ฉินมู่ตรวจดูอาการบาดเจ็บของพุทธเจ้าท้าวสักกะ และเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่ากระดูกจะหักไปหลายแห่ง แต่ครูบาสวรรค์วิชาบู๊ก็ควบคุมกำลังไว้เป็นอย่างดี ไม่มีบาดแผลไหนบนร่างของพุทธเจ้าที่เป็นอาการบาดเจ็บสาหัส จิตวิญญาณดั้งเดิมของท่านไม่ได้รับบาดเจ็บ”
พุทธจ้าวท้าวสักกะมองไปที่เขาด้วยสีหน้าอันบรรยายผสมปนเป เมื่อครู่เขาคิดว่าฉินมู่เพียงแต่ล้อเล่นเท่านั้น แต่ไม่คาดคิดเลยว่าสมบัติเทวะสะพานเทวะของเขาจะแตกทำลายไปจริงๆ
“ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นสหายเก่าแก่ เขาไม่ฆ่าข้าหรอก แต่อีกทางหนึ่ง เจ้า…”
เขาถอดถอนใจออกมา “สมบัติเทวะสะพานเทวะของเจ้าพิการไปโดยสิ้นเชิง จากวันนี้เป็นต้นไป… ไอ้ลูกเต่าเฒ่านั่น อำมหิตเกินไปแล้ว! เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าเจ้าเป็นทายาทของจักรพรรดิก่อตั้ง”
แต่ทว่า พุทธเจ้าท้าวสักกะก็รู้ว่าครูบาสวรรค์วิชาบู๊ไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เขาไม่เคยไว้หน้าแก่ใครๆ และเมื่อลูกหลานของจักรพรรดิก่อตั้งก่ออาชญากรรมและสร้างความปั่นป่วน เขาก็จะสังหารไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จักรพรรดิก่อตั้งเองก็ไม่กล่าวอะไรเมื่อเขาทราบถึงเรื่องพวกนั้น
“อันที่จริงแล้ว มันไม่เกี่ยวข้องกับท่าน”
ฉินมู่เคลื่อนไหวไปรอบๆ ตัวเขา และนิ้วของเขาเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ ก่อขึ้นมาเป็นรูปเงาต่างๆ เช่นดอกบัว แจกันวิเศษ ทวยเทพ และพุทธเจ้าทั้งหลาย เขาใช้วิชาเสกสรรเพื่อเชื่อมต่อกระดูกอันแตกหัก “เขาและข้ามีข้อสัญญาต่อกัน เขาจะปกป้องจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และข้าก็จะบุกเบิกสมบัติเทวะสะพานเทวะอันถูกทำลายไปแล้วขึ้นมาใหม่ ด้วยวิธีนี้ข้าก็จะสามารถแก้ไขปัญหาของทุกๆ คนในโลกสู้วัว ในแดนโบราณวินาศ และในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ เมื่อรู้นี้ข้าล้อท่านเล่นที่บอกว่าไปรับหมัดแทนท่านน่ะ”
พุทธเจ้าท้าวสักกะก็ยังนิ่วหน้าอยู่ดี “แต่ถึงอย่างไร การที่เขาทำลายสมบัติเทวะสะพานเทวะของเจ้าไปทั้งๆ แบบนี้ มันก็มากเกินไปหน่อย”
ฉินมู่หยุดมือ และแขนหนึ่งพันแขนก็ปรากฏรอบๆ กายเขา แต่ละแขนผนึกวิชามุทราที่แตกต่างกันไป ฉินมู่ตบมุทราเหล่านั้นลงไปบนร่างของฝ่ายตรงข้าม เขารั้งแขนทั้งหนึ่งพันกลับมา และรูปเงาต่างๆ ก็จางหายไป เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทุบหม้อข้าวก่อนบุกเมือง ทำให้ข้ากล้าหาญ ตัดหนทางถอยของข้า มีก็แต่แบบนี้ข้าถึงจะฟันฝ่าไปข้างหน้าได้ ข้ากลับรู้สึกขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำ ที่ริเริ่มเป็นผู้ทำลายสมบัติเทวะให้แก่ข้า ปัดเป่าความกังวลของข้าทั้งหลาย โดยไม่มีความคิดวอกแวกหลงเหลือ ก็ไม่มีความลังเลในหัวใจของข้าอีกต่อไป!”
พุทธเจ้าท้าวสักกะลุกขึ้นยืนและขยับเขยื้อนร่างกาย เขาตระหนักว่าอาการบาดเจ็บของเขาหายดีไม่มากก็น้อยแล้ว เขาตื่นตระหนก ลอบอุทานในใจ จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะ “เจ้าคล้ายกับเขามาก พวกเจ้าทั้งสองคนล้วนแต่เป็นคนบ้า”
“ถ้าไม่บ้าสักครั้งจะใช้ชีวิตคุ้มได้อย่างไร”
ฉินมู่ปรับลมหายใจให้สงบและมีสายตาอันลึกล้ำ “ข้าได้เรียนวิชาบู๊จากครูบาสวรรค์วิชาบู๊อยู่ระยะหนึ่ง สิ่งที่ข้าเรียนมาจากเขามิใช่วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะ มันคือจิตวิญญาณของเขาแห่งมรรคาบู๊ อะไรคือจิตวิญญาณแห่งมรรคาบู๊ ก็คือการทุ่มสุดตัวสุดใจให้แก่มรรคาบู๊! ในเมื่อข้ามีจิตวิญญาณเช่นนี้ ข้าก็จะต้องลงไปลุยให้ถึงที่สุด และบุกบั่นไปจนกว่าจะถึงความสำเร็จ! ยิ่งไปกว่านั้น…”
เขาเผยยิ้มและกล่าว “ในยุคบรรพกาล ผู้คนเจ็ดคนที่ได้บุกเบิกสมบัติเทวะได้รับการยกย่องให้เป็นเจ็ดวิญญูชนสวรรค์ พวกเขาเริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลยและบุกเบิกสมบัติเทวะทั้งเจ็ด กำหนดทิศทางระบบฝึกวรยุทธแห่งสมบัติเทวะให้แก่อนุชนรุ่นหลัง พวกเขาสร้างบางสิ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่า และบัดนี้ข้าก็ได้รู้แล้วว่าข้างหน้าของข้ามีบางสิ่งรออยู่ ก็จะง่ายขึ้นที่ข้าจะบุกเบิกเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น ข้าจะต้องบุกเบิกสมบัติเทวะสะพานเทวะสำเร็จอย่างแน่นอน”
เขาครอบครองความเชื่ออันมั่นคงจนไร้ประมาณ
ความเชื่อเช่นนี้มิใช่เพียงแค่มาจากกายาจ้าวแดนดินที่ผู้ใหญ่บ้านกล่าวถึง แต่มันยังมาจากช่วงเวลาอันยาวนานของประสบการณ์และฟันฝ่าการทดสอบ
ตั้งแต่เมื่อเขาย้อนเวลากลับไปยังอดีต และหวนคืนสู่ปีศักราชแรกแห่งหลงฮั่น ได้พบพานกับเจ็ดวิญญูชนสวรรค์ และได้ประสบความเปลี่ยนแปลงมากมายในปีแรกแห่งหลงฮั่น ความมั่นใจและความเชื่อของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นทุกทีๆ!
ที่ชุมนุมสระหยก วิญญูชนสวรรค์อวี้ถูกลอบสังหาร และวิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าผ่านปราสาทสวรรค์ อันน่าจะถูกวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวเป็นผู้ถ่ายทอด ก็กลายเป็นถ่ายทอดออกมาจากตัวเขาแทน
คือเขานี่แหละที่แปลงร่างเป็นวิญญูชนสวรรค์อวี้ และคิดค้นวิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าผ่านปราสาทสวรรค์ ถ่ายทอดวิชาฝึกปรือนี้ไปให้กับทุกๆ คน!
พรสวรรค์และปฏิภาณของเขาไม่ด้อยไปกว่าใครๆ ที่นั่น!
พุทธเจ้าท้าวสักกะมองไปที่เขาด้วยอารมณ์อันผสมปนเป เขาสามารถมองเห็นเงาของคนอีกผู้หนึ่งในชายหนุ่มตรงหน้า
เมื่อครั้งกระโน้น จักรพรรดิก่อตั้งก็บุกบั่นไปด้วยความทรหดและมีปณิทานและเจตจำนงมั่นอันยิ่งใหญ่ นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาสามารถรวบรวมยอดอัจฉริยะจากทุกศาสตร์แขนง รวบรวมผู้คนที่มีความฝันต่างๆ กันไป
เขาคิดในใจ เขานี้คึกคักและมากด้วยชีวิตชีวาเสียยิ่งกว่าจักรพรรดิก่อตั้ง และอยู่ไม่ติดที่เท่ากับบรรพชนของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังรักสนุกชอบละเล่นเป็นอย่างยิ่ง แต่จิตมุ่งมั่นของเขายิ่งแข็งแกร่งมั่นคงกว่าจักรพรรดิก่อตั้งเสียอีก เขานั้นทรหดอดทนมากกว่า และยิ่งกล้าท้าทายอุปสรรคยิ่งกว่า
เขาเผยรอยยิ้มออกมาและถาม “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้ากะว่าจะทำอะไร”
ฉินมู่สายตาวูบไหว และย้อนถามไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าพุทธเจ้าสนใจที่จะไปชมดูสถานที่ของพระแม่ธรณีหรือไม่”
พุทธเจ้าท้าวสักกะสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย และดูเหมือนไม่เต็มใจนัก
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านเป็นหนึ่งในสี่ราชาสวรรค์ กล้าแบกรับความผิดอันใหญ่มหึมาจากพุทธเกษตรเพื่อหลบหนีการไล่ล่าของจักรพรรดิแดง หากว่าพุทธเจ้าไม่กริ่งเกรงจักรพรรดิแดง ท่านจะไปกลัวพระแม่ธรณีที่ตายไปแล้วได้อย่างไรกัน”
“ข้าไม่ได้กลัวพระแม่ธรณี ข้ากลัวเอาเจ้าเข้าไปพัวพัน”
พุทธเจ้าท้าวสักกะถอนหายใจ “การที่เจ้าพัวพันกับซากทัพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งมากจนเกินไปนั้นไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลยจริงๆ มันอันตรายเกินไปต่อตัวเจ้า พลังอำนาจของซากทัพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งยังถูกรักษาเอาไว้เป็นส่วนมาก สันตินิรันดร์มิได้อยู่ในสายตาของสภาสวรรค์นอกโลก แต่หากว่าเจ้าผนวกเอาซากทัพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งเข้าไปด้วย มันก็จะกลายเป็นบางสิ่งอันพวกเขาไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป ครูบาสวรรค์คนตัดไม้เป็นผู้นำแห่งสี่ครูบาสวรรค์ แต่ก็ยังมีบางอย่างที่เขามองไม่เห็น ยกตัวอย่างเช่น การให้ซากทัพที่เหลือรอดของจักรพรรดิก่อตั้งเข้ามาสนับสนุนสันตินิรันดร์อย่างสุดตัวนั้น เป็นการเดินหมากที่ผิดพลาดในความเห็นของข้า”
ฉินมู่รับฟังอย่างเงียบเชียบ
พุทธเจ้าท้าวสักกะอธิบาย “สภาสวรรค์นอกโลกมิได้กริ่งเกรงสันตินิรันดร์ เขากริ่งเกรงจักรพรรดิก่อตั้ง พวกเขาเกรงกลัวหมู่บ้านไร้กังวล ด้วยการใช้พลังอำนาจแห่งยุคสมัยก่อตั้งมาสนับสนุนการผงาดของมาของสันตินิรันดร์ นี่ก็จะต้องทำให้สถาสวรรค์นอกโลกพุ่งเป้าหมายหัวสันตินิรันดร์อย่างแน่นอน เพียงแค่สันตินิรันดร์นั้นเป็นบางอย่างที่พวกเขาอาจจะเมินเฉยไปได้ แต่บัดนี้ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากจะให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการทลายฝ่าเวทปิดผนึกของแดนก่อกำเนิดขึ้นมาในเวลานี้ ข้าก็มองเห็นแต่อนาคตอันย่ำแย่ไปยิ่งกว่าเดิม”
ข้างหลังศีรษะของเขา วงรัศมีแสงพุทธธรรมที่ครูบาสวรรค์วิชาบู๊ได้ดับไป ก็จุดแสงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง “ซากทัพแสงฉานตั้งฐานอยู่ที่ทะเลใต้ ซากทัพจักรพรรดิก่อตั้งตั้งฐานอยู่ในแดนโบราณวินาศ บัดนี้เมื่อผนึกของแดนก่อกำเนิดได้แตกทำลายออกมา ซากทัพจักรพรรดิสูงส่งก็จะปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วย สันตินิรันดร์ จักรพรรดิก่อตั้ง จักรพรรดิสูงส่ง และแสงฉาน ผู้รอดชีวิตและยอดฝีมือชั้นนำทั้งหลายจากสี่ยุคสมัยล้วนแต่มาปรากฏตัวอยู่ในโลกมิติใบเดียวกันในตอนนี้”
ฉินมู่พลันตัวสั่นเทิ้ม
พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวต่อ “เจ้ายังไม่ได้ไปดูที่วัดใหญ่ฟ้าคำรามใช่ไหม ครั้งหนึ่งข้าเคยเป็นยูไลอยู่ที่นั่น ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าวัดใหญ่ฟ้าคำรามมีหน้าตาอย่างไรก่อนที่มันจะถูกปิดผนึก ฮี่ๆ ตอนนี้เมื่อแดนก่อกำเนิดทลายฝ่าเวทปิดผนึกออกมา เขาพระสุเมรุของวัดใหญ่ฟ้าคำรามก็อาจจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเขาพระสุเมรุแห่งพุทธเกษตร เหนือวัดใหญ่ฟ้าคำรามขึ้นไปนั้น มิใช่ใดอื่นนอกเสียจากสวรรค์ยี่สิบชั้นแห่งพุทธเกษตร!”
ฉินมู่รู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบ
“แม้ว่าพุทธเกษตรจะถูกลากเข้ามาพัวพันกับการทลายฝ่าเวทปิดผนึกของแดนก่อกำเนิด แต่มียุคสมัยต่างๆ มากมาย อิทธิพลอำนาจต่างๆ มากมายที่สภาสวรรค์ล้วนแต่ต้องการกำจัด บัดนี้พวกเขาทั้งหมดล้วนมาปรากฏในแดนก่อกำเนิดแล้ว นี่มันหมายความว่าอย่างไรล่ะ นี่หากไม่ใช่สัญญาณของความขัดแย้งภายใน มันก็หมายถึงการทำลายล้างจนสิ้นซาก!”
พุทธเจ้าท้าวสักกะถอนหายใจ และเขาก็เดินออกไปจากหมู่บ้าน “ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งภายในหรือการทำลายล้างจนสิ้นซาก ทั้งสองหนทางก็เป็นภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่แก่สันตินิรันดร์ ในคราวนี้ ผู้ที่ไล่ล่าข้ามิใช่เพียงแค่จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋ แต่สภาสวรรค์ยังได้เคลื่อนย้ายกำลังพลของยอดฝีมือคนอื่นๆ อีก หากว่าข้าตามเจ้าไปด้วยก็มีแต่พัวพันให้เจ้าต้องเดือดร้อน อย่าก่อเรื่องวุ่นวายอะไรเลย มุ่งหน้าไปที่วัดใหญ่ฟ้าคำรามเถอะ แล้วลัทธิพุทธจะประกันความปลอดภัยให้แก่เจ้า แต่ทว่า…มันก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้พุทธเกษตรก็กำลังตกอยู่ในสภาวะหมิ่นเหม่อันตราย หลังจากที่แดนก่อกำเนิดทลายฝ่าผนึกออกมา”
แขนเสื้อของเขาสะบัดไปในสายลม และร่างของเขาก็เหินเหาะจากไป
ฉินมู่มองส่งเขาและเงียบงันไปนาน
สี่มหาครูบาสวรรค์และสี่มหาราชาสวรรค์แห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง พวกเขาทุกคนล้วนแต่เป็นปัจเจกที่มีความโดดเด่นเหนือธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นครูบาสวรรค์วิชาบู๊ที่ในสมองมีแต่กล้ามเนื้อ หรือพุทธเจ้าท้าวสักกะอันดูเหมือนจะลอยเลื่อนอยู่เหนือโลกียวิสัย ต่างก็มีปัญญาญาณอันวิเศษเอกอุ
เมื่อพุทธเจ้าท้าวสักกะได้กล่าวถึงการที่ผู้คนแห่งสี่่ยุคสมัยเข้ามารวมตัวกันในแดนก่อกำเนิด นี่ก็ได้ทำให้เลือดในกายฉินมู่เย็นเฉียบจริงๆ และมองเห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวข้างหน้า
นี่คือโอกาสอันเลิศล้ำ ที่สภาสวรรค์นอกโลกจะฉวยใช้กำจัดยุคสมัยทั้งสี่!
หากว่าสภาสวรรค์ไม่ต้องการสิ้นเปลืองกำลังทหารและอิทธิพลอำนาจ พวกเขาก็สามารถนั่งชมดูความขัดแย้งภายในที่จะเกิดขึ้นในแดนก่อกำเนิดได้ พวกเขาสามารถปล่อยให้ยุคสมัยทั้งสี่ต่อสู้กันและกันจนตายไปข้างหนึ่ง แล้วค่อยลงมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์!
“ถ้าอย่างนั้น การที่เวทปิดผนึกบนแดนก่อกำเนิดถูกคลายออกไป นั้นมาจากความบังเอิญที่อักษรรูนสนามแม่เหล็กปรากฏในมือของท่านยายซี หรือว่ามันถูกวางแผนเอาไว้ล่วงหน้ากันแน่”
ฉินมู่พึมพำกับตนเอง
ในยุคสมัยที่ทักษะเทวะเบ่งบาน การปฏิรูปได้ทำให้มรรคา วิชา และทักษะเทวะทุกชนิดถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา
แม้กระทั่งทักษะเทวะที่สาบสูญไปในประวัติศาสตร์ก็ถูกค้นพบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
หากว่าบุคคลที่ปิดผนึกแดนก่อกำเนิด ได้วางเงื่อนไขเอาไว้บนเวทปิดผนึกให้มันคลายตัวออกมาเมื่อแผ่นปฐพีแห่งแดนก่อกำเนิดเข้าไปแตะต้องกับอักษรรูนสนามแม่เหล็กที่ถูกค้นพบขึ้นมาใหม่…ถ้าเช่นนั้นมันก็จะกลายเป็นสาเหตุของสถานการณ์ปัจจุบันในแดนโบราณวินาศ
อันก็หมายความว่าบุคคลผู้นั้นได้วางกับดักนี้เอาไว้ตั้งแต่ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งแล้ว!
ทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นซากทัพแสงฉาน โอรสเทพแสงฉาน พระแม่ธรณี ซากทัพจักรพรดิก่อตั้ง หรือแม้กระทั่งสันตินิรันดร์ พวกเขาก็ล้วนถูกกวาดเข้ามาไว้ในกับดักนี้ แม้แต่ยี่สิบสรวงสวรรค์แห่งพุทธเกษตรก็ถูกต้อนเข้ามาด้วย!
การวางกับดักเอาไว้ล่วงหน้าหลายหมื่นปี เพียงเพื่อชั่วพริบตาที่จะกวาดต้อนทั้งหมดในร่างแหเดียวนั้น ทั้งยังสามารถสลายภยันตรายอันอาจจะเกิดขึ้นมาในอนาคตได้อีก แผนการและมันสมองเช่นนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉินมู่เลือดในกายเย็นเฉียบ
สถานที่เดียวที่มิได้อยู่ในกับดัก ก็คือหมู่บ้านไร้กังวล!
ฉินมู่สูดลมหายใจลึกยาว และสายตาของเขาก็กระจ่างสดใสขึ้นมากทุกที ตราบเท่าที่หมู่บ้านไร้กังวลมิได้อยู่ในกับดัก สภาสวรรค์นอกโลกก็จะยังไม่ลงมือใดๆ พวกเขากำลังรอจังหวะเวลาที่พวกเขาจะสามารถกำจัดตัวปัญหาทั้งหมดของพวกเขาไปได้ชั่วนิรันดร์ เมื่อหมู่บ้านไร้กังวลเข้ามาในกับดักนี้ ก็จะเป็นเวลานั้น
หมู่บ้านไร้กังวล จะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่จะจุดสันดาปแผนการทั้งหมด
ก่อนที่หมู่บ้านไร้กังวลจะเข้ามาร่วมผสมโรง สภาสวรรค์นอกโลกก็จะเพียงแต่ปล่อยให้สี่ยุคสมัยมีเรื่องขัดแย้งกันเองขณะที่ตนเองจะรออยู่เงียบๆ เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์!
ประกายตาของฉินมู่สุกสกาวขึ้นทุกที นี่คือโอกาสจะได้เติบโต!
นี่คือโอกาสอันยากจะพบพาน!
นี่คือจุดอ่อนเดียวในกับดักที่คนผู้นั้นวางเอาไว้!
“มังกรอ้วน น้องชายที่นับถือ พวกเราไปกันเถอะ!”
ฉินมู่เรียกกิเลนมังกร และวิญญูชนสวรรค์อวี้มา วิญญูชนสวรรค์อวี้ยังคงถามขออาหารอยู่ในหมู่บ้าน และในมือของเขาก็หอบถือชามใหญ่ยักษ์มาด้วย ในชามนั้นคือข้าวหอมอันนุ่มละมุน และบนข้าวก็มีซอสปรุงรสบางอย่าง เขานั่งอยู่ตรงข้างกำแพงและรับประทานมันพร้อมๆ กับกลุ่มชาวบ้าน
วิญญูชนสวรรค์อวี้รีบสวาปามอาหารเข้าไป และกล่าวขอบคุณชาวบ้านทั้งหลาย จากนั้นเขาถึงค่อยเรียกกิเลนวารีมาและรีบตามไป
“พี่ชาย พวกเราจะไปขออาหารกันที่ไหนอีก” วิญญูชนสวรรค์อวี้ถาม
ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ เขาโบกมือลาชาวบ้านทั้งหลายและกล่าว “พวกเราจะไปขออาหารยังที่พำนักของพระแม่ธรณี”
วิญญูชนสวรรค์อวี้ปีติยินดี “มีอะไรอร่อยๆ ที่นั่นหรือ”
“ครึ่งเทพสารพัดรส!”
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง และเขาขี่กิเลนมังกรควบตะบึงไปยังทิศไกลๆ
กิเลนวารีได้ยินว่าเขาต้องการจะไปเข้าพบพระแม่ธรณี สีหน้าของเขาก็ซีดเผือดปานขี้เถ้า แต่ทว่าไม่ช้าเขาก็สำเหนียกขึ้นมา และลิงโลดแทบโดดถึงดวงจันทร์ หากว่าครึ่งเทพพวกนั้นจับเขากิน ข้าก็ไม่นับว่าละเมิดสัตยาบันภูติบดีน้อย ข้าจะกลายเป็นอิสระ!
เขาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว และแม่น้ำสายใหญ่ก็ปรากฏรองรับเท้าของเขา เขาเหยียบไปบนแม่น้ำและเหินทะยานขึ้นไปบนอากาศ
อีกฟากหนึ่ง ใต้เท้าของกิเลนมังกรคือเพลิงกิเลนกลุ่มหนึ่ง พลังระเบิดของเขาน่าตื่นตระหนก และเขานั้นถึงกับเร็วกว่ากิเลนวารีสักเล็กน้อยด้วย นี่ก็คงจะเป็นเพราะการฝึกฝนของชาวนาเฒ่าในช่วงวันเวลาที่ผ่านมานี้
ฉินมู่ให้กิเลนมังกรชะลอฝีเท้าสักหน่อย เพื่อเฝ้าสังเกตทักษะเทวะของกิเลนวารี ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็นำเอาสมุนไพรออกมาและหลอมปรุงยาวิญญาณตามคุณสมบัติธาตุของกิเลนวารี
เมื่อยาวิญญาณก่อตัวขึ้นมาเป็นเม็ด ฉินมู่ก็ให้ครึ่งเทพตนนี้ลองชิมดู “รสชาติเป็นอย่างไร”
“อร่อย!”
ฉินมู่ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนตำรับยา เขาหลอมปรุงยาขึ้นมาอีกหม้อ และให้กิเลนมังกรชิมดูอีก “อร่อยกว่าเดิม!”
ฉินมู่ตัดสินใจใช้ตำรับยานี้ และถ่ายทอดมันให้แก่วิญญูชนสวรรค์อวี้ เขาสอนถึงวิธีการหลอมปรุงยาและกล่าว “หากว่าข้าไม่ได้อยู่ข้างเจ้า เจ้าก็จะสามารถหลอมปรุงยาวิญญาณได้ด้วยตนเองแล้วละ เพื่อที่เขาจะได้ไม่หิวโหย แต่ทว่า อย่าให้เขากินมากจนเกินไป ไม่อย่างนั้นเขาจะอ้วนมาก อ้วนอย่างสุดๆ…”