“หากข้ารู้ข้อมูลวงในของจักรพรรดิสูงส่ง ข้าก็คงไม่มา”
หนอนหนังสือดีดคันเบ็ดเพื่อเย้าแหย่ลาของตนพลางถอนหายใจ “หลังจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งถูกทำลายล้าง แดนก่อกำเนิดก็หายสาบสูญ และมีก็แต่ซากโบราณแห่งจักรพรรดิสูงส่งที่หลงเหลืออยู่ แม้ว่าข้าอยากที่จะค้นพบความลับของยุคสมัยนี้ ข้าก็ไม่อาจทำได้ แม้แต่กระบี่เทวะจักรพรรดิสูงส่งก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งมากนักด้วยอายุอันอ่อนเยาว์ของนาง ครั้งหนึ่งข้าเคยพบกับผู้รอดชีวิตจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งบางคน แต่ทว่าพวกเขาไม่อาจอะไรให้กระจ่างชัดเกี่ยวกับยุคสมัยของพวกเขาได้ แดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณีปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ จึงเป็นเหตุให้ข้ามาที่นี่”
บนผิวทะเล หมอกยิ่งมาก็ยิ่งหนาทึบและโหมซัดเข้ามาหาพวกเขาจากทุกทิศทาง ทะเลหยกถูกคลี่คลุมไปด้วยมวลหมอก และก็ได้ยินเสียงใครบางคนร้องมาจากข้างหน้า “นี่คือสถานที่อันพระแม่ธรณีร่วงหล่น จู่ๆ หมอกก็หนาขึ้นแสดงว่าจะต้องมีบางอย่างน่าสงสัยอย่างแน่นอน! ทุกคนจะต้องระวังตัวให้มาก!”
เสียงนั้นดังมาจากที่ไม่ไกลนัก และมันก็คงจะมาจากเทพเจ้าพวกที่เร่งรุดมาที่นี่จากโลกสวรรค์แห่งอื่นๆ
ในตอนนั้นเอง ฉินมู่ก็พลันเห็นเงาอันใหญ่มหึมาที่โฉบผ่านไปเหนือศีรษะ สิ่งที่ตามมาคือเสียงร้องด้วยความตระหนกตกใจและเสียงตะโกนอันเดือดดาล คลื่นน่าสะพรึงกลัวของทักษะเทวะซัดตามมาข้างหลังติดๆ และจากนั้น แสงมีดและแสงกระบี่บนผิวทะเลก็ระเบิดออกมา!
กิเลนมังกรและกิเลนวารีกระสับกระส่าย ทั้งสองตนอ้าปากของพวกเขาเพื่อไอสำรอกออกมา กิเลนวารีสำรอกลูกแก้วกิเลนอันกวาดซัดน้ำทะเลในบริเวณรอบๆ ให้ก่อขึ้นมาเป็นม่านคุ้มกันเพื่อป้องกันแรงกระแทกจากทักษะเทวะของเทพเจ้า
อีกด้านหนึ่ง กิเลนมังกรก็สำรอกลูกแก้วออกมาสองลูก หนึ่งนั้นคือลูกแก้วกิเลนไฟ และอีกหนึ่งคือลูกแก้วมังกร
กิเลนวารีมองไปที่เขาและคิดในใจ สายเลือดของเจ้าหมอนี่ไม่บริสุทธิ์เท่ากับข้า กำลังฝีมือของเขาจะต้องอ่อนด้อยกว่า
ขณะที่เขาคิดอยู่เช่นนั้น เขาก็เห็นปราณ โลหิต และพลังวัตรที่รวบรวมอยู่ในลูกแก้วทั้งสองพลันคลุ้มคลั่ง ลูกแก้วสองลูกมีรัศมีวาครึ่ง และรังสีเทวะจำนวนนับไม่ถ้วนออกไปอย่างสุ่มๆ จากลูกแก้วคู่ แช่แข็งแรงกระแทกที่อยู่รอบๆ ตัวเขา!
กิเลนวารีอ้าปากค้าง
แสงมีดและเงากระบี่เหล่านั้นคือเศษซากทักษะเทวะของลั่วอู๋ชวงและป๋ายฉวีเอ๋อ พวกมันถูกผู้คนข้างหน้าแตะต้องเข้า และผลที่ตามมาที่พื้นผิวทะเลปั่นป่วนโกลาหล เมื่อคลื่นและลมกลับมาสงบ ข้างหน้าก็มีแต่ความเงียบ
พวกเขาเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง และไม่นานนัก พวกเขาก็เห็นผู้คนมากมายยืนอยู่บนแท่งเสาอันวางพาดเหยียดยาวเหนือผิวทะเล พวกเขามีสีหน้าแปลกพิลึกและยิ้มแฉ่งอย่างไม่หยุดปากพลางมองมาที่กลุ่มฉินมู่
หมอกแผ่เข้ามา และร่างกายของพวกเขาก็รางเลือน
เสานั้นลอยอยู่เหนือผิวน้ำ และตรงหน้าเสาคือเผ่าเทพและเผ่ามาร ยังมีทั้งเทพเจ้าหลายตนที่มีเรือนกายอันแข็งแกร่งกำยำ และเปล่งเทวานุภาพและมารานุภาพอันเข้มข้น
ทั้งยังมีเทพและมารบางตนยืนล้อมกันเป็นวงกลมวงใหญ่ และพวกเขาก็หันซ้ายแลขวาไปมารอบๆ อย่างหวาดระแวง มีผู้คนมากขึ้นทุกทีที่ให้ความสนใจต่อแท่งเสาอันลอยอยู่เหนือผิวทะเล
ฉินมู่ขนลุกด้วยความสยองจากรอยยิ้มของเทพและมารพวกนั้น และเขาก็ให้กิเลนมังกรหยุดเดิน
เทพและมารเหล่านั้นยังคงฉีกยิ้มให้แก่พวกเขา และรอยยิ้มของพวกนั้นก็แข็งทื่ออย่างบอกไม่ถูก
“พวกเขายิ้มอะไรกัน” วิญญูชนสวรรค์อวี้ถามอย่างสนใจใคร่รู้
ขณะที่เสียงของเขาดังไป เทพและมารเหล่านั้นก็ลอยขึ้นไปพร้อมกับเสา พวกเขาลอยเหินไปบนอากาศและหายวับเข้าไปในหมอก
“ฮิ ฮิ ฮิ…”
เสียงหัวเราะของเทพและมารดังมาจากม่านหมอก บางครั้งก็มาจากทางซ้าย บางครั้งจากทางขวา บางครั้งจากข้างหน้า และบางครั้งก็มาจากข้างหลัง
“มีสัตว์ประหลาดอยู่ในทะเล พวกเราร่วมมือกันสู้กับศัตรู!” เทพและมารที่ยืนรายล้อมเป็นวงกลมตะโกนไป
ฉินมู่มองไปที่หนอนหนังสือ และหนอนหนังสือก็กล่าว “พวกเขามีผู้คนมากมาย และก็กลายเป็นเป้าใหญ่โตกว่า สัตว์ประหลาดจะต้องโจมตีพวกเขาอย่างแน่นอน พวกเราสามารถฉวยโอกาสนี้เพื่อเล็ดลอดผ่านเข้าไป”
ยอดฝีมือเทพและมารเหล่านั้นได้ยินเช่นนี้ก็เริ่มด่าทออย่างหยาบๆ คายๆ หนอนหนังสือขี่ลาและวิ่งผ่านพวกเขาไปอย่างเริงร่า
ฉินมู่ให้กิเลนมังกรและกิเลนวารีตามเขาไปติดๆ เขาหันหลังกลับไปดู และเทพเจ้าเหล่านั้นก็ยังยืนล้อมเป็นวงกลมพลางด่าทอเขาพวกเขาอย่างไม่หยุดปาก
ทันใดนั้น เงาดำมหึมาก็พุ่งวาบมาในหมอก และหลังจากที่เงาดำโฉบผ่านไป พื้นผิวทะเลก็ว่างเปล่า เผ่าเทพนับร้อยตนก่อนหน้านี้ได้หายไปโดยไร้ร่องรอย!
ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้ม เมื่อครู่นี้มีเทพเจ้าหลายตนอยู่ท่ามกลางเผ่าเทพและเผ่ามาร กระนั้นพวกเขาก็ยังคงสาบสูญ
เขารีบบอกวิญญูชนสวรรค์อวี้ให้เกาะติดเขาเอาไว้ เขาให้กิเลนมังกรและกิเลนวารีตามลาไป
เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากรอบข้าง และมันวนเวียนไปมารอบๆ พวกเขา หมอกก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
แสงเทวะเข้ามารวมในดวงตาของเขา และแปรเปลี่ยนเป็นดาราจักรหนึ่งกับสรวงสวรรค์เจ็ดชั้น เขามองไปรอบๆ ใบหน้ามากมายพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
กิเลนมังกรกลัวเรื่องพรรค์นี้มากที่สุด และเขาก็แทบจะหวีดร้องออกมา ใบหน้าพวกนี้ปรากฏออกมาจากหมอก และเข้ามาห้อมล้อมรอบๆ พวกเขา
ใบหน้ามากมายเป็นของเผ่าเทพและเผ่ามารจากก่อนหน้า!
ใบหน้าของเทพและมารวนเวียนรอบพวกเขาพลางฉีกยิ้มพิลึกกึกกือ เสียงหัวเราะคิกคักที่แปลกประหลาดทุกชนิดดังมาจากรอบทิศทาง
ทันใดนั้นประตูสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นมาข้างหลังเขา และประตูก็เปิดออก ใบหน้าพวกนั้นผ่านเข้าไปในประตู กระนั้นก็ยังคงลอยเต้นไปมารอบตัวพวกเขาได้
ฉินมู่หัวใจตกวูบและเขากล่าวด้วยเสียงต่ำ “พวกมันคือซากศพ ไม่มีชีวิตอยู่!”
ประตูน้อมสวรรค์ของเขาสามารถคร่าดวงวิญญาณและจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้อื่น กระนั้นในเมื่อใบหน้าเหล่านี้ยังคงอยู่ดีหลังจากที่ผ่านเข้าไปในประตูน้อมสวรรค์ ก็หมายความว่าพวกมันไม่มีดวงวิญญาณ!
หนอนหนังสือเหลือบมองไปยังประตูน้อมสวรรค์และกล่าวด้วยความแตกตื่น “ประตูของเจ้าดูเหมือนจะลึกล้ำอย่างสุดขีดขั้ว”
เขานำเอาขิมออกมาเรือนหนึ่งและดีดมันสองที เสียงกระอักทุ้มๆ ดังออกมาจากหมอกหนา และใบหน้าเหล่านั้นก็เริ่มจะบิดเบี้ยว การหมุนวนของพวกมันหยุดลงไป และแสงเจิดจ้ามากมายก็ส่องออกมาจุดแสงสองจุดนั้น ราวกับว่ามีดวงตะวันเล็กๆ สองดวงที่ก่อเกิดขึ้นมาในหมอก แสงอันเสียดแทงส่องออกมา
“ฮี่ๆ ที่แท้ก็เป็นยอดฝีมือ!” กลิ่นเหม็นฉุนเฉียวส่งออกมาจากบริเวณใกล้ๆ กับดวงตะวัน
หนอนหนังสือดีดสามสายในรวดเดียว เสียงขิมดังสนั่นหวั่นไหว และตัวโน้ตทั้งสามก็ก่อขึ้นมาเป็นเส้นเดียวก็ดับแสงตะวันทั้งสองดวง เสียงฉาดของวัตถุหนักตกลงไปในผิวน้ำดังมา
หมอกในบริเวณโดยรอบค่อยๆ จางลงไป และทุกคนก็กลับมามองเห็นรอบข้างอีกครั้ง
ฉินมู่และวิญญูชนสวรรค์อวี้มองไปรอบๆ และพวกเขาก็เห็นหนวดรากมหึมามากมายลอยอยู่เหนือผิวน้ำ บนหนวดรากเหล่านั้นมีปุ่มดูดที่มีขนาดกว้างวาครึ่ง และแต่ละปมดูดนั้นก็ดูดติดเทพไม่ก็มารเอาไว้!
เทพเจ้าเหล่านั้นยังคงหอบหายใจอย่างหนักหน่วง กระนั้นพวกเขาก็แสงสีหน้าราวกับว่าหายใจไม่ออก
พวกเขาส่งเสียงโหยหวนออกมา และใบหน้าของพวกเขาก็เหี่ยวแห้งลงไปอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งกายเนื้อของพวกเขาก็ซูบลงๆ ทุกที จนกระทั่งกลายเป็นศพแห้งซาก
หนอนหนังสือผู้ซึ่งอยู่บนหลังลา ดีดแครอทให้กระเด้ง ลาก็เดินไปข้างหน้าต่อด้วยการไล่ตามแครอทไป
ฉินมู่รีบตามไป และเมื่อเขามายังจุดที่แสงดับหาย เขาก็เห็นศีรษะกลมๆ มหึมาที่เหมือนกับเกาะอันกว้างร้อยลี้ลอยอยู่บนผิวน้ำ ที่ยอดของศีรษะนั้นถูกเฉือนตัดออก และดวงตาในสมองอันเปลือยเปล่าไร้กะโหลกนั้นก็ดูเหมือนจะถูกเฉือนตัดไปโดยสิ่งมีคมบางอย่าง!
มีศพของเผ่าเทพและเผ่ามารอยู่ทั่วทุกหนแห่ง และพวกมันก็ห้อยลงมาจากหนวดรากอันหยาบหนา เหลือแต่ผิวหนังกลวงเปล่าเอาไว้
ฉินมู่และคณะผ่านสิ่งมหึมาระดับจ้าวพิภพนี้ไป และเขาก็เงยศีรษะมองดู พบว่าพวกตนมาถึงชายฝั่งแล้ว
ตรงหน้าพวกเขาคือขุนเขาเทวะ และมันก็มีรัศมีอันเหี้ยมโหดที่หมุนวนไปรอบๆ ยอดเขา
ฉินมู่เหลียวหลังกลับไปมอง และสิ่งประหลาดนั่นก็ค่อยๆ จมลงไปในทะเล หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
“กำลังฝีมือของครึ่งเทพตนนี้แข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว แต่พี่ท่านก็สามารถสังหารเขาไปได้เพียงแค่ดีดเครื่องสายไม่กี่เส้น โน้ตดนตรีขิมของท่านได้ย่างกรายสู่เต๋า ข้าสงสัยยิ่งนักว่าในด้านเพลงขิมแล้ว ท่านจัดว่าอยู่อันดับเท่าไรในโลกหล้า” ฉินมู่ถาม
หนอนหนังสือเงยศีรษะมองไปยังรัศมีอันอำมหิตสองเส้นและกล่าว “ความสามารถที่ล้ำเลิศที่สุดของข้าคือศิลปะทั้งสี่ ข้าได้อุทิศความพากเพียรไปกับพวกมันมาก ความสามารถรองลงมาระดับสองของข้าคืออาวุธ ข้าละเล่นกับพวกมันจนกระทั่งข้าบรรลุความสำเร็จไม่มากไม่น้อย ความสามารถชั้นหนึ่งของข้าสามารถจัดได้เป็นอันดับหนึ่งหรือสอง ส่วนความสามารถชั้นสองของข้าที่ข้าละเล่นไปเรื่อยเปื่อยนั้น เป็นเพียงระดับสามัญธรรมดา ขิมของข้าเคยแพ้อยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพ่ายแพ้ให้กับจักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋”
สีหน้าของเขาหมองหม่นไปและกล่าว “ความสามารถของหญิงผู้นั้นไม่ธรรมดา ความสำเร็จของนางในศิลป์แห่งขิมถึงกับเหนือล้ำไปกว่าข้า”
กำลังฝีมือของจักรพรรดิแดงวิเศษโดดเด่น และนางเป็นยอดยุทธฝีมือแกร่งขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ ฉินมู่เคยได้รับฟังทำนองเพลงขิมของนางมาก่อน และเมื่อครั้งนั้น ตอนที่เขาและพุทธเจ้าท้าวสักกะได้หลบหนีออกจากพุทธเกษตร จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋ก็ได้ส่งท่วงทำนองหงส์เพลิงหาคู่สมเพื่อไล่ล่าพวกเขามาข้ามโลกมิติ เพียงแค่ท่วงทำนองขิมอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้พุทธเจ้าท้าวสักกะได้รับบาดเจ็บ
หนอนหนังสือผู้นี้ถึงกับสามารถต่อสู้กับนางด้วยขิมปะทะขิม และไม่เสียชีวิต นี่แสดงถึงฝีมือของเขา!
“เดิมทีข้าคิดว่าขิมของข้าสามารถนับเป็นอันดับหนึ่ง และบัดนี้เมื่อข้ามาคิดๆ ดูแล้ว หมากล้อมของข้าก็น่าจะเป็นอันดับหนึ่งเสียมาก่อน อันดับความเชี่ยวชาญของข้าควรจะเรียกไปจากหมากล้อม อักษรวิจิตร ภาพเขียน และขิม”
หนอนหนังสือขี่ลาและปีนไต่ขุนเขาเทวะ เขาโบกวีพัดขนนกและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าคิดอย่างไรกับอันดับของเจ้าในเรื่องขิมและหมากล้อม”
ฉินมู่ถอนหายใจและกล่าว “ข้าไม่มีความเข้าใจในสองเรื่องนี้เลยสักนิดเดียว”
หนอนหนังสือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าจ้าวลัทธิฉินผู้ยิ่งใหญ่จะเก่งกาจไปทุกเรื่องราวเสียอีก ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าก็จะมีเรื่องที่ไม่รู้ด้วยเช่นกัน”
ฉินมู่นำเอาพู่กันออกมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อฝีมืออักษรวิจิตรของท่านเป็นอันดับสอง ท่านสามารถเขียนถ้อยคำให้ข้าสักสองสามคำได้หรือไม่”
หนอนหนังสือยกพู่กันขึ้นมา “มันจะยากตรงไหนล่ะ เจ้าอยากให้ข้าเขียนอะไร”
“เขียนแค่ว่า ฉินเฟิงชิง”
หนอนหนังสือเขียนชื่อของฉินมู่ลงไปบนกระดาษ และฉินมู่ก็รับพู่กันกับกระดาษกลับมา เขาเพ่งพิศดูถ้อยคำเหล่านี้อย่างละเอียด และสายตาของเขาก็กระเพื่อมสั่นไหว “หมู่บ้านไร้กังวลอยู่ที่ไหน”
หนอนหนังสือหันศีรษะกลับมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความคิดของจ้าวลัทธินี่กระโดดไปกระโดดมาจริงๆ พวกเรากำลังสนทนาเรื่องศิลป์ทั้งสี่อยู่ชัดๆ แล้วทำไมจู่ๆ เจ้าก็เริ่มพูดถึงหมู่บ้านไร้กังวล เจ้าทำให้ข้าฉงนฉงาย”
“ท่านเคยไปที่หมู่บ้านไร้กังวลมาก่อน และท่านอาจจะเพิ่งออกมาจากที่นั่นด้วยซ้ำ!”
ฉินมู่นำเอาปูมบันทึกสาแหรกตระกูลออกมาและเปิดไปยังจุดที่มีชื่อของเขาอยู่ “บนเรือของพ่อข้า ข้าได้เห็นลายมือของท่าน ชื่อหลายชื่อในปูมบันทึกตระกูลฉินท่านเป็นคนเขียน! และบนหน้าสุดท้ายพ่อของข้าเขียนชื่อข้าลงไป ลายมือของเขาคล้ายกับท่านมาก เห็นได้ชัดว่าเขาเรียนภาพเขียนและอักษรวิจิตรมาจากท่าน และพยายามที่จะเลียนแบบท่าน! ท่านมาจากหมู่บ้านไร้กังวล!”
เขาพลันตื่นเต้นขึ้นมา “ครูบาสวรรค์จื่อซี หมู่บ้านไร้กังวลอยู่ที่ไหนกันแน่ จักรพรรดิก่อตั้งอยู่ที่นั่นหรือไม่ ทำไมเขาถึงไม่ปรากฏตัวออกมาตลอดเวลาสองหมื่นปีที่ผ่านพ้น”
หนอนหนังสือเงียบไป และนางก็พลันแย้มยิ้ม “ทายาทแห่งจักรพรรดิก่อตั้งมิใช่ชนชั้นธรรมดาสามัญเลยจริงๆ ข้านั้นได้เขียนชื่อหลายชื่อในปูมบันทึกตระกูลฉินก็จริงอยู่ แต่ข้าไม่เคยเขียนชื่อของเจ้า เจ้าให้ข้าเขียนชื่อเจ้านั้นเป็นการจู่โจมที่ข้าไม่ทันตั้งตัวเลยจริงๆ เพราะข้าก็ได้ลืมไปแล้วว่าข้าเคยสอนภาพเขียนและอักษรวิจิตรให้แก่ฉินหานเจิน”
นางหันหน้ากลับมามองฉินมู่ด้วยสายตาเวทนาเล็กน้อย นางส่ายศีรษะ “เจ้าอย่าอยากจะกลับไปที่หมู่บ้านไร้กังวลเลย ปล่อยวางความคิดนี้ไปเถอะและมีชีวิตอยู่ให้ดี ข้าได้พบเจ้าและเจ้าก็ไม่เลวเลยสักนิด เจ้าไม่ได้ทำให้จักรพรรดิก่อตั้งเสียชื่อ…ลวี่เจิง พวกเราไปกันเถอะ!”
นางดีดแครอท และลานั้นก็พลันกระโจนทะยานไปยังยอดสุดของแท่นประหารเทพ ลานั้นร้องฮวี้ออกมา และร่างของเขาก็สั่นเทิ้มแปลงเป็นเทพเจ้าหัวลา ด้วยร่างกายอันเต็มไปด้วยมัดกล้าม เขายื่นมือทั้งสองออกไปเพื่อคว้าจับรัศมีอำมหิตบนแท่นประหารเทพเอาไว้!
รัศมีอันอำมหิตทั้งสองคือมีดปริศนาประหารเทพแห่งปราสาทสวรรค์นี้ พวกมันถูกลาจับเหวี่ยงไปมาราวกับมังกรยักษ์สองตัว และเขาก็ใช้มันฟาดผ่าภูเขา!
แท่นประหารเทพถูกผ่าออกเป็นสองเสี่ยง และโลหิตสดก็พลันพวยพุ่งออกไปอย่างดุเดือดจากขุนเขาเทวะ ในเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ แท่นประหารเทพตรงหน้าก็ได้กลายเป็นทะเลโลหิตที่กีดขวางทางไปต่อข้างหน้า!
“ฉินเฟิงชิง นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะเข้ามาได้ กลับไปซะ!”
เสียงของหนอนหนังสือดังมาจากข้างหน้า “หากว่าเจ้าไม่เฉลียวฉลาดจนเกินไป ข้าก็ยังคงพาเจ้าติดตามไปแสวงประสบการณ์ด้วยได้ แต่ทว่า เจ้านั้นฉลาดเกินไป ดังนั้นกลับบ้านไปเถอะ!”
ฉินมู่มองตรงไปข้างหน้า และเขาเห็นทะเลเลือดขยายตัวกว้างขึ้นทุกทีๆ รัศมีอำมหิตอันถูกบดขยี้กระจายเกลื่อนไปทุกหนทุกแห่งในทะเล และพวกมันก็ก่อรูปขึ้นมาเป็นภาพเงาของมารร้ายและสัตว์ประหลาดต่างๆ ทำให้ใครก็ตามยากจะข้ามพ้น!
ฉินมู่เองก็มีมีดปริศนาประหารเทพ และเขารู้ถึงต้นกำเนิดของแท่นประหารเทพ แท่นประหารเทพนี้เป็นของเลียนแบบแท่นประหารเทพในสภาสวรรค์หลงฮั่น อันสามารถดูดกลืนปราณและโลหิตของเทพเจ้าได้ ใครก็ตามที่มีบาดแผลแม้เพียงเล็กน้อยบนแท่นประหารเทพ ปราณและโลหิตของพวกเขาทั้งหมดก็จะถูกมีดเทวะและขุนเขาเทวะช่วงชิงไป
ครั้งหนึ่งจักรพรรดิก่อตั้งเคยกล่าวว่ายุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งเป็นยุคที่เหี้ยมโหดที่สุด เทพเจ้าอันถูกส่งขึ้นไปตัดหัวนั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน และมันก็กระจ่างชัดในบัดนี้ว่ารัศมีอำมหิตที่เกิดขึ้นนั้นสามารถน่าสยดสยองได้มากขนาดไหน!
แต่ว่า หยุดข้าแค่นี้ไม่ง่ายนักหรอก!
ฉินมู่ล้วงมือเข้าไปในถุงเต๋าตี้เพื่อคว้าจับกล่องเล็กหนึ่งขึ้นมา กล่องเล็กเปิดออกมาด้วยแกรก
เมื่อกล่องเล็กเปิดออก กระดูกและพังผืดก็สั่นสะเทือน ศีรษะอันดุจเนื้อหยกของยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดินั้นตื่นเต้นอย่างหาที่สุดมิได้ และมันก็ดูดกลืนรัศมีอำมหิตและทะเลเลือดเข้าไป!
ฉินมู่ยกกล่องขึ้นด้วยปราณชีวิตของเขา พลางเดินเข้าไปในทะเลเลือดด้วยกล่องอันลอยอยู่ตรงหน้าเขา
วิญญูชนสวรรค์อวี้เร่งกิเลนวารีให้ตามฉินมู่ไปติดๆ เพื่อที่จะเห็นว่ากล่องเล็กของฉินมู่ดูดกลืนรัศมีอำมหิตเข้าไปประดุจวาฬตัวหนึ่ง ปราณและโลหิตของมันยิ่งมาก็ยิ่งเข้มข้น เยื่อพังผืดของมันก็กลายเป็นสีแดงฉานดุจโลหิต และรัศมีอำมหิตในดวงตาแห่งศีรษะหยกก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น
กิเลนมังกรหัวใจจะวูบมิวูบแหล่ พลางโงหัวขึ้นมองสำรวจกล่องเล็กนั้น และกิเลนวารีก็กระซิบ “พี่น้อง ทำไมเจ้าถึงมองไปยังกล่องนั้น”
กิเลนมังกรตัวสั่นเทิ้มและกล่าว “ข้ากำลังมองดูว่ากล่องนี้จะกินจนแน่นเอี๊ยดเมื่อไหร่ เจ้ายังไม่ได้กินยาวิญญาณจึงไม่รู้ความรู้สึกของการอิ่มจนจุกว่าเป็นอย่างไร เมื่อมันอิ่มขึ้นมา มันก็จะไม่กินอีกต่อไป…”
ขณะที่เขากำลังกล่าวอยู่นั้น เขาก็พลันได้ยินเสียงเรอดังมาจากกล่องเล็ก
แกรก กล่องเล็กนั้นพลันปิดงับลงไป
กิเลนมังกรเลือดในกายเย็นเฉียบ และเขาร้องออกมา “ฉิบหาย!”
รัศมีอำมหิตบนผิวทะเลพวยพุ่งเข้ามาหาเขา และพยุหะอักษรรูนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏรอบๆ กายฉินมู่ ขณะที่เขากำลังจะขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลอยู่นั่นเอง รัศมีอำมหิตก็พลันสงบเงียบลง เมื่อมีเสียงหนึ่งดังมาจากส่วนลึกของทะเล “อาคันตุกะผู้ทรงเกียรติ พระแม่ธรณีได้เชื้อเชิญเจ้า โปรดตามข้ามา!”