หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรักตอนพิเศษ 70-2 ความจริงของตำหนักเมฆา ร่องรอยของน้องชาย (1)

ตอนพิเศษ 70-2 ความจริงของตำหนักเมฆา ร่องรอยของน้องชาย (1)

ตอนพิเศษ 70-2 ความจริงของตำหนักเมฆา ร่องรอยของน้องชาย (1)

หมิงซิวถามว่า “หลังจากตำหนักเมฆาถูกล้างตระกูลและเนรเทศผู้คนออกไปแล้ว ยังเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”

อวิ๋นเชียนรั่วบอกว่า “หลังจากตำหนักเมฆาถูกล้างตระกูลแล้ว ศาลเทพสวรรค์ก็ตามหาร่องรอยของพี่ต่อไป พวกเขากลัวว่าพี่จะหนีออกจากแดนเทพ ถึงได้ปิดตายเส้นทางสู่ดินแดนภายนอกทั้งหมด”

แววตาของหมิงซิวเปลี่ยนเป็นดุดัน “ไร้สาระสิ้นดี!”

ทั้งๆ ที่เขาถูกคนไล่ต้อนให้เข้าไปในเส้นทางนั้น คนกลุ่มนั้นพอเห็นกับตาว่าเขาออกไปแล้วก็ยังทำลายกายหยาบของเขาอีก จนเกือบทำร่างเทพเขามอดไหม้ไปด้วย

หากเป็นอย่างที่พวกเขาว่ากันว่าเพื่อป้องกันไม่ให้เขาหลบหนีถึงได้ปิดตายเส้นทางสู่ภายนอก เช่นนั้นเหตุใดตอนเขาเปิดเส้นทางถึงได้มีธนูแสงเล็งตรงมายังแดนเซียนเพื่อรอเขาเล่า นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขารู้ว่ามีความเป็นไปได้ว่าเขาจะพยายามกลับมา ถึงได้คิดอยากฆ่าเขาให้ตายอีกครั้ง!

“พี่ชาย?” อวิ๋นเชียนรั่วตกใจกับไอสังหารของหมิงซิว

หมิงซิวเก็บไอปราณของตนกลับมา เอ่ยกับอวิ๋นเชียนรั่วเสียงอ่อนว่า “ขอโทษด้วย ทำเจ้าตกใจแล้ว”

อวิ๋นเชียนรั่วส่งยิ้มหวาน กอดแขนหมิงซิวเอาไว้แน่นพลางเอ่ยออดอ้อนว่า “ข้าไม่กลัว!”

“เจ้าเล่า เจ้าเป็นมาเป็นไปอย่างไร”

ผ่านไปสองหมื่นปีแล้ว เหตุใดพลังฝึกตนถึงไม่ก้าวหน้าขึ้นสักนิด รูปลักษณ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะไอปราณจากตัวนางที่คุ้นเคย หมิงซิวคงจำนางไม่ได้แล้ว

อวิ๋นเชียนรั่วรู้ว่าพี่ชายกำลังจะถามอะไรจึงตอบไปตามตรงว่า “ข้าไม่อยากถูกเนรเทศจึงแอบหนีออกมากับอาเยี่ย สุดท้ายพวกเราสองคนถูกองครักษ์เทพจับตัวได้ อาเยี่ยเลยถูกขังอยู่ในหอคอยผนึกปีศาจ!”

อาเยี่ยเป็นน้องชายของหมิงซิว และก็เป็นพี่ชายของอวิ๋นเชียนรั่ว แต่อาเยี่ยโตกว่าอวิ๋นเชียนรั่วเพียงขวบปีเดียว จุดนี้ในสายตาของอวิ๋นเชียนรั่วแล้วไม่ต่างอะไรกับฝาแฝดนัก ในใจของนางอาเยี่ยกับนางอายุเท่ากัน อาเยี่ยไม่ใช่พี่ชายของนาง พี่ใหญ่ต่างหากที่ใช่!

พอได้ยินว่าน้องชายถูกขังอยู่ในหอคอยผนึกปีศาจ หน้าตาของหมิงซิวก็ถมึงทึงขึ้นมาทันที

อวิ๋นเชียนรั่วเอ่ยต่อว่า “ข้าบาดเจ็บหนักมาก พี่หญิงเสวี่ยช่วยข้าไว้ พี่หญิงเสวี่ยเอาดวงจิตตั้งต้นของนางซ่อนไว้ แล้วมอบกายเนื้อของนางออกไป พวกเขายังคิดว่าข้าตายไปแล้วเลย! จิตตั้งต้นของข้าหลับใหลอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเมื่อสองร้อยปีก่อน พี่หญิงเสวี่ยช่วยก่อร่างจริงให้ข้าใหม่อีกครั้ง ข้าถึงได้ฟื้นกลับขึ้นมาได้ พี่หญิงเสวี่ยบอกว่าข้าไม่อาจกลับไปใช้รูปลักษณ์เดิมได้อีก ดังนั้นจึงเปลี่ยนหน้าให้ข้า พี่หญิงเสวี่ยยังให้ไข่มุกซ่อนปราณข้าไว้เม็ดหนึ่ง ซึ่งสามารถปิดบังไอปราณของข้าได้ พี่ชาย เจ้ากับข้ามีความสัมพันธ์ระดับสายเลือด ดังนั้นจึงรับรู้ได้ถึงไอปราณจากตัวข้า คนอื่นจะรับรู้ไม่ได้!”

หางตาของเฉียวเวยเวยเหลือบไปเห็นไข่มุกหลากสีที่ส่องประกายในมือของอวิ๋นเชียนรั่ว

เฉียวเวยเวยหยิบไข่มุกเม็ดนั้นมาถือไว้

เมื่อไข่มุกนั้นออกห่างจากกายอวิ๋นเชียนรั่ว ไอปราณของอวิ๋นเชียนรั่วจึงทะลักทะลวงออกไปนอกราชรถ

นอกจากไอปราณจากตัวนางแล้วยังมีไอปราณประหลาดเจืออยู่ด้วย

เฉียวเวยเวยดมกลิ่นแล้วอยู่ๆ ก็สวมกอดอวิ๋นเชียนรั่วโดยมีหมิงซิวกั้นอยู่

อวิ๋นเชียนรั่วกะพริบตาอึ้งๆ

หมิงซิวเหลือบมองเฉียวเวยเวยทีหนึ่ง หลังจากอยู่ด้วยกันมานาน ไม่ว่าปฏิกิริยาอะไรของเฉียวเวยเวย เขาก็พอจะคาดเดาได้ทั้งสิ้น เขาเอ่ยกับอวิ๋นเชียนรั่วว่า “บนตัวเจ้ามีกลิ่นที่เวยเวยชอบ”

อวิ๋นเชียนรั่วร้อนรนขึ้นมาโดยพลัน “อ๋า? กลิ่น? กลิ่นอะไร บนตัวข้ามีกลิ่นอะไรหรือ ข้าเพิ่งอาบน้ำมานะ!”

หมิงซิวถูกนางยั่วให้หัวเราะ ความหม่นหมองในใจมลายหายไปไม่น้อย หมิงซิวหันไปถามเฉียวเวยเวย “ไอปราณของมารมังกรหรือ”

เฉียวเวยเวยนิ่งคิดแล้วพยักหน้า “อื้อๆ”

คิดดูแล้วเมื่อครานั้นรั่วเอ๋อร์คงใช้โลหิตมารมังกรในการก่อร่างจริงใหม่ขึ้นมา จากเป็นไปตามที่เขาคิด มารมังกรตัวนั้นก็คือจอมมารนั่นเอง

จอมมารลอยขึ้นสู่แดนเทพเมื่อสองร้อยปีก่อน รั่วเอ๋อร์ก็ก่อร่างจริงขึ้นใหม่เมื่อสองร้อยปีก่อนเช่นกัน ช่วงเวลาประจวบเหมาะกันพอดี

หากหาเสวี่ยหลันอีพบก็จะได้รู้ร่องรอยของจอมมาร และตำหนักของเสวี่ยหลันอีก็อยู่ไม่ห่างจากหอคอยผนึกปีศาจ ถึงเวลานั้นจะได้ถือโอกาสไปช่วยน้องชายออกมาด้วย

เมื่อวางแผนเสร็จแล้ว หมิงซิวก็ให้ราชรถไปจอดอยู่ที่ทางเดินเล็กๆ ริมป่า

พอราชรถหยุดจอด พวกไห่คงจื่อก็หยุดไปด้วย

หมิงซิวเดินออกจากราชรถ

สีหน้าทุกคนดูตกใจ และก็ดูจะหวั่นเกรงด้วย

ไห่คงจื่อก้าวขึ้นไปข้างหน้าก่อน ประสานมือเอ่ยว่า “ท่านองค์เทพ”

หมิงซิวถามเสียงเรียบเรื่อย “บทสนทนาเมื่อครู่พวกเจ้าคงได้ยินกันหมดแล้ว”

ราชรถของพวกเขาไม่ได้กางข่ายอาคมไว้ ด้วยพลังการได้ยินของผู้ฝึกตนเผ่าเทพเหล่านี้ไม่มีทางฟังพลาดไปแม้แต่คำเดียว

ทุกคนพากันก้มหน้า

หมิงซิวสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อพวกเจ้าได้ยินกันหมดแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก ถูกต้อง ข้าก็คือเจ้าตำหนักเมฆา เป็นนักโทษที่ศาลเทพสวรรค์ต้องการตัวมากที่สุด ข้า ‘ลักขโมย’ ตราพญาเทพไป ทั่วทั้งแดนเทพต้องการจับตัวข้า ใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับข้าก็จะนับว่าเป็นอริกับทั้งแดนเทพ เวลานี้พวกเจ้ายังจะติดตามข้าอย่างไม่กลัวตายอีกหรือไม่”

ทุกคนชะงักงัน

ไห่คงจื่อถอนหายใจ เอ่ยอย่างยอมรับชะตา “พวกข้าก็ไม่มีที่ยืนอยู่ในแดนเทพเช่นกัน ขอเพียงท่านเทพไม่รังเกียจ พวกข้ายินดีสาบานตนติดตามท่าน!”

ลมเย็นพัดอาภรณ์หมิงซิวจนปลิวไสว เขายืนอย่างดื้อรั้นอยู่ระหว่างสวรรค์กับโลก ความน่ายำเกรงปกคลุมไปทั่วปฐพี ประหนึ่งองค์จักรพรรดิก็ไม่ปาน

หมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ดี ข้ารับปากพวกเจ้า วันใดที่ตำหนักเมฆาของข้าได้ครอบครองแดนเทพอีกครั้ง วันนั้นจะเป็นวันที่พวกเจ้าได้กลับมายิ่งใหญ่!”

ไห่คงจื่อทรุดลงคุกเข่า “ขอบคุณท่านเทพ!”

ทุกคนกู่ร้องพลางคุกเข่า “ขอบคุณท่านเทพ!”

อาณาเขตของแดนเทพกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแดนยมโลกสักนิด หากจะกล่าวโดยละเอียดแล้วหุบเขาซือกั้วไม่อยู่ในแผนที่ของแดนเทพด้วยซ้ำ ที่ตรงนั้นเป็นมิติหนึ่งที่ทางการเทพสร้างขึ้น มิติตรงนั้นห้อยอยู่สุดทางตะวันออกของแดนเทพ ส่วนจุดหมายของพวกเขาอยู่ที่เมืองเทพ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ใจกลางของแดนเทพ ซึ่งมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่าเมืองกลาง

เมืองกลางไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าไปก็ได้ ด้านนอกเมืองกลางมีการตั้งข่ายอาคมไว้ ต้องเป็นผู้ฝึกตนที่บรรลุถึงขั้นองค์เทพแล้วเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปได้

อวิ๋นเชียนรั่วเป็นคุณหนูจากตำหนักเมฆา เกิดมาพร้อมกับขั้นสุวรรณเทพ ซึ่งสูงกว่าองค์เทพไปอีกหนึ่งขั้น นางนั้นไม่ต้องเป็นกังวล แต่กับพวกไห่คงจื่อนั้นคงไม่ง่ายเช่นนั้นแล้ว

ไห่คงจื่อเป็นผู้ที่มีพลังฝึกตนสูงที่สุดในบรรดาพวกเขา แต่เขาก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนเทพขั้นสูงเท่านั้น ยังอยู่ห่างจากขั้นองค์เทพอีกก้าวหนึ่ง

ที่น่าสงสารที่สุดคือเฉียวเวยเวย เด็กคนนี้ไม่มีพลังการฝึกตนเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าเป็นปุถุชนเลยด้วยซ้ำ!

อวิ๋นเชียนรั่วเหลือบมองเฉียวเวยเวยด้วยสายตาไม่พอใจ จริงๆ เลย เหตุใดพี่ชายถึงไปอยู่กับปุถุชนคนหนึ่งได้ ซ้ำยังพาปุถุชนผู้นั้นขึ้นมายังแดนเทพด้วยอีก นอกจากรูปลักษณ์ที่เลอเลิศแล้ว ความสามารถอื่นใดไม่มีเลย วันหน้ายังไม่รู้เลยว่านางจะเป็นตัวถ่วงถึงเพียงใด!

อวิ๋นเชียนรั่วเอ่ยด้วยความหงุดงิด “หากมีชุดไหมสุวรรณก็ดีหรอก”

ชุดไหมสุวรรณเป็นอาวุธวิเศษของแดนเทพชนิดหนึ่งที่สามารถทำให้คนแผ่ไอปราณองค์เทพออกจากตัวได้ และสามารถหลอกข่ายอาคมได้สำเร็จ เมื่อครานั้นตำหนักเมฆามีบ่าวไพร่ตั้งมากมายที่สวมใส่ชุดไหมสุวรรณเข้ามาในเมืองกลาง เจ้าชั่วแม่ทัพเทพนั่นก็เป็นหนึ่งในนั้น!

น่าเสียดายที่ตำหนักเมฆาถูกล้างตระกูลไปแล้ว ชุดไหมสุวรรณก็ไม่เหลืออยู่อีก

“หรือไม่ข้าไปขอยืมชุดจากพี่หญิงเสวี่ย…”

ยังไม่ทันเอ่ยจบก็เห็นเฉียวเวยเวยคว้ามือผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปในข่ายอาคมที่ส่องประกายแวววาว

อวิ๋นเชียนรั่ว “…”

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง (偏方方) แนะนำเรื่องย่อ เมื่อหมอสาวยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณแถมพ่วงด้วยลูกแฝดอีกสอง ทำขนม ดักสัตว์ ทำไร่ ทำทุกอย่างที่ได้เงิน! เฉียวเวย เด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรจู่ๆ ก็ทะลุมิติมายังยุคโบราณที่ไม่รู้จัก นอกจากจะมาอาศัยร่างคนอื่นอยู่แล้ว ร่างเดิมนี้ยังมีลูกแฝดอีกสองชีวิตให้ต้องเลี้ยงดู! นางที่ไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ ในโลกใบใหม่แต่พราะทักษะติดตัวสมัยยังต้องดิ้นรนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้ชีวิตไม่ลำบากเกินไปนัก ทำขนม ดักสัตว์ ปลูกพืช รักษาคน จากนี้นางจะเลี้ยงลูกๆ ให้เติบใหญ่ด้วยมือของนางเอง! เจ้าซาลาเปาน้อยจูงมือบุรุษใบหน้าเคร่งขรึมเข้ามา "ท่านแม่ ท่านลุงบอกว่าเขาเป็นพ่อของข้า" เฉียวเวยยิ้มละไม "ลูกรัก บอกพ่อเจ้าหน่อย ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะพิสูจน์ว่าเป็นพ่อของเจ้าได้" เจ้าซาลาเปาน้อยเปิดสมุดทองคำ พูดอย่างชื่อๆ ว่า "ข้อที่หนึ่งร้อยหนึ่งของ 'กฎครอบครัวเฉียว' หลอกลวงเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านลุง หากท่านเป็นพ่อของข้าจริงๆแล้วล่ะก็..." โดยไม่รอให้เจ้าซาลาเปน้อยจะพูดจบ ปลายนิ้วอันย็นเฉียบของชายคนนั้นก็บีบคางของเฉียวเวย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชาและเป็นอันตราย "หากข้าจำไม่ผิด คืนนั้น เหมือนเจ้าจะเป็นคนบังคับขืนใจข้า!"

Options

not work with dark mode
Reset