ตอนพิเศษ 84-2 เวยเวยระเบิดตำหนักเทพ ความจริงในอดีต (1)
ศิษย์นับร้อยรับคำสั่ง พากันควักอาวุธออกมาโจมตีใส่ข่ายอาคมอย่างดุดัน
เดิมทีข่ายอาคมก็ตั้งอยู่ได้ด้วยพลังเวทย์ของหมิงซิว การโจมตีหมิงซิวก็นับเป็นวิธีการลดทอนพลังของหมิงซิวอย่างหนึ่ง
ทางด้านนี้พลังเวทย์ของหมิงซิวถูกใช้ไปมหาศาล อีกด้านหนึ่งหนีฉางก็เดินพลังรากปราณสายฟ้าภายในตัว และเริ่มเรียกหาพลังสายฟ้าที่อยู่ระหว่างโลกกับสวรรค์
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเวยเวยได้เห็นพลังการเรียกสายฟ้าจากผู้ฝึกตนโดยแท้จริงเป็นครั้งแรก เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถึงจะกลายพันธุ์เป็นรากปราณสายฟ้า แต่ระดับการฝึกตนของนางยังไม่เพียงพอที่จะทนรับพลังสายฟ้าได้ ดังนั้นนางจึงไม่มีพลังเพียงพอจะเรียกหาสายฟ้าได้
หนีฉางแทบจะเป็นยอดฝีมือในระดับท่านเทพแล้ว เมื่ออยู่ภายในฝ่ามือของนาง ท้องฟ้าที่เคยโปร่งใส่พลันมีเมฆดำเคลื่อนมาปกคลุม พร้อมกันนั้นเมื่อเมฆดำเคลื่อนเข้าหากันยังทำให้เกิดพลังสายฟ้าอัดแน่นอยู่ด้วย
สายฟ้าทั้งหมดถูกพลังเวทย์ของนางควบคุมไว้จนเกิดเป็นวงแสงขนาดมหึมาขึ้นที่เหนือศีรษะของนาง
พลังที่น่าเกรงกลัวฟาดเปรี้ยงปร้างลงมารอบตัวนาง
ข่ายอาคมกั้นเสียงเอาไว้ อวิ๋นเชียนรั่วจึงไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยกันอะไร รู้เพียงว่าพี่ชายของตนเริ่มปะทะฝีมือกับเจ้าตำหนักหนีแล้ว พี่หญิงจากตำหนักเสวี่ยซานเหล่านั้นก็เริ่มโจมตีพวกเขาแล้วด้วยเช่นกัน
นางกอดแขนอวิ๋นเยี่ยไว้ด้วยความหวาดกลัว “เกิดอะไรขึ้น อาเยี่ย? เหตุใดคนของตำหนักเสวี่ยซานต้องเล่นงานพวกเราด้วย”
อวิ๋นเยี่ยหันมองร่างของหมิงซิว เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ใช่เพราะเขาหรอกหรือ”
เฉียวเวยเวยวางถ้วยน้ำแกงในมือลง หันมองเจ้าตำหนักหนีที่โจมตีใส่หมิงซิวอย่างเอาเป็นเอาตาย นัยน์ตาใสซื่อฉายแววดุดันของสัตว์ร้าย
หมิงซิวขาดดวงจิตที่สมบูรณ์ทำให้ต้านทานการโจมตีของเจ้าตำหนักหนีไม่อยู่ โล่ที่เขาใช้วิชาเวทย์เสกขึ้นมาถูกฟาดเปรี้ยงเข้าใส่จนแหลกเป็นชิ้นๆ สายฟ้าเส้นหนึ่งทะลุการป้องกันเข้ามาได้ พุ่งตรงเข้าใส่ศีรษะเขาอย่างไร้ปราณี!
เขาเอียงศีรษะหลบ เชือกสีฟ้าถูกตัดขาด บนใบหน้าปรากฏรอยแผลเล็กๆ ขึ้นรอยหนึ่ง
เขายกมือเรียวยาวขึ้นจับแผลบนใบหน้า แล้วลดมือลงมามองรอยเลือดตรงปลายนิ้ว
หนีฉางยิ้มเยาะ “เวลานี้จะคุกเข่าขอร้องข้าก็ยังไม่สายหรอกนะ! คืนศพของเสวี่ยหลันอีมา แล้วโขกศีรษะให้ข้าอีกร้อยที แล้วข้าจะไว้ชีวิตต่ำต้อยของเจ้า!”
พอสิ้นเสียงนางตรงขอบฟ้าก็มีเสียงมังกรคำรามดังขึ้น
เสียงคำรามของมังกรนี้คล้ายมีพลังที่สามารถฉีกวิญญาณให้ขาดกระจายได้ ฉางหนีรู้สึกเจ็บแปลบที่ศีรษะ แค่เพียงครั้งเดียวนี้ก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป
เมฆที่ดำครึ้มกระจายตัวไปแล้ว เงาดำเงาหนึ่งเหาะเข้ามาอย่างรวดเร็วเสียจนไม่มีใครทันได้ตั้งตัว
แต่ฉางหนียังนับว่าตั้งสติได้รวดเร็ว นางรีบยกมือขวาขึ้น เตรียมจะเคลื่อนพลังสายฟ้าเข้ากดดันอีกฝ่ายอย่างดุดัน ไหนเลยจะรู้ว่านางยังไม่ทันส่งพลังออกไป แขนข้างขวาของนางก็ถูกกัดขาดจนเลือดกระฉูดเสียแล้ว!
“อ๊าก…” หนีฉางกรีดร้องเสียงก้อง!
มังกรน้อยบ้วนแขนในปากออกมา เหาะเข้าไปในวังวนสายตาอย่างดุดัน
หัวใจของอวิ๋นเชียนรั่วกระดอนขึ้นมาถึงลูกกระเดือกแล้ว “ให้ตายสิ นางจะถูกสายฟ้าฟาดตายหรือไม่”
มารมังกรน้อยเกิดมาพร้อมกับสายฟ้า ซ้ำยังโตมาคู่กับสายฟ้าอีก พลังสายฟ้าเพียงเท่านี้ฟาดใส่ผู้ฝึกตนยังพอว่า แต่หากคิดจะฟาดใส่นางยังนับว่าไม่เพียงพอ
เห็นเพียงร่างมังกรของมารมังกรน้อยบินหมุนไปตามวังวนของสายฟ้า ทิศทางการหมุนวนของสายฟ้าถูกนางบังคับให้หักเห
ฉางหนีพอเห็นจุดที่วังวนสายฟ้าเล็งตรงไปหน้าก็พลันถอดสี “เจ้าจะทำอะไรน่ะ”
มารมังกรน้อยส่งเสียงคำคราม วังวนสายฟ้าก็พุ่งตรงไปตามเสียงร้องของนาง
เสียงกึกก้องดังกัมปนาท!
ฉางหนีหน้าซีดเผือด “ไม่…”
สายเกินไปแล้ว
ตำหนักเสวี่ยซานที่มีอายุหลายหมื่นปีถูกพลังของสายฟ้าอันรุนแรงฟาดใส่จนแหลกละเอียด
ในที่สุดฉางหนีก็ได้รู้สึกกลัว นางมองมารมังกรน้อยตัวนั้นด้วยสีหน้าซีดเผือดอย่างไม่อยากเชื่อ
มารมังกรน้อยพอจัดการตำหนักเสวี่ยซานเสร็จก็กลับหลังหัน ค่อยๆ ย่างก้าวเข้ามาประหนึ่งสัตว์ร้ายที่กำลังมุ่งหน้าไปหาเหยื่อ
ฉางหนีถึงกับขาทรุดลงนั่งกับพื้น!
มารมังกรน้อยแยกเขี้ยวพลางทะยานตัวขึ้นจะงับศีรษะของนาง!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จู่ๆ ตรงขอบฟ้าสีฟ้าใสก็ปรากฏมือใหญ่ขนาดหนึ่งร้อยฉื่อขึ้นข้างหนึ่ง
ฝ่ามือใหญ่เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า แต่เมื่อกดลงเบาๆ ก็สามารถกัดมารมังกรน้อยที่เกือบทำอย่างใจคิดเอาไว้ได้
“อื้อ…อื้อ…” มารมังกรน้อยดิ้นสู้ แต่ตัวนางถูกกดไว้แน่นมาก ขยับตัวไม่ได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว
ฉางหนีเหมือนได้เกิดใหม่ รีบเหาะเข้าไปหาฝ่ามือใหญ่ที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้!
ฝ่ามือใหญ่นั้นยังคงออกแรงประหนึ่งต้องการให้มารมังกรน้อยยอมคุกเข่าศิโรราบให้มัน
มารมังกรน้อยต้านทานไว้สุดกำลัง ดิ้นสู้จนเกล็ดมังกรหลุดร่วง
มารมังกรน้อยแยกเขี้ยวกัดฝ่ามือนั้นอีกครั้ง
บ้าจริง นางกัดไม่เข้าเชียวหรือนี่!
หมิงซิวนิ่งมองฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่ง เขาไม่ได้ใช้พลังปราณเทพ แต่ใช้จิตตั้งต้นหลอมจนได้เป็นคมแสงเส้นหนึ่ง จากนั้นเขาก็จับคมแสงแทงเข้าใส่ฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นเต็มกำลัง!
ฝ่ามือใหญ่นั้นค่อยๆ คลายออก
มารมังกรน้อยตัวหล่นลงไป
หมิงซิวเหาะขึ้นไปรับตัวมารมังกรน้อยเอาไว้
ฝ่ามือใหญ่นั้นคว้าตัวเจ้าตำหนักหนีไว้แล้วพาตัวนางหายไปกลางอากาศ
…
หมิงซิวอุ้มมารมังกรน้อยกลับเข้าข่ายอาคม อวิ๋นเชียนรั่วรีบเข้าไปหาด้วยความร้อนใจ “พี่ใหญ่ พวกท่านไม่เป็นอะไรกระมัง”
หมิงซิวเพิ่งหลอมดวงจิตไปจึงรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก “ข้าไม่เป็นไร”
ส่วนมารมังกรน้อย!
มารมังกรน้อยถูกฝ่ามือกดตัวเอาไว้ รู้สึกขัดใจจึงสะบัดหางกลับเข้าห้อง
อวิ๋นเชียนรั่วยังคิดว่านางจะกลับห้องไปกินอะไรต่อ จึงไม่ได้ตามไปด้วยแต่ถามหมิงซิวว่า “พี่ใหญ่ คนเมื่อครู่คือใครหรือ”
หมิงซิวเพ่งสายตา “จอมเทพ”
อวิ๋นเชียนรั่วตะลึงค้าง “จอม จอมเทพ?”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มเยาะ “กล่าวให้ชัดก็คือ นั่นเป็นเพียงดวงจิตส่วนหนึ่งของจอมเทพ”
เขาพูดพลางหันมองหน้าหมิงซิวที่ขาวซีดด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ดวงจิตของเจ้าก็หลอมได้อีกไม่กี่ครั้ง ดวงจิตเพียงส่วนเดียวของจอมเทพสามารถกดดันเจ้าได้ถึงเพียงนั้น วันหน้าหากจอมเทพมาด้วยตนเอง เจ้าจะไม่ต้องยอมให้เขาจับแต่โดยดีหรือ”
ประโยคนี้ไม่น่าฟังนักแต่นับว่าเป็นความจริง ด้วยพลังของหมิงซิวในเวลานี้ยามอยู่ต่อหน้าจอมเทพนับว่าอ่อนด้อยมากจริงๆ
วันนี้หากตัวของจอมเทพมาด้วยตนเอง ต่อให้เขาหลอมดวงจิตของตนจนหมดก็ไม่แน่ว่าจะขับไล่จอมเทพให้กลับไปได้
อวิ๋นเชียนรั่วมองหมิงซิวด้วยความเป็นห่วง “พี่ใหญ่…”
หมิงซิวรับรู้ได้ถึงดวงจิตที่หว่างโหวงในตัว เขาเอ่ยด้วยสีหน้าปกติว่า “ข้าจะหาทางเอง”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มบางๆ “เมื่อก่อนเจ้าไม่อ่อนแอเพียงนี้ จอมเทพเคยประมือกับเจ้า เจ้าไม่เคยแพ้ให้เขา อยากรู้หรือไม่ว่าพลังของตนไปไหนหมด”
หมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากเจ้าคิดจะพูดแค่เพียงครึ่งๆ กลางๆ ก็หยุดพูดไปเถิด”
อวิ๋นเยี่ยผายมือออก “ข้าก็อยากทำเช่นนั้นหรอกนะ แต่ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องกับคนที่ข้าเป็นห่วงอีก อย่าคิดเองเออเองไปเลย คนผู้นั้นไม่ใช่เจ้า”
อวิ๋นเชียนรั่วดึงแขนเสื้อเขา กระซิบบอกว่า “อาเยี่ย…”
อวิ๋นเยี่ยมองอวิ๋นเชียนรั่วด้วยความรักใคร่ “เจ้าเข้าไปรอในห้องก่อนเถิด ข้ากับพี่ใหญ่จะไปที่หนึ่งด้วยกัน”
อวิ๋นเชียนรั่วเอ่ยถามด้วยความกลัว “เจ้าจะทะเลาะกับพี่ใหญ่อีกใช่หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ข้าสู้เขาได้เมื่อไรกัน”
“อาเยี่ย…” อวิ๋นเยี่ยจับแขนหมิงซิวไว้ เอ่ยกับอวิ๋นเชียนรั่วยิ้มๆ ว่า “ข้ากับพี่ใหญ่เจ้าดีกันออกจะตาย เมื่อครู่ข้าเพียงล้อเล่นกับพี่ใหญ่เท่านั้น เจ้ารีบเข้าห้องไปเถิด ข้ากับพี่ใหญ่มีธุระต้องไปทำ!”
อวิ๋นเยี่ยกับหมิงซิวจะไม่รู้ได้อย่างไรเอานางแอบดูพวกเขาอยู่ พวกเขาจึงทำท่าว่าสนิทสนมกับราวกับพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายจนออกจากเขตข่ายอาคม พอหลุดจากสายตาของอวิ๋นเชียนรั่วแล้วทั้งสองก็ตีหน้าเฉยเมยใส่กันทันที
อวิ๋นเยี่ยดึงมือตนเองกลับด้วยความรังเกียจ
หมิงซิวขยับแขนเสื้อที่ถูกอีกฝ่ายจับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ว่ามาเถิด เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” หมิงซิวเอ่ยถามเสียงเรียบ
อวิ๋นเยี่ยบอกว่า “ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไร แค่เพียงอยากพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง เดิมทีข้าคิดจะคอยมองเจ้าไปตาย แต่หากเจ้าตายข้าถูกจับกลับไปอยู่หอคอยผนึกปีศาจยังไม่เท่าไร แต่รั่วเอ๋อร์ไม่มีเสวี่ยหลันอีที่คอยเป็นร่มให้พักพิงแล้ว กลัวว่านางจะมีจุดจบที่ไม่ดีเช่นกัน ดังนั้นข้าจะทำอะไรได้ ข้าทำได้แค่ให้เจ้ามีชีวิตต่อไป ไม่เพียงมีชีวิตต่อไปแต่ยังต้องมีชีวิตที่ดีอีกด้วย”
หมิงซิวเอ่ยเสียงเย็น “พูดอย่างกับว่าเจ้าฆ่าข้าได้จริงๆ อย่างนั้นแหละ”
อวิ๋นเยี่ย “วันนี้จอมเทพลองเชิงจนได้รู้ตื้นลึกหนาบางของเจ้าแล้ว เจ้าไม่มีพลังฝึกตนเช่นในอดีตอีกแล้ว เขาจะไม่หวั่นเกรงเจ้าอีก ครั้งหน้าเขาจะต้องมาเอาชีวิตเจ้าถึงที่เป็นแน่”
หมิงซิวเอ่ยเสียงเรียบว่า “อย่าคิดว่าเพียงเท่านี้ก็จะสามารถทำให้ข้ากลัวได้”
อวิ๋นเยี่ยกลับไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเขา มือจับกระชับไข่มุกเคลื่อนย้ายที่เอามาจากอวิ๋นเชียนรั่วแล้วพาตนเองกับหมิงซิวไปยังสถานที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง
หมิงซิวมองผิวน้ำที่เคลื่อนไหวเป็นระลอก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “คูเมืองสวรรค์?”
อวิ๋นเยี่ยทำหน้าจริงจัง “ถูกต้อง ที่นี่ก็คือคูเมืองสวรรค์ เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าครานั้นใครเป็นคนผนึกคูเมืองสวรรค์ไว้”
หมิงซิว “จอมเทพ?”
ข้างนอกต่างพูดกันเช่นนี้
อวิ๋นเยี่ยส่ายหน้า จับจ้องหมิงซิวไม่วางตา “เจ้า”
หมิงซิวอึ้งไป “ข้า?”
อวิ๋นเยี่ยเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยว่า “ยากจะเชื่อกระมัง แต่นี่เป็นความจริง เจ้าใช้ดวงจิตผนึกคูเมืองสวรรค์เอาไว้ ผนึกของคูเมืองสวรรค์ก็คือพลังของเจ้า หากเจ้าเอาพลังของตนกลับมาก็จะมีทางรับมือกับจอมเทพแล้ว”