บทที่ 443 หนีออกจากบ้าน
บทที่ 443 หนีออกจากบ้าน
“เอ่อ เดี่ยวสิ!…” อู๋ฝานอุทานด้วยท่าทีประหลาดใจขณะชี้คนทั้งสอง
เมื่อครู่เขาเพิ่งเชิญอีกฝ่ายขึ้นรถลาก ทว่าคนทั้งสองสงสัยว่าเขาคิดทำอะไรกันแน่ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเดินขึ้นรถลากด้วยตัวเอง
“ขึ้นมา!” คนที่ถูกชนเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงรีบเร่ง
ทั้งสองขึ้นรถลากอย่างเร่งร้อน อู๋ฝานได้แต่ยืนมองด้วยความสับสนเพราะไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“รีบขึ้นมาแล้วไปจากที่นี่ได้แล้ว!” ชายคนที่ถูกชนเผยสีหน้าท่าทีกล่าวเร่งอู๋ฝาน
เหมือนว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นเจ้าของรถลากไปเสียแล้ว
อู๋ฝานขึ้นโดยสารรถอีกครั้งด้วยความสงสัย ส่วนเจ้านายและข้ารับใช้ไปนั่งหลบตรงมุมของรถลาก ขณะเห็นคนขึ้นมากันครบแล้วจึงรีบบอก “รีบไปเร็วเข้าสิ!”
“นี่ใช่หลบหน้าศัตรูหรืออะไรทำนองนั้นหรือไม่? หากเป็นเช่นที่ว่าก็ขอให้ออกไปจากรถโดยเร็วด้วย ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงยังไม่อยากมีปัญหาหรือคดีติดตัว” อู๋ฝานเอ่ย
“ไม่มี! ไม่ใช่! เร็วเข้าสิ ไว้พวกเราจะเล่าให้ฟัง” คนที่ถูกชนยังคงเร่งอู๋ฝานไม่หยุด
อู๋ฝานมองคนทั้งสองอีกครั้ง แม้จะมีท่าทีร้อนรน แต่ไม่ได้มีอาการตื่นตระหนกให้เห็น น่าจะไม่ได้ไปทำอะไรผิดกฎหมายบ้านเมืองมา
เมื่อคิดได้ดังนั้นอู๋ฝานจึงบอกลั่วหยางที่อยู่ด้านนอก “เดินทางต่อ”
“ขอรับ” ลั่วหยางรับคำ ก่อนรถลากจะเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง
ผู้โดยสารหน้าใหม่ทั้งสองลอบมองผ่านม่านของรถออกไป สีหน้าท่าทีราวกับกำลังลำบากใจ อู๋ฝานมองตามออกไป และเห็นกลุ่มคนนับสิบในชุดลำลอง แต่ออร่าจากร่างกายนั้นเห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปจากคนทั่วไป อีกทั้งท่าทีของพวกเขาก็ราวกำลังตามหาอะไรบางอย่างอยู่
“พวกเขาตามหาตัวพวกท่านหรือ?” อู๋ฝานบุ้ยไปทางกลุ่มคนด้านนอกพลางถาม
คนทั้งสองไม่ตอบ สายตาเอาแต่จ้องมองภายนอก
“หนีออกจากบ้านกันหรืออย่างไร?” อู๋ฝานถามอีกครั้งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เหตุผลที่อู๋ฝานเดาแบบนี้ เพราะคนทั้งสองเป็นสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษ เรียกได้ว่าเป็นวิธีย้อนยุคที่มักพบเห็นในละครทีวีเวลาสตรีอยากลักลอบออกมาภายนอก อีกประเด็นก็คือ แม้คนนับสิบเหล่านั้นจะกำลังตามหาคนอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีเจตนาสังหารแผ่ออกมา กลับกัน พวกเขาดูร้อนใจและเป็นกังวลเสียด้วยซ้ำ ราวกับกำลังตามหาบุคคลสำคัญของพวกตนที่หายไป
“รับผิดชอบด้วย!” คนที่ถูกชนหันกลับมามองอู๋ฝานด้วยสายตาดุร้าย
เรียกได้ว่าค่อนข้างเจ้าอารมณ์ไม่น้อย
“หากยังไม่บอกความจริง ข้าจะสั่งหยุดรถม้าและเรียกคนเหล่านั้นมาตรวจสอบให้รู้เรื่อง” อู๋ฝานตอบกลับ
อีกฝ่ายจ้องมองตอบอย่างโกรธเคือง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่กำลังถูกข่มขู่ ทว่าแม้สีหน้าโกรธเคืองเพียงใด อู๋ฝานก็ไม่คิดหวั่นไหวแม้แต่น้อย
“ก็ได้!” ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมรับความพ่ายแพ้ในศึกนี้ แต่แม้ตอบรับก็เห็นได้ว่ากัดฟันตอบ
“มีปัญหากับครอบครัวงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่!”
“โดนบังคับให้แต่งงาน?”
“ไม่ใช่!”
……
อู๋ฝานเป็นฝ่ายส่งคำถามออกไป อันที่จริงเขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรในตัวหญิงสาวมากนัก เพียงแต่ต้องการชมอารมณ์โกรธเคืองว่าจะได้รับการตอบสนองเช่นไร ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังโกรธ ทว่าก็จนใจ จนมีแต่ต้องตอบคำถาม
สีหน้าท่าทีเช่นนี้ นับว่าน่ารักน่าชังไม่น้อย
แม้ผู้หญิงคนที่ถูกชนจะไม่พอใจกับคำถามเซ้าซี้ของอู๋ฝาน แต่เพื่อไม่ให้ความแตก นางยังคงกัดฟันตอบคำถามอย่างไม่ขาดตอน
“ชอบอาหารรสเปรี้ยวหรือว่ารสหวาน?” อู๋ฝานเอ่ยคำถามไร้สาระ
“ถามไร้สาระเกินไปแล้ว!” หลังมั่นใจว่ารถลากออกมาไกลห่างจากกลุ่มคนที่ตามหาตนเอง นางจึงตัดสินใจไม่ทนถูกกระทำอีกต่อไป พร้อมเตะใส่อู๋ฝาน
แต่แค่นางยืดขาออกไปกลับต้องขมวดคิ้วก่อนจะสูดหายใจเย็นเยือกเข้าปอด
“ได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่ยอมรับว่าบาดเจ็บ ไม่แปลกใจที่จะหนีออกจากบ้าน” อู๋ฝานพึมพำเสียงเบา ขณะนำขวดยาสมานแผลออกมาจากห่อข้าง ๆ “รับยารักษาจะได้อาการดีขึ้น”
“อย่าแตะต้องตัวข้า!” เมื่อเห็นอู๋ฝานกำลังจะยื่นมือมาแตะต้องตนเอง นางก็เร่งร้อนปัดมือพร้อมตะโกน “หากกล้าแตะต้อง ข้าจะให้เสด็จ… ท่านพ่อจับกุมตัวเจ้า!”
อู๋ฝานมองอีกฝ่ายก่อนจะหัวเราะเสียงเบา “วางตัวใหญ่โต หวงตัวเป็นสตรี ในเมื่อไม่ใช่ผู้หญิงจะกังวลว่าข้าจะลวนลามแตะเนื้อต้องตัวไปทำไมกัน?”
“ข้า…” นางถลึงตามองอู๋ฝานอย่างโกรธเคือง เห็นได้ชัดว่าไร้คำโต้เถียง
“อย่าแตะต้องตัวท่านชาย” ตอนนี้เองที่หญิงผู้ติดตามเอ่ยขึ้น ก่อนจะคว้าขวดยาจากมือของอู๋ฝานไป
อู๋ฝานก็ไม่คิดบีบบังคับ อย่างไรที่พูดเมื่อครู่ก็เพราะต้องการหยอกเย้าอีกฝ่ายอยู่แล้ว
“นายท่าน ด้านหน้ามีภัตตาคารอยู่ พวกเราแวะทานก่อนไปต่อดีหรือไม่ขอรับ?” ลั่วหยางเอ่ยถามขึ้นมา
“ทานอาหารก่อนก็แล้วกัน เดาว่าคนของราชสำนักในเวลานี้คงยังไม่ทำงานกันหรอก” อู๋ฝานตอบกลับ
อู๋ฝานมาเมืองหลวงครั้งนี้ก็เพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิ แต่ก่อนหน้านั้นต้องไปรายงานตัวเสียก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีทางเข้าพระราชวังได้ การเข้าเฝ้าจักรพรรดิก็ยิ่งเป็นเรื่องไกลออกไป
รถลากหยุดลงตรงหน้าภัตตาคารสองชั้น อู๋ฝานไม่ได้รีบลงไป แต่หันไปกล่าวกับสองสตรีในคราบบุรุษที่กำลังรักษาบาดแผล “ข้าช่วยพวกท่านหลบเลี่ยงคนเหล่านั้นให้แล้ว นับจากนี้ก็ถือว่าแล้วกันไปก็แล้วกัน” ชายหนุ่มเอ่ยบอก
แม้เขาไม่ทราบตัวตนของคนทั้งสอง แต่สัญชาตญาณร้องบอกว่าสองคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับคนที่ถูกรถลากชน อีกฝ่ายมีกลิ่นอายผู้สูงศักดิ์ติดตัว และกลุ่มคนที่ตามหาตัวนางก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ธรรมดาสักคน
อู๋ฝานเดินทางมาครั้งนี้เพื่อรับรางวัลและที่ดินศักดินา ดังนั้นจึงไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหามากกว่านี้
“คิดว่าข้าต้องการอะไรจากคนผีทะเลเช่นเจ้าอีกงั้นหรือ?” สตรีผู้ถูกรถชนจ้องอู๋ฝานก่อนจะตอบกลับ จากนั้นจึงลงจากรถลากไปด้วยท่าทีขึงขัง
อู๋ฝานเพียงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ สตรีก็มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปมาเช่นนี้ รวมกับเพราะระหว่างทางหยอกอีกฝ่ายไปมาก หากนางไม่โกรธคงเป็นเรื่องแปลกเกินไป
“พวกเราก็ไปกันบ้างดีกว่า หาอะไรทานให้อิ่มท้อง ไม่รู้เลยว่ารสชาติอาหารของเมืองหลวงจะเป็นอย่างไรบ้าง” อู๋ฝานบอกกับลั่วหยางและลั่วเยวี่ย
จากนั้นเขาจึงเดินนำสองพี่น้องเข้าภัตตาคาร ทว่าที่ทำให้ประหลาดใจเล็กน้อยคือการที่สตรีทั้งสองซึ่งลงจากรถไปก่อนหน้า แท้จริงแล้วไม่ได้ไปไหน แต่ยืนรอตรงหน้าภัตตาคารราวต้องการพูดอะไรสักอย่าง เพียงแต่อู๋ฝานทำเป็นไม่สนใจราวกับมองไม่เห็น เดินผ่านไปตรงเข้าภัตตาคาร
“ท่านชาย นี่ก็ได้เวลามื้อกลางวันแล้ว เหตุใดพวกเราไม่ทานก่อนค่อยเดินทางต่อกันล่ะขอรับ” ผู้ติดตามเอ่ยถาม
สตรีผู้ถูกรถชนแตะท้องตนเองอย่างไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่ามันกำลังร้องท้วงเพราะความหิว ดังนั้นนางจึงพยักหน้ารับ “ก็ดี อย่างไรกองทัพก็เดินด้วยท้อง ทานให้อิ่มแล้วค่อยว่ากัน!”
จบคำ คนทั้งสองก็เดินตรงเข้าภัตตาคารตามหลังพวกอู๋ฝานทั้งสามคนไป
“ยินดีต้อนรับขอรับ แขกหลายท่านเชิญชั้นบน” เพียงพวกอู๋ฝานทั้งสามเข้ามาด้านในภัตตาคาร เสี่ยวเอ้อร์ที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มก็เข้ามาพูดด้วยความนอบน้อม
อู๋ฝานมองโถงกว้างของชั้นที่หนึ่ง และพบว่ามีคนเกือบเต็มแล้ว อย่างไรตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาอาหารพอดี กิจการของภัตตาคารจะคึกคักก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทำให้ชั้นที่หนึ่งไม่เหลือที่นั่งว่าง
พวกอู๋ฝานทั้งสามได้เสี่ยวเอ้อร์ช่วยนำทางไปยังชั้นที่สอง ก่อนจะหาที่นั่งว่าง ๆ เพื่อนั่งลง และขณะกำลังจะเอ่ยปากสั่งอาหารอยู่นั้นเอง ก็ได้เห็นสองร่างที่ดูคุ้นเคยมีเสี่ยวเอ้อร์อีกคนของร้านนำทางมายังชั้นที่สองด้วยเช่นเดียวกัน
…………………………………………………..