บทที่ 444 ไม่มีเงิน
บทที่ 444 ไม่มีเงิน
“เชิญนายน้อยทั้งสองดูเลยขอรับ ข้าไม่ได้โกหกแต่ประการใด ที่ร้านไม่เหลือโต๊ะว่างแล้วขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ของร้านบอกคนทั้งสองที่เพิ่งตามขึ้นมา
นายน้อยทั้งสองซึ่งถูกกล่าวถึง คือคนที่เพิ่งจะร่วมทางโดยสารรถลากมากับอู๋ฝานนั่นเอง
“ท่านชายต้องการทานอาหาร เจ้าก็ควรไปจัดการโต๊ะที่ค้างให้เรียบร้อยสิ” ผู้ติดตามเอ่ยปากบอกกับเสี่ยวเอ้อร์
“เรื่องนั้น… ข้าน้อยทำเช่นนั้นไม่ได้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ของร้านตอบรับด้วยใบหน้าขื่นขม
ช่วงเวลาเช่นตอนนี้ แขกที่มาใช้บริการส่วนใหญ่เพิ่งจะเดินทางมาถึง ดังนั้นคงไม่อาจหาทางเข้าไปจัดการทำให้โต๊ะว่างได้
“ยังอยากทำการค้าที่นี่อยู่หรือไม่?”
“เหตุใดพวกท่านไม่รออีกสักนิดเล่าขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นพยายามพูดด้วยเสียงเบา ๆ
“ไม่รอ!”
ล้อกันเล่นหรืออย่างไร ก่อนหน้านี้เวลาจะทานอาหารพวกเขามีแต่ให้คนอื่นรอ ขณะนี้คิดจะทานกลับต้องเป็นฝ่ายรออย่างนั้นหรือ?
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านยิ่งเผยท่าทีลำบากใจ ในฐานะคนทำงานในเมืองหลวงย่อมต้องมีสายตาที่ดีเยี่ยม เพียงมองเขาก็กล้าบอกว่าสองคนนี้ไม่ใช่บุตรหลานตระกูลธรรมดา แต่เป็นคนที่ตัวเขาไม่อาจหาเรื่องด้วยได้เลยต่างหาก
“เหตุใดไม่ร่วมโต๊ะกับพวกเราเล่า? ไม่ต้องเขินอายไป อย่างไรก็คนกันเอง” อู๋ฝานที่เห็นจึงเอ่ยปากขึ้นมา
“ไม่!” หญิงสาวคนที่ถูกชนปฏิเสธเสียงแข็ง
อันที่จริงตอนพวกนางเดินเข้ามาชั้นสอง ก็ได้เห็นแล้วว่าพวกอู๋ฝานทั้งสามได้ที่นั่งก่อน แต่เพราะเรื่องบนรถลากก่อนหน้านี้ ทำให้สองสตรีในคราบบุรุษไม่คิดแลสายตามองพวกเขา กระทั่งไม่คิดเข้าไปแย่งโต๊ะด้วยซ้ำ
“ไม่เอาก็ไม่เอา ไม่ร่วมโต๊ะก็ไม่ว่าอะไร แต่การสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นทั้งที่เห็นสถานการณ์ของที่นี่แล้ว เรียกได้ว่าจงใจกลั่นแกล้ง ไปสร้างความลำบากใจให้คนทำงานแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม” อู๋ฝานเอ่ยปากขึ้นมา
“ข้าหรือสร้างปัญหาโดยไร้เหตุผล?!” สตรีที่ถูกชนเบิกดวงตากว้าง พลางถลึงตามองอู๋ฝานราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน
เนื่องจากไม่เคยมีใครกล้าพูดถ้อยคำเหล่านี้กับนางมาก่อน เพราะผู้อื่นเมื่อเจอนางมีแต่จะชื่นชมถึงความงาม ทว่านี่คืออะไร?
“แล้วไม่ใช่งั้นหรือ?” อู๋ฝานถามกลับ
หญิงสาวจ้องมองด้วยสายตาโกรธเคือง แต่อู๋ฝานหน้านิ่งตอบรับ หาได้มีท่าทีกลัวเกรงเหมือนข้ารับใช้ในวังของนางไม่
“หากว่าอยากทานก็มานั่งลง ถ้าไม่อยากทานก็เชิญลงไปด้านล่าง ไม่ใช่มายืนเป็นก้อนหินขวางทางแบบนี้” อู๋ฝานพูดขึ้นมา
หญิงสาวกัดฟันและถลึงตามองตอบ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะนั่งลงร่วมโต๊ะกับอู๋ฝาน
เนื่องจากไม่อยากลดตัวไปมีปัญหาด้วย และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการทำให้ท้องอิ่ม หลังทานแล้วนางจะได้ไปตามทางของตน
เมื่อเห็นเรื่องราวคลี่คลาย เสี่ยวเอ้อร์ของร้านจึงเผยสายตาขอบคุณมาให้ ก่อนจะรีบมารอจดรายการที่พวกอู๋ฝานจะสั่ง
อู๋ฝานสั่งอาหารหลากหลายอย่าง เนื่องจากไม่ได้คาดหวังว่ารสชาติของที่นี่จะอร่อยอะไรมากมายนัก แม้ที่นี่เป็นเมืองหลวง แต่ในฐานะมาสเตอร์การทำอาหาร เขาไม่เชื่อว่าอาหารที่พ่อครัวหรือแม่ครัวของที่นี่ทำขึ้นมาจะรสชาติดีไปกว่าที่ตนเองเคยได้ทาน
ขณะอู๋ฝานสั่งอยู่นั้น สองสตรีในคราบบุรุษต่างก็สั่งเช่นกัน แต่ขณะพวกเขาสั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองยังคงสั่งต่อไม่หยุด
“สั่งมากมายขนาดนั้นทานกันหมดหรือ?” อู๋ฝานอดไม่ได้จนต้องถามออกมา
“ไม่ต้องห่วง!” หญิงสาวซึ่งถูกชนมองตอบอู๋ฝาน ก่อนจะสั่งส่วนของพวกตนเองอย่างต่อเนื่อง
อู๋ฝานเพียงยักไหล่ไม่ต่อคำอื่นใดอีก กระทั่งนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายสั่งมาหลายสิบอย่างแล้วและยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
หลังสั่งเรียบร้อย ทั้งสองฝ่ายต่างสบตากันจนบรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูแห้งแล้งอย่างแปลกประหลาด
“คล้ายพวกเรามีชะตาให้พบกัน ขอแนะนำตัวก่อนก็แล้วกัน ข้ามีนามว่าอู๋ฝาน ส่วนทางนี้ลั่วเยวี่ยและลั่วหยาง” อู๋ฝานเอ่ยแนะนำตัวกับหญิงสาวทั้งสอง
“เจ้าฉี ฉีที่แปลว่าแปลก” หญิงสาวคนนั้นตอบกลับมาเสียงเย็น “ส่วนนางชื่อเสี่ยวชิง”
อู๋ฝานหาหัวข้อสนทนาที่พอพูดคุยกับเจ้าฉีได้ แต่อีกฝ่ายคล้ายไม่สนใจพูดคุยด้วย ดังนั้นทางเขาก็ไม่คิดใส่ใจ เพียงถามไปเรื่อยเพราะเบื่อช่วงที่ต้องรอคอย
โชคดีที่แม้ภัตตาคารแห่งนี้จะมีลูกค้าใช้บริการแน่น แต่ความเร็วการลำเลียงอาหารมาถึงโต๊ะนั้นไม่เชื่องช้า ไม่ว่าจะส่วนที่อู๋ฝานหรือเจ้าฉีสั่งต่างก็ถูกนำมาไม่ขาดสาย
อู๋ฝานลิ้มลองรสชาติด้วยความสนใจ ก่อนจะพบว่าไม่อาจสู้อาหารที่ตนเองทำ แต่ที่ทำให้ประหลาดใจคือการที่หลังเจ้าฉีทานอาหารเข้าไปแล้วกลับขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่พึงพอใจกับรสชาติอาหาร
“อาหารของเมืองหลวงนี่ดีเสียจริง แต่ยังไม่ดีเท่าของนายท่าน” ลั่วหยางที่ร่วมโต๊ะเพราะคาดหวังได้ทานของอร่อย เพียงได้ลิ้มลองรสชาติกลับต้องผิดหวัง เห็นได้ชัดว่าชินกับรสชาติอาหารของอู๋ฝานแล้ว
เจ้าฉีมองทางลั่วหยาง ก่อนจะมองต่อไปยังอู๋ฝานพลางกระซิบ “โอ้อวด!”
แม้เสียงเบา แต่คนร่วมโต๊ะเดียวกันอย่างไรก็ได้ยิน
“ท่านชาย ฝีมือการทำอาหารของร้านนี้แย่ยิ่งกว่าที่เรือนของเราอีกขอรับ” เสี่ยวชิงร่วมเห็นพ้องกับเจ้าฉี
“ทำใจให้ชิน” เจ้าฉีตอบกลับ
อู๋ฝานมองทางเจ้าฉี ก่อนหน้านี้เคยสงสัยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา ขณะนี้ยิ่งมั่นใจ แม้ฝีมือการทำอาหารของที่นี่จะด้อยกว่าตัวเขา แต่ก็ถือได้ว่าเป็นพ่อครัวระดับสูง หากคนครัวของเรือนเจ้าฉีมีระดับสูงกว่าที่นี่ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับมาสเตอร์ ถ้าจะมีตระกูลใดสามารถจ้างมาสเตอร์ทำอาหารได้ ตระกูลนั้นย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา อย่างไรต่างฝ่ายก็เป็นคนที่บังเอิญผ่านทางมาเจอ เมืองหลวงแห่งนี้กว้างใหญ่ ความเป็นไปได้ที่คนทั้งสองจะพบกันอีกครั้งภายหน้ามีน้อยนิด ยังไม่กล่าวว่าอีกฝ่ายพยายามหนีออกจากบ้าน ไม่ช้าก็คงไปจากเมืองหลวง ดังนั้นจึงยิ่งไม่น่าจะมีโอกาสได้พบกันอีก
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป เจ้าฉีและเสี่ยวชิงก็เป็นฝ่ายที่ทานอาหารเสร็จก่อน ปริมาณที่หญิงสาวทานปกติก็มักจะน้อยกว่าอยู่แล้ว จึงไม่น่าประหลาดใจที่อู๋ฝานเคยคาดเดาเอาไว้ว่าอาหารหลายสิบอย่างที่ถูกสั่งมา แต่ละจานจะหายไปไม่ถึงครึ่ง
“เสี่ยวชิง พวกเราไปกัน” หลังทานเสร็จเรียบร้อย เจ้าฉีจึงลุกขึ้นยืนพลางบอกผู้ติดตามให้เตรียมเดินทางต่อ
“เดี๋ยวก่อน!” เพียงสองคนลุกขึ้นเตรียมเดินไป อู๋ฝานกลับเรียกพวกนางเอาไว้
“มีอะไรอีก?” เจ้าฉีเอ่ยถามขณะหันไปมองอู๋ฝานด้วยความระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าจนถึงตอนนี้นางก็ไม่เคยผ่อนปรนความระวังลงเลยแม้แต่น้อย
“เหมือนว่าจะยังไม่ได้จ่ายค่าอาหารนะ” อู๋ฝานเอ่ยขึ้น
“จ่าย? จ่ายอะไร?” เจ้าฉีถามกลับ
“ค่าอาหารที่ทานเข้าไปยังไงล่ะ” อู๋ฝานตอบรับอย่างเหลืออด
เจ้าฉีครุ่นคิดไปครู่ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ สุดท้ายจึงหันกลับไปบอกผู้ติดตาม “เสี่ยวชิง ไปชำระเงินให้เรียบร้อย”
“ท่านชาย ข้าไม่มีเงินขอรับ” เสี่ยวชิงตอบกลับด้วยสีหน้าขื่นขม
“ไม่มีเงิน?” เจ้าฉีชะงัก “เจ้าไม่ได้พกเงินออกมาด้วยหรือ?”
เสี่ยวชิงส่ายหน้า
อู๋ฝานมองคนทั้งสองด้วยการตกใจ “ออกมาจากบ้านกันอย่างไรไม่พกเงินทองมาด้วย? นี่ใช่การหนีออกจากบ้านแน่หรือ? เกรงว่าไปได้ไม่ไกลคงหิวตายก่อนแล้วกระมัง?”
เจ้าฉีและเสี่ยวชิงต่างอับอาย เนื่องจากในอดีตพวกนางไม่เคยต้องกังวลเรื่องเงินทอง ไม่เคยแม้ใช้จ่ายผ่านมือตัวเองเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นครั้งนี้เมื่อเดินทางออกมาจึงไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้ สุดท้ายจึงเผชิญกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
อู๋ฝานถึงกับต้องส่ายหน้าพูดไม่ออก เนื่องจากไม่ทราบว่าคนทั้งสองนี้คิดไม่ถึงจริงหรือว่าไร้ซึ่งสมองกันแน่