง เรื่องโต้เถียงกันเช่นนี้เขาเห็นมาเยอะแล้ว วิธีจัดการที่ดีที่สุดไม่ใช่เอียงไปทางฝั่งใดฝั่งหนึ่ง และยิ่งไม่ใช่การแนะนำชาที่ตนคิดว่าคุ้มค่า…เพียงแค่ต้องรอเท่านั้น

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ

สามสี่ลมหายใจต่อมา หนิงอี้โบกมือและพูดด้วยรอยยิ้ม “ฟังเจ้าก็ได้ เจ้าเก่งที่สุด ท่านผู้มั่งคั่ง”

หญิงสวมหมวกหัวเราะคิกคัก

เถ้าแก่พูดเสียงเบา “ชาร้านเราไม่แพง อยู่ในราคาปกติ หากทั้งสองท่านต้องการของแพงจริงๆ ก็ต้องเป็นชาไท่ผิงโหวขุยแล้ว”

สวีชิงเยี่ยนแสร้งทำเป็นเถ้าแก่ใหญ่ นางพูดวางมาดว่า “เอาแพงที่สุดมาก็พอ”

หนิงอี้ถึงกับหลุดขำ ก่อนที่เถ้าแก่จะปิดม่าน เขาได้พูดไปเบาๆ “จากนี้อย่าให้ใครเข้ามาอีก ตอนนำชามาก็รบกวนเคาะสามครั้งด้วย”

เถ้าแก่ที่มีมาดเซียนแห่งร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์จดจำคำพูดนี้ไว้ ก่อนจะป้องมือด้วยรอยยิ้มน้อยๆ สื่อว่าตนเข้าใจแล้ว

ก่อนจะปิดม่านกลับออกไป

เด็กรับใช้ตามหลังเถ้าแก่ผู้มีสีหน้าไม่แน่ใจ ตอนนี้ได้สติกลับมาทีละนิดก็หน้าแดงขึ้นมา

“ทำงานหลังข้าต้องเรียนรู้อีกเยอะ” บุรุษผอมสูงพูดอบรม “อะไรไม่ควรถามอย่าถาม อะไรไม่ควรยุ่งอย่างยุ่ง ไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ควร ไม่มองในสิ่งที่ไม่ควร ไม่ถามในสิ่งที่ห้ามถาม ไม่สอดรู้สอดเห็นในสิ่งที่ไม่ควรสอดรู้”

ความจริงเด็กรับใช้ก็เข้าใจหลักการนี้

ในร้านน้ำชานี้ มีคนใหญ่คนโตในเมืองหลวงไปๆ มาๆ ตลอด ได้ยินว่าเจ้ากรมใหญ่ของสามกรมก็เคยมาดื่มชาที่ร้านสายลมพิสุทธิ์

ในเมืองหลวงมีร้านน้ำชามากมาย ในสามกรมคนที่นั่งตำแหน่งผู้ถือคำสั่งได้อย่างแท้จริงจะชอบดื่มชา ปกติจะมีร้านน้ำชาประจำไม่กี่ร้าน เบื้องหลังร้านน้ำชาพวกนี้ มีเบื้องหลังที่มีอำนาจบ้างไม่มากก็น้อย

ในร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์ ดุจอาบสายลมพิสุทธิ์ประโยคนี้ ไม่ใช่เขียนประดับไว้เฉยๆ

ร้านน้ำชาย่อมไม่ปฏิเสธลูกค้า

บ่อยครั้งจะมีคนมานั่งในร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์ จากนั้นมองรายนามน้ำชาทีเดียวก็หาข้ออ้างรีบร้อนออกไป

ส่วนราคาปกติที่เถ้าแก่พูด…ก็แค่พูดไปอย่างนั้น

ร้านน้ำชาจะเสนอลดราคาน้ำชากระทั่งไม่ต้องจ่ายเงินกับคนใหญ่คนโตของสามกรม ในที่ที่เงียบสงบและกรมข่าวกรองกับกรมผู้คุมกฎสอดแนมไม่ได้นี้ ก็เป็นที่ที่มีแค่กรมข่าวกรองและกรมผู้คุมกฎอยู่เช่นกัน

ส่วน ‘จอมยุทธ’ ที่มีชื่อเสียงอย่างแท้จริงเหล่านั้น มีตำแหน่งมีเกียรติมีเงินย่อมมาดื่มชาได้ พูดได้ว่าเงินเป็นเพียงของทางโลกเท่านั้น หากมีแค่ชื่อแต่ในกระเป๋ากลวง คิดจะใช้ชื่อเสียงมาขอดื่มชา เถ้าแก่ใหญ่เบื้องบนก็กำชับไว้แล้วว่า ร้านน้ำชาจะไม่ใจดีกับคนเช่นนี้

…….

“ข้าฝึกกับอาจารย์ ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเลย…พิณหมากตำราและภาพ ถึงจะไม่ชำนาญสักอย่าง แต่ก็รู้พื้นฐานแล้ว” เด็กสาวที่สวมหมวกอีกครั้งพูดอย่างจริงจังทีละคำ “ห้องบูรพาใหญ่มาก มีของมากมาย อาจารย์เริ่มสอนข้าฝึกบำเพ็ญแล้ว”

“ฝึกบำเพ็ญรึ” หนิงอี้ขมวดคิ้วขึ้น

“ใช่…เหมือนจะเป็นอย่างนั้น” สวีชิงเยี่ยนยื่นมือมาข้างหนึ่ง ตรงกลางฝ่ามือนางมีความเป็นเทพบางๆ ไหลเวียน อากาศโดยรอบไหลไปรวมเหนือฝ่ามือ รวมเป็นน้ำวนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

นางกำหมัดเบาๆ น้ำวนหายไป

“ตอนยิงธนูจะใส่ความเป็นเทพตรงปลายธนู จากนั้นระเบิดออกในทันทีที่ยิงออกไป จะสร้างอานุภาพได้รุนแรงมาก” สวีชิงเยี่ยนมองหนิงอี้ สองมือดันแก้ม แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ตอนนี้ข้าปล่อยความเป็นเทพได้แล้ว…แม้จะนิดเดียว เบาบางมาก แต่ก็ยังดี”

หนิงอี้กลับมีสีหน้าไม่ดีนัก

สวีชิงเยี่ยนสังเกตเห็นจึงพูดด้วยความไม่เข้าใจ “เป็นอะไรไป”

“ส่งมือมาให้ข้า”

หนิงอี้คลึงระหว่างคิ้ว

ตอนอยู่ในอารามรู้กรรม เขาเคยใช้วิชาสัมผัสส่องเข้าไปในร่างกายสวีชิงเยี่ยน การกำเนิดของความเป็นเทพพวกนั้นเกี่ยวข้องกับการใช้งานของสวีชิงเยี่ยนเอง หากไม่เคยใช้ ความเป็นเทพจะกำเนิดขึ้นมาช้าๆ หากใช้อย่างรวดเร็ว ความเป็นเทพก็จะเพิ่มความเร็วขึ้นทีละนิด

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

เมื่อปลายนิ้วสัมผัสข้อมือของสวีชิงเยี่ยน หนิงอี้ก็รู้สึกได้ทันทีว่าความเป็นเทพพวกนั้นกองกันอยู่ในตันเถียนของสวีชิงเยี่ยน เทียบกับการเจอกันครั้งก่อนแล้ว มันมีเยอะกว่า ไม่ใช่เป็นหยดๆ แล้ว แต่รวมกันเป็นทะเลสาบเล็ก

ความเป็นเทพพวกนี้ซ่อนอยู่ในร่างกายสวีชิงเยี่ยน เกินกว่าขีดจำกัดที่ใบไม้ขลุ่ยกระดูกจะดูดซับเองได้แล้ว เด็กสาวปล่อยความเป็นเทพพวกนี้ได้แค่นิดเดียว แต่สิ่งที่สั่งสมอยู่กลับมีจำนวนเท่าฟ้า

หากวันใดความเป็นเทพพวกนี้กำเริบขึ้นมาอีก

ไม่อยากจะนึกถึงผลที่ตามมาเลย

ฆราวาสเขาเสียวซานสอนวิธีการใช้ความเป็นเทพกับสวีชิงเยี่ยน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ก็คือต้นตอของสถานการณ์ตอนนี้

สวีชิงเยี่ยนสังเกตเห็นหนิงอี้มีสีหน้าตึงเครียด

“ไม่ต้องเกร็ง ข้าจัดการเอง”

หนิงอี้พ่นลมหายใจยาว

เขานำใบไม้ขลุ่ยกระดูกครึ่งหนึ่งนั้นออกมาก่อนพูดอย่างจริงจัง “แม่นางสวี เอาใบไม้ขลุ่ยกระดูกครึ่งหนึ่งนั่นมาให้ข้า”

สวีชิงเยี่ยนหน้าแดง เอามือข้างหนึ่งอ้อมคอไปดึงเชือกแดงออกมา

หนิงอี้รู้ว่าเหตุใดสวีชิงเยี่ยนถึงหน้าแดง…ใบไม้ครึ่งหนึ่งนั้นวางตรงหน้าอก ตอนนี้นำออกมายังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ หนิงอี้ไม่วอกแวก รวมใบไม้สองใบเป็นหนึ่งเดียว

“ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว น่าจะไม่เจ็บ”

หนิงอี้มองสวีชิงเยี่ยนก่อนจะมองตรงปากประตู “ก่อนชามา ข้าจะดึงความเป็นเทพพวกนี้มาในบ่อเทพของข้า”

สวีชิงเยี่ยนจิตใจปั่นป่วน คนอื่นดึงความเป็นเทพโดยไม่ทำให้นางเจ็บไม่ได้

แต่หนิงอี้ทำได้

หลังรวมขลุ่ยกระดูก ในทะเลสาบจิตของหนิงอี้ สะพานเทพนั้นพลันก่อตัวขึ้น สองคนเหมือนจะไม่มีระยะห่างกันอีก

ความเป็นเทพไหลหลากเข้าไปในบ่อเทพ

สวีชิงเยี่ยนเอามือข้างหนึ่งเท้าคาง เหม่อมองหนิงอี้เช่นนี้

นางพลันยิ้มก่อนจะถามเย้ยเยาะตัวเอง “หนิงอี้ เจ้าว่าข้าเป็นโรคอะไรกัน เป็นโรคของคนหรือไม่”

หนิงอี้เงียบ

เขาได้ยินความเจ็บปวดจากในน้ำเสียงเด็กสาว

เขาส่ายหน้า “นี่เป็นโรคที่เกิดจากความเป็นเทพ…ดังนั้นก็ไม่ใช่โรคของคน นี่คือโรคของเทพ แต่คนรักษาได้”

หนิงอี้มองสวีชิงเยี่ยนพลางพูดอย่างมั่นใจ “อย่างเช่นข้า”

…………………..

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Score 10
Status: Completed
ขลุ่ยกระดูกธรรมดาที่เด็กหนุ่มครอบครอง กลับเป็นยอดสมบัติที่จะทำให้เขากลายเป็นเชียนกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า หนิงอี้' เด็กหนุ่มยากจนจากเทือกเขาประจิมลอบเข้าไปปลันสุสานใต้ดินกับน้องสาว 'เผยฝาน' โชคดีเก็บ 'ไข่มุกตะวันคร้าน' สมบัติที่ผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักใหญ่ตามหาได้ แต่เขาดันทำมันแตก! ซ้ำยังสลบไปจนน้องสาวต้องลากออกมา แม้จะรอดชีวิตจากสุสานใต้ดินมาได้ แต่กลับต้องมาถูกปีศาจแมงมุมตามล่า เพราะมันเข้าใจว่าไข่มุกตะวันคร้านอยู่ที่เขา หนิงอี้ไม่กลัว ถ้ำเกิดอะไรขึ้นเขายังมี 'ขลุ่ยกระดูก' ที่แม้ภายนอกจะดูเหมือนขลุ่ยใบไม้ธรรมดา ทว่าคมจนตัดเหล็กกล้ำได้ แต่หนิงอี้ไม่ทันได้ควักขลุ่ยกระดูกออกมาใช้ก็มีคนมาช่วยพวกเขาไว้เสียก่อน ผู้ใหม่คือ 'สวีจิ้ง ผู้บำเพ็ญอันดับ 3 แห่งต้สุยที่ถูกหลายสำนักหมายหัว และการได้พบกับสวีจั้งนี้เองที่ทำให้ชีวิตของหนิงอี้เปลี่ยนไป ประตูสู่โลกของผู้บำเพ็ญที่เขาไม่เคยคิดจะย่างกรายเข้าไปได้เปิดออก ขลุ่ยกระดูกธรรมดาๆ ที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดกลับกลายเป็นยอดสมบัติ! ทั้งยังมีความลับเบื้องหลังชาติกำเนิดที่รอวันเปิดเผย เส้นทางสู่การอยู่เหนือคนทั้งใต้หล้าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

Options

not work with dark mode
Reset