ตอนพิเศษ 71-1 ความจริงของตำหนักเมฆา ร่องรอยของน้องชาย (2)
คนที่อยู่ตรงนั้นนอกจากหมิงซิวแล้วไม่มีใครมองร่างเดิมของเฉียวเวยเวยออก ทุกคนต่างคิดว่านางเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา
แต่ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่งถึงขั้นเข้าไปในข่ายอาคมที่กระทั่งผู้ฝึกตนเทพก็ยังไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปได้ เรื่องนี้น่าเหลือเชื่อมากจริงๆ หรือว่า… ข่ายอาคมนี้จะไม่ส่งผลต่อคนธรรมดา?
จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ไม่อย่างนั้นเด็กสาวที่เพิ่งหายจากป่วยหนักจะทะลุผ่านข่ายอาคมเข้าไปได้อย่างไร
เมื่อมี “ชุดไหมสุวรรณ” เดินได้เช่นเฉียวเวยเวยนี้ คณะของไห่คงจื่อจึงเข้าไปในข่ายอาคมกันได้อย่างราบรื่น
อวิ๋นเชียนรั่วตั้งใจเลือกจุดที่คนน้อยในการเข้าไปด้านใน เช่นนี้จะได้ไม่ต้องบังเอิญเจอกับคนอื่น และป้องกันไม่ให้ฐานะของตนกับพี่ชายถูกเปิดเผย
“พี่หญิงเสวี่ยรู้ว่าข้ามาหาพี่ที่นี่ จึงจัดเตรียมที่พักไว้ให้พวกเราแล้ว!” อวิ๋นเชียนรั่วเอ่ยด้วยหน้าตายินดี เดินนำคณะไปทางใต้ของเมืองกลาง จนไปถึงบ้านหลังเล็กที่เงียบสงบหลังหนึ่ง
ด้านนอกบ้านมีการตั้งข่ายอาคมเอาไว้ ตัวข่ายอาคมมีมนต์พรางตา มองไปแล้วจะเหมือนหนองน้ำที่แห้งเหือด แต่เมื่อเข้ามาแล้วจะพบว่าที่นี่คือแดนสุขารมย์โดยแท้จริง
อวิ๋นเชียนรั่วกลับเดินไปในสวนที่เต็มไปด้วยแมกไม้ นางมองพี่ชายตนเองแล้วเอ่ยด้วยความยินดีว่า “ข้าไม่รู้ว่าพี่ชายจะพาคนมาด้วยมากเพียงนี้ โชคดีที่พี่หญิงเสวี่ยมองการณ์ไกล จัดเตรียมบ้านพักไว้ให้ใหญ่พอ! ตอนข้าก่อร่างเดิมก็พักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ข้าเลยจะมาพักที่นี่ทุกปี!”
ระหว่างทางมานี้ เฉียวเวยเวยได้ยินบ่อยที่สุดก็คือคำว่าพี่หญิงเสวี่ย
เฉียวเวยเวยก็อยากให้อวิ๋นเชียนรั่วเรียกนางว่าพี่หญิงเวยเวยบ้าง ถึงแม้นางจะเด็กกว่าอวิ๋นเชียนรั่วสองหมื่นปีก็ตาม
แต่นางตัวสูงนี่
หลิงจือก็อาศัยว่าตนเองรูปร่างสูง ถึงได้กล้าเรียกตนเองว่าพี่ต่อหน้ามังกรน้อยอายุสองร้อยปีเช่นนาง
เฉียวเวยเวยเขยิบเข้าไปหาอวิ๋นเชียนรั่ว เขย่งปลายเท้าพยายามให้ตนเองดูสูงกว่านางอีกนิด
อวิ๋นเชียนรั่วกลับไม่สนใจความตั้งใจของเฉียวเวยเวย อวิ๋นเชียนรั่วตอนเกิดเรื่อง อายุของความรู้สึกนึกคิดอยู่ที่เจ็ดแปดขวบเท่านั้น ตลอดหลายปีมานี้จิตตั้งต้นนางก็หลับใหลอยู่ตลอด จนกระทั่งเมื่อสองร้อยปีก่อนนางถึงได้ก่อร่างจริงขึ้นใหม่แล้วถึงได้เริ่มเจริญเติบโตต่อ ช่วงเวลาสองร้อยปีในโลกมนุษย์ทั่วไปอาจจะยาวนานมาก แต่สำหรับเผ่าเทพกลับเป็นแค่ชั่วเวลาดีดนิ้วเท่านั้น เวลานี้นางจึงเป็นแม่นางน้อยที่เข้าใจโลกบ้างไม่เข้าใจโลกบ้างโดยแท้จริง
ในบ้านมีเรือนหลักหนึ่งหลัง กับเรือนรองเล็กๆ อีกหลายหลัง หมิงซิวกับอวิ๋นเชียนรั่วเข้าพักที่เรือนหลัก คนอื่นๆ มีไห่คงจื่อจัดการจัดสรรที่พักให้
อวิ๋นเชียนรั่วหันมาเห็นว่าเฉียวเวยเวยตามนางกับพี่ชายเข้ามาในเรือนหลักด้วย จึงเอ่ยออกไปอย่างใจคิดว่า “เจ้าไม่ได้พักที่นี่ เจ้าไปหาไห่คงจื่อ ให้เขาหาห้องให้เจ้าอยู่สิ”
หมิงซิวบอกว่า “นางจะพักที่นี่”
อวิ๋นเชียนรั่ว “พี่ชาย!”
เฉียวเวยเวยก้าวยาวๆ เข้ามา ไม่เพียงนางที่เข้ามา ผู้ฝึกตนสาวคนนั้นก็ตามเข้ามาด้วย
อวิ๋นเชียนรั่วเอามือเท้าสะเอว ทำแก้มป่องเอ่ยว่า “เหตุใดถึงยังมีอีกคนด้วยล่ะ”
ผู้ฝึกตนหญิงได้รับคำสั่งจากท่านเทพให้ติดตามคอยรับใช้เฉียวเวยเวยตลอดเวลา นางเหลือบมองอวิ๋นเชียนรั่วที่หน้าตาบูดบึ้งทีหนึ่ง แล้วส่งยิ้มเป็นกันเองไปให้ “ท่านเทพกลัวว่าแม่นางทั้งสองจะไม่มีคนคอยรับใช้ ถึงได้ให้ข้ามาอยู่คอยให้แม่นางทั้งสองเรียกใช้”
อวิ๋นเชียนรั่วกลับคิดว่าพี่ชายตั้งใจส่งคนมาคอยดูแลตน ส่วนเด็กสาวปุถุชนนั่นแค่พลอยได้อานิสงค์ไปด้วยเท่านั้น นางเชิดคางขึ้นเอ่ยอย่างได้ใจ “พี่ชายข้าเอ็นดูข้าเช่นนี้แหละ!”
อวิ๋นเชียนรั่วเหลือบมองหน้าผู้ฝึกตนหญิง “หน้าเจ้าเป็นอะไร”
ผู้ฝึกตนหญิงลูบแก้มด้านขวาตนเอง “ก่อนหน้านี้เคยบาดเจ็บ”
บาดแผลทั่วไปสามารถหายได้ แต่ที่ถูกอาวุธวิเศษทำร้าย ลวกเข้าไปถึงจิตตั้งต้นของนาง ไม่ว่านางจะรักษาตัวดีเท่าไรก็ไม่อาจลบแผลเป็นที่อัปลักษณ์นี้ไปได้
ตามปกตินางใช้แป้งผัดหน้ากับผงชาดกลบไว้ แต่วันนี้ด้วยอารามรีบร้อนจะหนีออกจากหุบเขาซือกั้วจึงลืมไปเสีย
อวิ๋นเชียนรั่วเอ่ยอย่างตัดปัญหา “ช่างเถิด ที่นี่ไม่มีคนอื่นคอยรับใช้แล้ว เจ้าไปช่วยข้าเก็บกวาดห้องสักหน่อยแล้วกัน พี่ชายข้าชอบดื่มเมฆหมอกแห่งเขาเซียน ใบชาอยู่บนโต๊ะนั่นแล้ว เจ้าเก็บกวาดห้องเสร็จอย่าลืมไปชงน้ำชามาด้วยล่ะ!”
ผู้ฝึกตนหญิงที่ไม่เคยชงชามาก่อนในใจนึกด่าว่า ชงกับลาเจ้าสิ แน่ภายนอกกับพยักหน้าพร้อมอมยิ้ม “เจ้าค่ะ แม่นางอวิ๋น”
“ใช่สิ เจ้าชื่ออะไรน่ะ”
“จู๋อี”
“อีตัวไหน” อวิ๋นเชียนรั่วถาม
คำว่าอีในชื่อของผู้ฝึกตนหญิงมาจากคำว่าจุดเริ่มต้นของสวรรค์และพิภพ
อวิ๋นเชียนรั่วเลิกคิ้ว “เจ้าชื่อซ้ำกับพี่หญิงเสวี่ยของข้าแล้ว เจ้าจะใช้ชื่อเดียวกับพี่หญิงเสวี่ยของข้าไม่ได้ เจ้าเปลี่ยนชื่อเถิด”
ผู้ฝึกตนหญิง: เปลี่ยนกับลาเจ้าสิ
“แม่นางอวิ๋นโปรดตั้งชื่อให้ด้วย”
อวิ๋นเชียนรั่วในหัวมีแต่ความว่างเปล่า นางเค้นสมองคิดอยู่ครึ่งค่อนวันก็นึกชื่อที่มีเสียงคล้ายกันไม่ออก นางกระแอมเบาๆ ยื่นนิ้วชี้ออกไป “เช่นนั้นก็…ก็เรียกว่าอีที่แปลว่าหนึ่งก็แล้วกัน!”
จู๋อีตอบรับ “ขอบคุณแม่นางอวิ๋นที่ตั้งชื่อให้”
อวิ๋นเชียนรั่วตั้งชื่อให้อีกฝ่ายเสร็จก็เดินเข้าห้องไปอย่างอารมณ์ดี
บ่าวไพร่ที่นี่ถึงแม้จะถูกสั่งให้ออกไปหมดแล้ว แต่ของกินของใช้ล้วนมีอย่างครบถ้วน ขนมที่วางอยู่บนโต๊ะมีแต่ของดีๆ อย่างขนมเปี๊ยะกุหลาบ ขนมเปี๊ยะบุปผา แป้งเกาลัด น้ำผลไม้คั้นสดและผลส้ม
หมิงซิวลงนั่งที่โต๊ะ ปลอกส้มอย่างตั้งใจ
อวิ๋นเชียนรั่วเข้ามานั่ง กอดแขนพี่ชายพลางส่งยิ้มเอาใจ “ปลอกให้ข้าหรือ”
มือหมิงซิวพลันชะงัก หันไปมองเฉียวเวยเวยที่ถือบัวรดน้ำ รดน้ำต้นไม้อยู่ในสวนแล้วยกมุมปากเอ่ยว่า “ใช่ ปลอกให้เจ้า”
อวิ๋นเชียนรั่วเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่ชายลืมไปแล้วหรือว่าข้าไม่ชอบกินส้มน่ะ แต่ถ้าพี่ชายปลอกให้ข้าจะกินให้หมดเลย!”
หมิงซิวระบายยิ้มเอ็นดู “น่ารักมาก”
อวิ๋นเชียนรั่วหันไปก็เห็นเฉียวเวยเวยที่สาละวนกับการรดน้ำต้นไม้อยู่ในสวน นางพึมพำด้วยความงุนงงว่า “เหตุใดพี่ถึงพาปุถุชนมายังแดนเทพด้วยเล่า”
หมิงซิวชะงักไป ทำท่าจะเอ่ยแต่ก็ไม่เอ่ย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งถึงบอกว่า “ข้ากับนางเคยอยู่สำนักเดียวกัน ท่านพ่อท่านแม่ของนางล้วนอยู่ที่นี่”
“อ้อ” อวิ๋นเชียนรั่วเห็นชัดว่าไม่ได้สนใจในเรื่องราวกับเฉียวเวยเวยเท่าไรนัก นางฉีกส้มกลีบหนึ่งที่พี่ชายปลอกเสร็จแล้ว แล้วอยู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยกับพี่ชายด้วยความลังเลว่า “พี่ชาย เหตุใดท่านจึงไม่ถามข้าเลยล่ะว่าพี่หญิงเสวี่ยเป็นอย่างไรบ้าง”
หมิงซิวหลุบตาลง ปลายนิ้วขยับถูกกับผิวส้มเบาๆ “นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“พี่หญิงเสวี่ยนาง…” อวิ๋นเชียนรั่วเพิ่งเอ่ยปาก ก็มีเสียงเครื่องกระเบื้องแตกดังมาจากในสวน
อวิ๋นเชียนรั่ววิ่งไปดูก็เห็นว่ากระถางต้นดอกอวี้หลันที่กำลังบานสะพรั่งตกลงมาแตก กระถางทั้งใบแตกละเอียด ดอกอวี้หลันก็เสียหายไปด้วย
เฉียวเวยเวยถือบัวรดน้ำยืนอยู่ข้างๆ คล้ายเด็กที่ทำความผิด