ตอนที่ 484 จะนกก็ไม่นก
วันรุ่งขึ้นพอฟ้าเริ่มสว่างมู่เถาเยากับเย่ว์จือกวงก็ตื่น
เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ พวกเขาจึงต้องนั่งฝึกกำลังภายใน
เมื่อแสงแรกเริ่มปรากฏ ทั้งสองคนก็เตรียมปีนเขากันแล้ว
“พี่รองคะ กำแพงหิมะด้านนี้ลื่นมาก แทบจะไม่มีที่ให้จับหรือวางเท้าเลย พวกเราไปด้านข้างก่อนดีกว่าค่ะ ลองหาตำแหน่งดีๆ ค่อยปีนขึ้นไป”
“อึม เมื่อวานเย็นตอนปีนมาไม่เจอเส้นทางไหนที่เหมาะจะปีนขึ้นไปได้เลย งั้นพวกเราไปสำรวจทางซ้ายดูแล้วกัน”
มู่เถาเยาพยักหน้า
ยังคงเป็นเย่ว์จือกวงนำหน้า มู่เถาเยาตามหลัง ค่อยๆ ขยับไปทางซ้าย
มองหาอยู่ชั่วโมงกว่าถึงจะเจอเส้นทางที่สามารถปีนขึ้นไปได้
แต่เส้นทางนี้ก็ไปลำบาก ปีนขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็ไปต่อไม่ได้แล้ว จำต้องปีนออกไปด้านข้างอีกครั้งหรือไม่ก็ต้องถอยกลับแล้วเลือกเส้นทางใหม่
เรื่องเดียวที่ดีก็คืออากาศ
ไม่เพียงแต่จะไม่เลวร้าย ไม่เจอกระแสอากาศเลยด้วยซ้ำ
แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น วันนี้พวกเขาก็ปีนขึ้นไปได้แค่สองพันเมตร
พวกเขาพักอยู่ในถ้ำน้ำแข็งเล็กๆ เย่ว์จือกวงดึงหน้ากากออกซิเจนที่อยู่บนหน้าลง “เสี่ยวเยาเยา อีกพันเมตรอาจต้องใช้เวลาปีนวันนึง”
“ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ พวกเราไม่ได้รีบ ขอแค่ผ่านหน้าผาชันนี้ไปได้ ปีนต่อก็ไม่น่าจะยากแล้วค่ะ”
“พอไหว ตอนนี้ก็แค่หาเส้นทางยากหน่อย ตลอดทางไม่มีอันตรายอะไรเลย”
“ค่ะ”
ถ้าพวกเขาใช้วิชาตัวเบาก็สามารถขึ้นลงได้โดยใช้เวลาไม่ถึงวัน
สองพี่น้องกินยาบำรุง ขยับมือขยับเท้าก่อนแล้วผ่อนลมหายใจ
“พี่รองคะ ถ้าพี่รู้สึกหนาวก็ใช้กำลังภายในได้” บนนี้หนาวกว่าด้านล่างมาก
“อึม เธอเป็นผู้หญิงยิ่งต้องระวังหน่อย”
“ค่ะ ฉันไม่รู้สึกหนาว”
สองพี่น้องคุยกันสักพักก็พากันใส่หน้ากากออกซิเจนอีกครั้ง
ต่อให้พวกเขาจะเก่งแค่ไหน ถ้าขาดออกซิเจนก็ไม่ไหวเหมือนกัน
ฟ้ามืดลง เปิดเพียงไฟฉายบนหัวของแต่ละคน สองพี่น้องนั่งพักผ่อน
ไม่ต่างจากเมื่อวาน พอฟ้าเริ่มสางพวกเขาก็ตื่น
ไปทางซ้าย ไปทางขวา ถอยหลัง ขึ้นบน ไปๆ กลับๆ ระยะทางหนึ่งพันเมตรนี้ใช้เวลามากกว่าสองพันเมตรเมื่อวาน
กว่าจะถึงจุดที่สามารถพักผ่อนได้ฟ้าก็มืดแล้ว
เส้นทางแบบนี้ต่อให้เป็นนักปีนเขามืออาชีพก็ยากที่จะปีนขึ้นไปได้ เพราะพวกเขาไม่กล้ากระโดดบนหน้าผาที่ตั้งชันสูงถึงเจ็ดแปดพันเมตรนี้
จุดวางเท้าบางจุดห่างค่อนข้างไกล ยื่นมือยื่นเท้าออกไปก็แตะไม่ถึง ทำได้เพียงกระโดดไป
หากเผลอลื่นตกในระยะความสูงหลายพันเมตรนี้รับรองว่าร่างแตกละเอียด
แต่สองพี่น้องคู่นี้ไม่กลัว ต่อให้กระโดดไปแล้วจับพลาดพลัดตกก็ยังใช้วิชาตัวเบาประคองตัวได้
การใช้มีดพกปักหน้าผาเวลาพลัดตกป้องกันลื่นไถลแบบสมัยโบราณนั้นใช้ไม่ได้กับที่นี่ เพราะต้องระวังน้ำแข็งแตก
ถึงแม้ครั้งสองครั้งไม่อาจทำให้น้ำแข็งแตกหรือหิมะถล่ม แต่ปัญหาเล็กๆ ก็อาจนำมาซึ่งหายนะใหญ่ได้
บางเรื่องไม่ทำได้ก็ไม่ควรทำ
วันที่สี่สองพี่น้องปีนไปสองพันเมตร
ตอนนี้อยู่เหนือความสูงหนึ่งหมื่นเมตรแล้ว
แม้จะถือว่าถึงยอดเขาแล้ว แต่ภูเขากว้างใหญ่มาก ไม่เหมือนตอนมองอยู่บนพื้นราบที่เห็นเพียงยอดเขาเดียว
มู่เถาเยา “ยังเหลืออีกสองพันกว่าเมตรสุดท้าย พรุ่งนี้ปีนขึ้นรวดเดียว”
เย่ว์จือกวงพยักหน้า
สองพี่น้องคุยกันได้ไม่กี่ประโยคก็ต้องใส่หน้ากากออกซิเจน บนนี้ออกซิเจนเบาบางเหลือเกิน
ขณะที่กำลังจะหลับตานอน ทันใดนั้นมู่เถาเยาก็นั่งตัวตรง
เย่ว์จือกวงมองน้องสาว ถามด้วยสายตา
มู่เถาเยาดึงหน้ากากลง “พี่รองคะ เหมือนฉันเห็นมีอะไรขึ้นมาจากด้านล่าง”
“อะไรเหรอ”
“มันเร็วมาก เห็นไม่ชัด เหมือนแสงแวบผ่าน…ฉันตาฝาดเองหรือเปล่า แถมฉันก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยด้วย…”
เย่ว์จือกวงพยักหน้า “พี่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรนะนอกจากเสียงลม ถ้ามีอะไรจริง จะเป็นสัตว์อารักขาหรือเปล่า”
“ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
พอมู่เถาเยาพูดจบ ภายในถ้ำน้ำแข็งก็มีสัตว์ขนาดใหญ่กว่าหนูแฮมสเตอร์นิดหน่อย แต่เล็กกว่ากระต่ายปรากฏ
สองพี่น้องเบิกตาโพลงมองแขกไม่ได้รับเชิญที่ตัวขาวปุกปุยแสนน่ารัก
เออ!! อาจเป็นพวกเขาต่างหากแขกไม่ได้รับเชิญ
เจ้าตัวน้อยร้องจี๊ดๆ มองทั้งสองคน เสียงใสเหมือนนก ไพเราะมาก
สองพี่น้องมองหน้ากัน เห็นความงุนงงของอีกฝ่าย รวมถึง…ความระแวง
เพราะป่าเซียนโหยวที่แสนอันตรายทำให้พวกเขามีจิตใจที่หวาดระแวงต่อสัตว์ที่ไม่รู้จัก ไม่ว่าสัตว์ชนิดนั้นจะน่ารักขนาดไหนก็ตาม!
เจ้าตัวน้อยเดินหน้าสองก้าวอย่างเงียบๆ
เย่ว์จือกวงเกร็งไปหมดทั้งตัว มือขวาจับมีดพกที่เหน็บอยู่ตรงเอว
เจ้าตัวนี้จะนกก็ไม่ใช่ หนูก็ไม่เชิง ตัวกลมขาวเหมือนลูกบอลหิมะ มีปากสีแดงแหลมเล็ก ดวงตาสีเลือดมีประกายแวววาวดุจเพชร
มันมีเพียงสองเท้า ข้างละสี่นิ้ว เป็นสีแดงเข้มทั้งหมด เมื่อผสมกับตัวสีขาวปุกปุยของมัน ให้ความรู้สึกที่น่าหวาดระแวงเหลือเกิน
เจ้าตัวน้อยทั้งน่ารักและน่ากลัว คล้ายเด็กน้อยในเวลาเดียวกัน
“จี๊ดๆ”
เจ้าตัวน้อยเดินเข้าไปทางมู่เถาเยาอีกเล็กน้อย จนปากแหลมสีแดงของมันเกือบถูกเท้าของเธอที่นั่งยืดขาอยู่
เย่ว์จือกวงดึงมีดพกออกมาควงสองที หวังขู่ให้มันไป
“จี๊ดๆ”
เจ้าตัวน้อยเอียงหัวมองท่าทางของเย่ว์จือกวงด้วยความสงสัย
ทันใดนั้น มู่เถาเยาก็หัวเราะออกมา
เหมือนอ่านสายตาของมันออก ทำอะไรเหรอ
เธอดึงหน้ากากลง “พี่รอง ฉันว่ามันไม่ได้มาร้ายนะคะ”
“ยังไงก็ต้องระวังหน่อย”
มู่เถาเยาพยักหน้า
หลังจากเจ้าตัวน้อยเห็นใบหน้าของมู่เถาเยาก็กระโดดไปบนขาเธอทันที เร็วจนเย่ว์จือกวงไม่ทันได้ยื่นมีดออกไป
“จี๊ดๆ จี๊ดๆ…”
มู่เถาเยาไม่เข้าใจว่ามันพูดอะไร แต่ก็อดยกมือลูบมันไม่ได้
“เสี่ยวเยาเยา!”
ไม่เป็นไรค่ะพี่รอง เหมือนมันจะชอบฉันนะคะ”
เย่ว์จือกวงจ้องสัตว์ตัวน้อยที่เหมือนลูกบอลหิมะเขม็ง
ท่าทางของมันเหมือนชอบน้องสาวของเขาจริงๆ
พอมู่เถาเยาใส่หน้ากาก เจ้าตัวน้อยก็กระโดดไปบนบ่าของเธอทันที
จ้องอยู่สักพัก ดวงตาฉายแววฉงน
ต่อมาก็มีแสงสีขาวแวบผ่าน บนบ่าของมู่เถาเยาก็ไม่มีเงาของเจ้าตัวนั้นอีก
“เร็วมาก!” เย่ว์จือกวงพูดด้วยความตะลึง
“นั่นสิคะ เร็วกว่าวิชาตัวเบาของฉันอีก!”
“เสี่ยวเยาเยารู้ไหมว่ามันคือตัวอะไร”
มู่เถาเยาส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ ไม่เคยเห็น”
“เสี่ยวเยาเยาเกิดความรู้สึกอยากขึ้นไปจะเป็นเพราะมันหรือเปล่า”
“ฉันรู้สึกว่า…บนยอดเขาน่าจะมีบางสิ่งบางอย่างอยู่…”
“พรุ่งนี้ขึ้นไปก็รู้แล้ว แต่ต้องระวังให้มากกว่าเดิมหน่อย ยิ่งใกล้เป้าหมายยิ่งห้ามประมาท”
“ค่ะ”