บทที่ 440 เตรียมกลับ
บทที่ 440 เตรียมกลับ
ผ่านไปนานพักหนึ่ง สวีฮุ่ยจึงวางปึกกระดาษในมือลงด้วยอาการตื่นตกใจทางสีหน้า สายตาของเธอมองอู๋ฝานก่อนจะถาม “เจ้าหอ สิ่งนี้มาจากที่ไหนคะ?”
“ผมเขียนขึ้นมาเองครับ” อู๋ฝานยิ้มตอบ “เมื่อวานตอนไปหอสมุดเพื่ออ่านวิธีการฝึกฝนวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่า ผมพบว่ามันค่อนข้างน่าประทับใจเลยบันทึกความเข้าใจส่วนตัวต่อวิชาเอาไว้ เพื่อหวังว่าพวกคุณจะนำไปใช้ประโยชน์ในการฝึกฝนได้”
“มีประโยชน์ค่ะ มีประโยชน์มาก!” สวีฮุ่ยตอบรับด้วยอาการตื่นเต้นยินดี “เจ้าหอเป็นอัจฉริยะจริง ๆ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าในช่วงหนึ่งวัน ถึงกับก้าวข้ามความเข้าใจหลายสิบปีของพวกเรา ฉันกล้าพูดเลยว่าในช่วงพันปีของหอคันธะสงัดแห่งนี้ ไม่เคยมีใครเข้าใจวิชาได้ลึกล้ำไปกว่าเจ้าหออย่างแน่นอน ฉันที่ได้อ่านสรุปยังเห็นปัญหาที่กวนใจตัวเองอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้ไร้เบาะแส แต่ตอนนี้เจ้าหอช่วยชี้ทางสว่างให้ เสมือนสำนักของเราได้รับพรจากสวรรค์ก็ไม่ปานค่ะ!”
สวีฮุ่ยอดไม่ได้จนต้องแสดงอาการตื่นเต้นยินดีออกมา เธอฝึกฝนวิชานี้มานานหลายปี แต่ความคืบหน้ากลับเชื่องช้า ความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ของเธอมาจากการฝึกฝนวิชาอื่นซะมากกว่า ขณะที่วิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าอันเป็นสิ่งล้ำค่าของสำนักกลับแทบไม่คืบหน้า
แม้สวีฮุ่ยนึกเสียดายแต่ก็ยอมรับ อย่างไรตลอดประวัติศาสตร์นับพันปีของหอคันธะสงัด ก็ไม่เคยมีใครสามารถฝึกฝนวิชากระบี่นี้ได้อย่างถ่องแท้ การที่เธอไม่เข้าใจจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ตอนนี้เรื่องราวกลับเกินคาดคิด คือการที่อู๋ฝานใช้เวลาเพียงหนึ่งวันทำความเข้าใจวิชากระบี่ดังกล่าว ถึงขนาดเขียนบันทึกประสบการณ์การฝึกฝนด้วยตัวเอง เพียงเธอได้อ่านประสบการณ์นั้นก็ได้พบว่าการฝึกฝนบางส่วนที่เคยกวนใจตัวเธอนั้นถูกคลี่คลายลงไปได้ มันเป็นการแสดงให้เห็นระดับความรู้ความเข้าใจของเจ้าหอคนใหม่
วิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าเป็นวิชาประจำสำนัก แต่ผ่านมาก็นานกลับไม่เคยมีใครสามารถฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุดได้ กระทั่งถูกคนนอกทั้งหลายเย้ยหยันว่ามีดีแต่ชื่อ แม้แต่ภายในหอคันธะสงัดเอง บางคนก็ยังรู้สึกว่าเรื่องราวของวิชาดังกล่าวเกินจริงไปมาก
ทว่าตลอดมาสวีฮุ่ยมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ เธอรับรู้ได้ว่ามันเป็นเพราะตนและผู้อื่นไม่อาจทำความเข้าใจได้ ตัววิชาไม่ได้มีปัญหาอะไร ขณะนี้การปรากฏตัวของอู๋ฝานได้ช่วยคลี่คลายปัญหาเหล่านั้น มันอาจเป็นโอกาสที่ได้ทำให้วิชานี้แสดงพลังอำนาจที่แท้จริงออกมา!
ปัจจุบันสวีฮุ่ยยิ่งนับถืออู๋ฝานผู้เป็นเจ้าหอคันธะสงัดคนใหม่ อีกฝ่ายในใจของเธอกลายเป็นสุดยอดอัจฉริยะไร้เทียมทาน การได้อีกฝ่ายมาเป็นเจ้าสำนักถือเป็นโอกาสอันดีและเป็นเกียรติแก่หอคันธะสงัดอย่างไม่ต้องสงสัย
“ชมกันขนาดนี้ผมจะตัวลอยแล้วนะครับ ฮ่า ฮ่า” อู๋ฝานหัวเราะตอบรับ
“ฉันพูดความจริงทุกประการค่ะ เจ้าหอคืออัจฉริยะไร้เทียมทานในรอบพันปีแห่งแวดวงผู้ฝึกตนซะด้วยซ้ำไปค่ะ!” สวีฮุ่ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
เพราะปัญหาที่คั่งค้างอยู่ในสำนักของพวกเธอมานับพันปี กลับคลี่คลายลงได้เพราะอู๋ฝาน เพียงแค่นี้ก็มากพอทำให้สวีฮุ่ยมองอีกฝ่ายเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่แม้ในรอบพันปียังพานพบได้ยาก
อู๋ฝานที่ได้ยินคำพูดเยินยอไม่ขาดปากของสวีฮุ่ย ตอนนี้จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ผมคิดจะอ่านวิชาที่หอคันธะสงัดใช้ฝึกฝนทั้งหมด เพื่อเขียนประสบการณ์ส่วนตัวลงไปให้ทุกคนนำไปใช้ฝึกฝนกันต่อไปครับ”
“ขอบคุณเจ้าหอค่ะ!” สวีฮุ่ยรับคำด้วยความตื่นเต้นยินดี
อู๋ฝานมีความรู้ความเข้าใจอันลึกล้ำต่อวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าได้ ดังนั้นวิชาอื่นก็ต้องไม่มีปัญหาเช่นกัน ด้วยประสบการณ์ที่ชายหนุ่มจะถ่ายทอดมาให้ เชื่อได้ว่าเหล่าศิษย์ของสำนักจะฝึกฝนคืบหน้ารวดเร็วกว่าในอดีตอย่างไม่ต้องสงสัย
“และผมยังวางแผนจะเปลี่ยนอาวุธของศิษย์ทุกคนในสำนักด้วยครับ” อู๋ฝานเอ่ยคำต่อ “ช่วงนี้ ผมคงจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับหอสมุดและโรงตีเหล็ก เรื่องของสำนักคงต้องฝากคุณช่วยดูแลนะครับ”
“เจ้าหอวางใจได้เลยค่ะ ฉันจะดูแลสำนักให้เรียบร้อย” สวีฮุ่ยรับคำ
เมื่อได้ยินอู๋ฝานบอกว่าต้องการเปลี่ยนอาวุธให้ทุกคนในสำนัก สวีฮุ่ยจึงตื่นเต้นยินดีอีกครั้งหนึ่ง
เธอได้เห็นกระบี่ที่อู๋ฝานทำให้เหมยอวี่และเหมยเสวี่ยแล้ว ความคมกล้าของมันที่ราวกับจะตัดเหล็กได้ประหนึ่งก้อนดิน มันดียิ่งกว่ากระบี่ที่เธอเคยใช้งาน เพียงแค่คิดว่าต่อไปศิษย์ร่วมสำนักทุกคนจะได้ใช้งานกระบี่ในระดับที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันในภายหน้า และเป็นกระบี่ที่บางทีแม้แต่สำนักหลอมกระบี่ก็ไม่อาจตีขึ้นมาได้ สวีฮุ่ยก็ไม่อาจเก็บอาการตื่นเต้นยินดีเอาไว้อีกต่อไป
‘อาจารย์ป้าฮุ่ยเหวิน การตัดสินใจของท่านนั้นปราดเปรื่องจริง ๆ’ สวีฮุ่ยนึกคิดอยู่ในใจ
หากฮุ่ยเหวินไม่หาทางบังคับให้อู๋ฝานยอมรับตำแหน่งเจ้าหอก่อนตาย ลำพังแค่หอคันธะสงัดจะหาทางเอาตัวรอดก็ยังเป็นเรื่องยาก เรื่องการพัฒนาสู่ความก้าวหน้ายิ่งไม่ควรใฝ่ฝันถึง
จากนั้นอู๋ฝานจึงใช้เวลาช่วงกลางวันสร้างอาวุธให้แก่เหล่าศิษย์ ขณะเดียวกันก็ยังสอนและพูดคุยกับเหล่าศิษย์ที่มีฝีมือด้านการตีเหล็กของสำนัก แน่นอนว่าตอนสอนงานเขาจะเลือกใช้แร่ธรรมดาภายในสำนัก ขณะที่พอถึงเวลาสร้างอาวุธให้เหล่าศิษย์ในสำนัก เขาจะไปเก็บตัวอยู่ในห้องเพียงลำพังเพื่อใช้แร่อุกกาบาตดวงดาวจากโลกแห่งเกม
หลังอู๋ฝานเข้ามาสอนงาน ระดับงานฝีมือของเหล่าศิษย์จึงก้าวหน้าขึ้นจากระดับต้นเป็นระดับกลาง เรียกได้ว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างมั่นคง ตราบใดที่พวกเธอเข้าใจในสิ่งที่อู๋ฝานสอน การจะสำเร็จถึงระดับสูงก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง หรือบางทีต่อไปอาจจะมีทางปีนป่ายขึ้นไปจนถึงระดับมาสเตอร์
นอกจากสร้างอาวุธ อู๋ฝานยังคอยใช้งานช่องโหว่ของโลกแห่งเกมเพื่อเรียนรู้สารพัดวิชาจากหอสมุดของสำนัก ขณะเดียวกันก็เริ่มจัดแจงความเข้าใจของตนเองเก็บบันทึกไว้ในหอสมุดเพื่อให้เหล่าศิษย์ได้ใช้ศึกษา เพราะเคล็ดลับการฝึกฝนเหล่านี้ จะช่วยให้ศิษย์สำนักมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าเรื่องใดต่างก็ทำสวีฮุ่ยนึกยินดีทั้งสิ้น
เมื่อได้ใช้เวลาพักฟื้น เป้ยอวี่ฉวนและคนอื่นที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ก็ดีขึ้นมาก สวีฮุ่ยเองก็ใช้ช่วงที่รับคนเลื่อนขั้นให้แก่ศิษย์จำนวนหนึ่ง เรียกได้ว่าหลังหอคันธะสงัดผ่านพ้นช่วงพักฟื้นตรงนี้ไปได้ ความแข็งแกร่งจะหวนกลับคืนมาอีกครั้ง กระทั่งว่าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าในอดีต
เพราะความคืบหน้าอย่างมั่นคงนี้ ทำให้อู๋ฝานคิดเรื่องเดินทางกลับ
แม้ช่วงเวลาที่ผ่านมาชายหนุ่มจะคอยจัดการเรื่องราวของหอคันธะสงัด แต่ใจนั้นนึกถึงเรื่องของกิจการที่โลกภายนอกอยู่ตลอด แต่เพราะหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในฐานะเจ้าหอทำให้ยังไม่อาจจากไป ขณะนี้เมื่อเห็นว่าสำนักกำลังก้าวหน้าไปได้ด้วยดี และในไม่ช้าก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าในอดีต ดังนั้นเขาจึงเกิดความคิดเรื่องเดินทางกลับ
“เจ้าหอจะไปแล้วเหรอคะ?” สวีฮุ่ยที่ได้ยินคำพูดของอู๋ฝานถึงกับต้องมองด้วยอาการตื่นตกใจ
“ใช่ครับ” อู๋ฝานพยักหน้ารับ “ตอนนี้สำนักฟื้นตัวและมั่นคงแล้ว ไม่มีความจำเป็นให้ผมต้องอยู่ที่นี่ตลอด เรื่องที่ควรทำผมก็จัดการไปเกือบหมดแล้ว และช่วงที่ผ่านมาคุณก็คอยดูแลสำนักตั้งแต่ต้นมาตลอด ทั้งยังทำได้ด้วยดี ต่อให้ผมไม่อยู่ที่นี่ก็ไม่น่าส่งผลกระทบอะไรครับ”
“แต่ท่านเป็นเจ้าหอของพวกเรา ถ้าไม่อยู่อาจทำให้เกิดความระส่ำระส่ายขึ้นได้นะคะ” สวีฮุ่ยพูดออกมาด้วยความลังเล
“ผมส่งต่อตำแหน่งเจ้าหอให้กับคุณได้ครับ” อู๋ฝานตอบกลับ
สวีฮุ่ยที่ได้ยินคำพูดของอู๋ฝานถึงกับทรุดตัวลงคุกเข่าพร้อมรีบอธิบาย “เจ้าหอ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นเลยนะคะ!”