ตอนที่ 2319 : การเปิดออกของประตู
ตงหลินหยานเซว่นั่งอยู่ภายในถ้ำเพียงลำพัง นางพิงกำแพงถ้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง นางเอาแต่จ้องไปยังทางเข้าตรงหน้า
นางอยู่เพียงลำพังหลังจากที่เจี้ยนเฉินออกจากที่นั่นไป นางบาดเจ็บและไม่อาจจะปกป้องตัวเองได้ นางเริ่มกังวลและอึดอัด ความกังวลนั้นเกดขึ้นท่วมท้นหัวใจนาง
เมื่อเผชิญหน้ากับฉิงฉัน ราชาเทพธาตุแสงทั้งแปดคนที่นางควรจะพึ่งพาได้กลับทิ้งนางโดยไม่ลังเลเพื่อหนีเอาตัวรอด นางถูกทิ้งและหมดหนทาง แต่เจียงหยางซึ่งเป็นคนอ่อนแอที่สุดกลับยังอยู่เคียงข้างนาง แม้แต่ตอนที่นางเป็นภาระ เขาก็ยังไม่คิดจะทิ้งนาง เขากลับมายอมลำบากกับนาง มันทำให้ตงหลินหยานเซว่ตื้นตันใจ
เรื่องนี้ทำให้ตงหลินหยานเซว่เห็นได้ว่าเจี้ยนเฉินเป็นคนแบบไหน
ตอนนั้นเองกลับมีเสียงเท้าดังขึ้นมาจากด้านนอกถ้ำ ตงหลินหยานเซว่เริ่มกังวลและตะโกนออกมาทันที “ใครกัน ? ”
“ข้าเอง ! ” เสียงของเจี้ยนเฉินดังขึ้นมาจากด้านนอก จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาในถ้ำ
ตงหลินหยานเซว่โล่งอกทันทีที่ได้ยินเสียงเจี้ยนเฉิน นางถามขึ้นมาว่า “สถานการณ์ด้านนอกเป็นยังไงบ้าง ? ”
“ก็สงบดี” เจี้ยนเฉินนั่งลงที่จุดเดิมที่เขาเคยนั่ง แสงในตาเขาสั่นไหวพร้อมกับพูดออกมา “หมอกแปลกประหลาดได้ไล่สัตว์อสูรทั้งหมดไป แม้ว่าหมอกจะหายไปแล้วแต่สัตว์อสูรก็ยังไม่กล้าพอที่จะกลับมาที่เขตของตัวเอง ข้าไม่ได้พบสัตว์อสูรแม้แต่ตัวเดียวตอนที่ไปตรวจสอบรอบ ๆ ”
“เราโดนขังอยู่ในหมอกมานาน แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนแต่ดูเหมือนว่าจะกินเวลาเกือบปี อีกไม่นานประตูจะเปิดออก เราแค่ต้องรออยู่ที่นี่”
“แต่ภัยที่อันตรายที่สุดไม่ใช่พวกสัตว์อสูร มันคือฉิงฉัน” ตงหลินหยานเซว่ไม่ได้คลายกังวลเลยแม้แต่น้อย นางยอมแพ้กับการค้นหามุกต้นกำเนิดธาตุแสง นางหวังแค่ว่าจะรอดจากที่นี่ไปได้
“ฉิงฉันอาจจะออกจากที่นี่ไปแล้ว ยังไงซะเวลาก็ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว หากเขาไม่ออกไป ผู้อาวุโสของโถงเซียนธาตุแสงจะแห่กันเข้ามาตอนที่ประตูเปิดออก เขาคงจบสิ้นแน่” เจี้ยนเฉินพูดขึ้นอย่างใจเย็น
“เจ้าก็แค่คาดเดา หากฉิงฉันยังไม่ออกจากที่นี่ไปล่ะ ? เจียงเหยาง ข้ารู้สึกว่าเราจะปลอดภัยกว่าเดิมหากหาที่ซ่อนไกลกว่านี้” ตงหลินหยานเซว่พูดขึ้นมาด้วยความกังวล
“ก็ได้ งั้นเดินทางต่อ” เจี้ยนเฉินหมดคำพูด เพื่อที่จะไม่ให้ตงหลินหยานเซว่สงสัย เขาจึงได้แต่อุ้มนางและเดินทางต่อ
ตอนนี้ตงหลินหยานเซว่ไม่ได้ปฏิเสธเขาแบบเดิม ตอนที่เจี้ยนเฉินอุ้มนางขึ้น นางก็รู้สึกประหลาดขึ้นมา
เวลาผ่านไปช้า ๆ สุดท้ายก็ผ่านไปครบ 1 ปี ผู้อาวุโสมู่จงยืนนำหน้าผู้อาวุโสหลายสิบคนอยู่บนเวทีในโถงศักดิ์สิทธิ์
แน่นอนเนื่องจากโถงเซียนธาตุแสงคือองค์กรชั้นนำของที่ราบรกร้าง พวกเขาจึงมีผู้อาวุโสมากกว่านี้ บนเวทีตอนนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
ผู้นำขององค์กรต่าง ๆ ยืนอยู่ด้านล่างเวลที มีเซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธาที่ไม่ใช่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงแต่มีฐานะที่โดดเด่นอยู่ที่นั่นด้วย
ศิษย์น้องของเจี้ยนเฉิน ไป๋หยูเองก็เป็นหนึ่งในพวกนั้นด้วย
“เวลาผ่านไป 1 ปีแล้ว ในที่สุดศิษย์พี่ก็จะได้ออกมาจากโลกดวงจันทร์และดวงดาว ข้าสงสัยว่ามันเป็นโลกแบบไหนกัน ข้าต้องถามศิษย์พี่ตอนที่เขาออกมา” ไป๋หยูที่ยืนอยู่ในฝูงชนมองไปยังผู้อาวุโสมู่จง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ข้าขอประกาศว่าการทดสอบ 1 ปีในโลกดวงจันทร์และดวงดาวสิ้นสุดลงแล้ว ตัวแทน 3 จาก 5 คนจะถูกคัดตกรอบโดยตัดสินจากจำนวนมุกต้นกำเนิดธาตุแสงที่พวกเขาได้รับมา ตอนนี้เปิดประตูออก ! ” ตอนที่ผู้อาวุโสมู่จงพูดนั้น ตราโบราณในมือเขาก็ได้แผ่พลังออกมา เขาได้สะบัดมันขึ้นไปในท้องฟ้าและมิตินั้นก็บิดเบี้ยวกลายป็นประตูขึ้นมา
“ประตูเปิดออกแล้ว ออกมาได้เหล่าตัวแทน ! ” ผู้อาวุโสมู่จงตะโกนออกมา เสียงของเขาผ่านประตูเข้าไปดังก้องในโลกดวงจันทร์และดวงดาวไกลหลายล้านกิโลเมตร
ผู้อาวุโสมู่จงคือผู้อาวุโสที่แก่ที่สุดในโถงเซียนธาตุแสง ไม่ใช่แค่เขามีอำนาจอย่างมาก แต่เขายังเป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุด เขามีฐานะเท่าเทียมกับยอดฝีมือขั้นอสงไขยชั้นสวรรค์ที่ 9 ซึ่งทำให้เขาเป็นรองแค่รองหัวหน้าทั้งแปดในด้านสถานะ
ตอนที่ประตูเปิดออก เหล่าราชาเทพธาตุแสงทั้งหมดด้านล่างต่างก็มองไปที่ประตูและเริ่มพูดคุยกัน
“สุดท้ายก็จบลงซะที ข้าสงสัยว่าผู้แข่งขัน 2 คนที่เข้ารอบคือใคร กงเจิงซิ่น, เซียะเก่อ, ต้าอาน, ซินปิงและตงหลินหยานเซว่ ใครจะได้ไปต่อและตำแหน่งเซียนผู้ถูกเลือกจะเป็นของใคร..”
“ไม่ใช่ว่ามันชัดเจนอยู่แล้วรึไง ? มันต้องเป็นกงเจิงซิ่นกับซินปิง ยังไงซะพวกเขาก็เป็นสองคนแรกที่สร้างแกนวิญญาณ 5 สีได้ในหมู่ผู้แข่งขันทั้งห้าคน…”
“ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น แม้ว่าทั้งสองคนจะสร้างมันขึ้นมาได้ก่อน แต่ต้าอานกับเซียะเก่อก็ไม่ได้อ่อนแอ พวกเขาเองก็มีแก่นวิญญาณ 4 สีขั้นปลายเหมือนกัน…”
“เจ้าลืมตงหลินหยานเซว่ไปแล้วหรือ ? อย่าลืมว่าความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วในสองปีนี้ ในแต่ละปีนางจะทะลวงผ่านขั้นการบ่มเพาะได้ แค่ 2 ปี นางก็ยกระดับขึ้นมาจากแก่นวิญญาณ 4 สีขั้นต้นมาเป็นแก่นวิญญาณ 4 สี่ขั้นปลาย มันไร้เหตุผลสิ้นดี…”
“ตงหลินหยานเซว่ยกระดับขึ้นมาได้อาจจะเป็นเพราะพึ่งองค์ประกอบภายนอก พื้นฐานของบางยังไม่ใกล้เคียงกับกงเจิงซิ่นหรือซินปิง นางยังเทียบพวกเขาไม่ได้…”
“อย่าลืมว่ายังมีเจียงหยางอยู่ข้างกายตงหลินหยานเซว่อยู่ แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของเขาจะอ่อนแอ แต่เขาก็คือควนที่เกี่ยวข้องกับรองหัวหน้าซวนจ้าน ใครจะไปรู้ว่าเขามีอะไรซ่อนเอาไว้บ้าง หากเขาช่วยตงหลินหยานเซว่ เราก็ไม่รู้ว่าใครกันที่จะเป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบครั้งนี้…”
….
ตอนที่รอกันอย่างอดทน เหล่าราชาเทพธาตุแสงต่างก็พากันถกเถียงกันเรื่องผู้แข่งขันทั้งห้า
ผู้อาวุโสบนเวทีมองไปที่ประตูด้วยความคาดหวัง
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ประตูค่อย ๆ เปิดออก แต่ไม่คาดคิดว่ากลับยังไม่มีใครออกมา
“มีบางอย่างผิดปกติ” ผู้อาวุโสมู่จงขมวดคิ้ว ตาของเขาเป็นประกายและมองไปที่ประตู สถานการณ์ผิดปกตินี้ทำให้เขาอึดอัด
“ผู้อาวุโสหลิวชุ่ย ,ผู้อาวุโสเซี่ยเฟิง ไปที่โลกดวงจันทร์และดวงดาวแล้วตรวจสอบสถานการณ์” ผู้อาวุโสมู่จงบอกับผู้อาวุโสทั้งสองข้างกายเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ผู้อาวุโสทั้งสองบินขึ้นไปทันที กฎแห่งศรัทธาถูกใช้ออกมา ในพริบตาพวกเขาก็หายเข้าไปในประตู
ผู้นำองค์กรชั้นนำที่มารวมตัวกันต่างก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ พวกเขาพากันเงียบและมองไปที่ประตู
ไม่นาน ผู้อาวุโสหลิวชุ่ยกับผู้อาวุโสเซี่ยเฟิงก็กลับออกมา พวกเขาได้ลงมายืนที่บนเวทีด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวและพูดขึ้นมา “ข่าวร้าย เราไม่อาจจะรับรู้ได้ถึงพลังของผู้อาวุโสเหอเทียน และเราก็พบเลือดของผู้อาวุโสเหอเทียน รวมถึงร่องรอยการต่อสู้อยู่ใกล้ ๆ ผู้อาวุโสเหอเทียนอาจจะตายไปแล้ว”
“เจ้าว่าไงนะ ? ! ” สีหน้าของผู้อาวุโสมู่จงเปลี่ยนไปทันที