ทุกคนกลั้นลมหายใจจนงานเลี้ยงที่มีเสียงฮือฮาก่อนหน้าพลันเงียบสนิท ราวกับว่ากำลังรอคนมาทำลายความเงียบงันนี้
คนรับใช้ผู้หนึ่งลนจัดจนชนหอคอยแก้วแชมเปญล้ม เสียงแก้วแตกระนาวทะลุปล้องความเงียบงัน คนรับใช้กลุ่มหนึ่งมาทำความสะอาดพื้นที่อย่างรีบร้อน ส่วนพวกแขกเหรื่อก็ถอนหายใจกันยกใหญ่
เพราะหอคอแชมเปญล้ม บรรยากาศหนักหน่วยจึงทลายไปด้วย
มีคนถาม “อาสาม เขาคือตัวแทนจากป้อมปราการ 178 เหรอ”
หยางอวี้อันส่งแก้วแชมเปญในมือให้ลูกน้องรับไป เขาหมดอารมณ์จะดื่มแล้ว “ใช่ นั่นสูเสี่ยนฉู่”
ทุกคนรู้ดีว่าแขกหลักของคืนนี้จริงๆ แล้วคือสูเสี่ยนฉู่ สงครามของภาคตะวันตกเฉียงใต้ดุเดือดมาก แต่ป้อมปราการ 178 กลับยังนิ่งงันท่ามกลางไฟสงครามนี้ ราวกับพวกเขาไม่คิดจะยุ่งกับกิจการสงครามในตะวันตกเฉียงใต้แม้แต่น้อย
แต่เพราะพวกเขายังเงียบอยู่ ใช่ว่าจะหมายถึงผู้คนอื่นไม่สนใจพวกเขา
คนเก่าคนแก่ต่างรู้ว่าหลังกำแพงนั้นซุกซ่อนไปด้วยสัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่ง
ป้อมปราการอื่นๆ รู้กันว่าเป็นเพียง ‘ปราการ’ มีแต่ป้อมปราการ 178 ที่บ้างครั้งก็เรียกกันในวงแคบว่าเป็น ‘ป้อมปราการแท้จริง’ และดูเหมือนจะมีป้อมปราการเดียวที่สามารถขนานนามได้เช่นนั้น
เมื่อสงครามแบบโถมสุดตัวมาถึง มหาปราการก็จะกลายเป็นสุดยอดเครื่องจักรสงคราม ชิ้นส่วนมหึมาทรงพลังขับเคลื่อนทำลายศัตรูคุกคามให้แตกพ่าย
แน่นอนคนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นกับตา สถานะป้อมปราการ 178 ในตะวันตกเฉียงเหนือเป็นเพียงตำนานเล่าขาน
ดังนั้นถ้าเทียบกับสมาคมตระกูลจงหรือจงเฉิงแล้ว หยางอวี้อันเป็นกังวลกับท่าทีของป้อมปราการ 178 มากกว่า แต่ปัญหาตอนนี้คือตัวแทนจากป้อมปราการ 178 กลับออกจากงานไปทั้งๆ ที่งานยังไม่เริ่มเลย
“เด็กหนุ่มที่ชื่อเริ่นเสี่ยวซู่นั่น คุณเป็นคนเชิญเขามาใช่ไหม” มีคนถาม “เบื้องหลังเขาเป็นยังไงกันแน่ ทำไมสูเสี่ยนฉู่ถึงสนใจเขามากขนาดนั้น”
หยางอวี้อันขมวดคิ้ว เขารู้จากรายงานของหน่วยข่าวกรองว่าเริ่นเสี่ยวซู่เคยร่วมเดินทางกับสูเสี่ยนฉู่ไปเขาจิ้งซานมาก่อน แต่เริ่นเสี่ยวซู่เป็นเพียงผู้อพยพ เขาเลยไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก มองเพียงว่าเขาเป็นแค่ผู้อพยพคนหนึ่งที่บังเอิญถูกลากไปอยู่ในสถานการณ์นั้น
แต่เขาก็ต้องแปลกใจ หลานสาวตัวเองมองเริ่นเสี่ยวซู่ต่างออกไป กระทั่งสูเสี่ยนฉู่ก็มองเขาเป็นสหายที่ดี
เขาต้องเป็นเพื่อนคนสำคัญมากแน่ๆ เป็นเพื่อนสนิทที่อยากเจอหน้ามากจริงๆ ไม่อย่างนั้นสูเสี่ยนฉู่คงไม่ออกจากงานเลี้ยงสำคัญแบบนี้เพื่อไปหาเขาหรอก
แต่หยางอวี้อันไม่อยากพูดอะไร เขายิ้มให้บรรดาแขกและว่า “ที่งานเลี้ยงเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย แต่หวังว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้ทุกคนอารมณ์กร่อยกัน โปรดสนุกกับงานกันต่อ” คำพูดเขาต้องการสื่อว่าไม่ให้คุยเรื่องนี้กันต่อ
พวกแขกรู้ความกันอย่างยิ่ง อย่างไรทุกคนก็ทำงานให้สมาคมตระกูลหยางมานาน และหยางอวี้อันก็เป็นผู้มีอำนาจลำดับสองของตลอดทั้งสมาคม จึงไม่มีใครคิดอยากผิดใจกับเขาเพียงเพราะอยากนินทาคนหรอก
แต่หลังจากคืนนี้ไป ชื่อของเริ่นเสี่ยวซู่คงแพร่กระจายไปทั่ว มีคนถึงกับเสริมความคิดตัวเองเข้าไป และเรื่องราวก็ประหลาดจากความเป็นจริงเข้าไปใหญ่
หยางอวี้อันมองจงเฉิงที่อยู่ด้านข้างและว่า “คืนนี้ฉันกะจะแนะนำหยางเสียวจิ่นให้เธอ แต่โชคร้ายเธอออกไปกับเพื่อนก่อนเสียได้ คิดว่าคงมีเรื่องสำคัญให้จัดการแหละนะ แต่ไม่ต้องรีบร้อนไป ยังไงสัปดาห์หน้าก็จะขึ้นตะวันตกเฉียงเหนือไปด้วยกันอยู่แล้ว ยังมีโอกาสอีกมากให้พวกเธอทำความรู้จักกัน”
จงเฉิงมีโครงหน้าหล่อเหลา คิ้วคม ตาสดใส ฉายประกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขายิ้มว่า “ไม่ต้องห่วงครับคุณอาหยาง ผมเข้ากับหยางเสียวจิ่นได้มากแน่ๆ”
…
พอเริ่นเสี่ยวซู่กลับมาถึงบ้านตอนดึก ก็เห็นสูเสี่ยนฉู่อยู่หน้าประตูรั้วเหมือนกำลังรออะไรอยู่ เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเขาอยู่นี่ก็เข้าใจอะไรๆ ทันที ตัวแทนป้อมปราการ 178 ที่มาเยือนสมาคมตระกูลหยางคือสูเสี่ยนฉู่นี่เอง!
สูเสี่ยนฉู่เห็นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตื่นเต้น ยกมือโบก “เสี่ยวซู่! เสี่ยวซู่!”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “ไม่เข้าไปนั่งพักเสียหน่อยล่ะ รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่น่ะ”
“ฉันไล่ตามนายออกมาจากงานแต่ตามไม่ทันน่ะสิ เลยได้แต่กลับไปถามว่าบ้านนายอยู่ไหนและมาหานี่แหละ” สูเสี่ยนฉู่ยิ้ม
“ไปๆ เข้าไปนั่งพักเสียหน่อย” เริ่นเสี่ยวซู่ดึงตัวสูเสี่ยนฉู่เข้าไปในบ้าน ไม่รู้ทำไมแต่เขารู้สึกสนิทกับสูเสี่ยนฉู่จริงๆ อาจจะเป็นเพราะเขาปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ ใครก็ไม่ปฏิเสธความเป็นมิตรเช่นนี้หรอก คิดแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตั้งมั่นในใจว่าจะไม่ทำให้สูเสี่ยนฉู่มาเป็นแพะรับบาปของตนเองอีก
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “สรุปนายไปป้อมปราการ 178 สินะ เป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ฉันต้องขอบคุณจดหมายแนะนำของนายนั่นแหละ” สูเสี่ยนฉู่ว่าระหว่างนั่งบนม้านั่งหินในลานบ้าน เสี่ยวอวี้ยกแก้วชามาให้ สูเสี่ยนฉู่ยิ้มให้เธอและว่า “ขอบคุณ”
เริ่นเสี่ยวซู่ที่สงสัยถามขึ้นมา “ได้เจอจางจิ่งหลินไหม”
“มีแต่นายที่เรียกชื่อเขาตรงๆ แบบนั้น” สูเสี่ยนฉู่หัวเราะ “พวกเราเรียกเขาว่าผู้บัญชาการจาง”
“อ้อ” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า ดูแล้วจางจิ่งหลินคงมีอำนาจในป้อมปราการ 178 จริงๆ เขาถามต่อ “หลังเห็นจดหมายแล้วเขาพูดอะไรบ้าง”
“ก็ไม่มีอะไรมาก” สูเสี่ยนฉู่ว่า “หลังจากเขารู้ว่าฉันเป็นผู้มีพลังพิเศษ ก็มอบหมายงานระดับล่างแบบขั้นต่ำสุดให้ฉันทำความรู้จักกับพี่น้องคนอื่นๆ จากนั้นเขาก็รู้ว่าฉันใช้การได้ไม่เลวเลยเลื่อนขั้นให้ฉันเรื่อยๆ น่ะ”
“ป้อมปราการ 178 เป็นยังไงบ้าง” นี่เป็นหนึ่งในคำถามที่เริ่นเสี่ยวซู่อยากรู้ที่สุด
“คนที่นั่นมีพรสวรรค์มาก ฉันเข้ากับพวกเขาได้มากเลยล่ะ ฉันชอบที่นั่น” สูเสี่ยนฉู่หัวเราะ “อ้อใช่ เสี่ยวซู่ ทำไมนายไม่ไปป้อมปราการ 178 ล่ะ ผู้บัญชาการจางถามเรื่องนายเยอะเชียว”
“ถ้าต่อไปมีโอกาสพวกเราอาจจะไปดูหน่อยว่าเป็นที่นั่นเป็นไง” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
จากนั้นก็มีเสียงลอยข้ามกำแพงมา “เสี่ยวซู่ ถามเขาหน่อยว่าเขาจะจับมือเป็นพันธมิตรกับสมาคมตระกูลหยางเพื่อโจมตีสมาคมตระกูลชิ่งหรือเปล่า”
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักไปวูบหนึ่ง นี่แม่*เสียงหลัวหลานชัดๆ
สูเสี่ยนฉู่กับเขาหันไปตามเสียงและเจอหัวโตๆ ของหลัวหลานค่อยๆ โผล่ขึ้นมาหลังกำแพง เป็นภาพที่ชวนแปลกตาจริงๆ
สูเสี่ยนฉู่ผงะ เขารู้จักหลัวหลานดีเกินไป “เสี่ยวซู่ ทำไมนายกับเขามาเป็นเพื่อนบ้านกันได้ล่ะ”
“ช่างเขาเหอะ โดนจับมาขังในบ้านที่นี่น่ะสิ แต่ฉันปกติดี” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
“เฮ้ยเสี่ยวซู่ ถามเขาให้หน่อยเซ้” หลัวหลานพูดอย่างวิตก
ก่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะทันพูดอะไร สูเสี่ยนฉู่ก็ตอบก่อนแล้ว “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อจับมือเป็นพันธมิตรกับสมาคมตระกูลหยาง ป้อมปราการ 178 เราไม่จับมือเป็นพันธมิตรกับองค์กรไหนทั้งนั้น”
หลัวหลานถอนหายใจโล่งอก “แจ่มไปเลย! ตอนนั้นฉันเป็นคนไปส่งจางจิ่งหลินด้วยตัวเอง อย่าลืมมิตรภาพนี้ซะล่ะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดกับตัวเองว่าเจ้าอ้วนนี่หน้าไม่อายฉิบเป๋ง เมื่อเย็นยังพูดอยู่เลยว่าตัวเองเป็นคนโน้มน้าวให้ชิ่งเจิ่นฆ่าจางจิ่งหลิ่น
เริ่นเสี่ยวซู่มองสูเสี่ยนฉู่ “แล้วนายมาทำอะไรที่ป้อมปราการ 88”
“มาคุยเรื่องการร่วมมือปราบโจรป่ากับตระกูลหยางและตระกูลจง ผู้บัญชาการอยากเปิดสายการค้าขึ้นมาใหม่”