หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรักตอนพิเศษ 68-1 เวยเวยได้สติ

ตอนพิเศษ 68-1 เวยเวยได้สติ

ตอนพิเศษ 68-1 เวยเวยได้สติ

ด้วยเหตุนี้ท่านเทพจึงพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านในหุบเขาซือกั้ว

เดิมทีก่อนหน้านี้ที่นี่ไม่มีหมู่บ้าน นักโทษทุกคนพักอาศัยกระจัดกระจายกันอยู่ในป่า หลังจากไห่คงจื่อมาที่นี่แล้วถึงได้ให้ทุกคนมาอยู่รวมกันและสร้างที่พักเพื่อหลบภัยกันขึ้นมา

คนที่ถูกลงโทษให้มาอยู่ที่หุบเขาซือกั้วโดยมากมักกระทำผิดร้ายแรงมาจริงๆ ไห่คงจื่อสามารถเอาคนกลุ่มนี้อยู่ ทำให้เห็นได้ถึงความสามารถของเขา

เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกของไห่คงจื่อเป็นคนที่ดูไม่โดดเด่นที่สุดในหมู่นักโทษ ท่านเทพสามารถจับตัวเขาไว้โดยที่ไม่รู้ถึงสถานการณ์เหล่านี้ ก็ยิ่งทำให้เห็นถึงความสามารถของเขา

ท่านเทพไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าตนเป็นใคร ไห่คงจื่อก็ไม่ได้ถาม แต่เพื่อให้สะดวกต่อการเรียกขาน ท่านเทพจึงบอกไห่คงจื่อว่าเขาแซ่จี นามว่าหมิงซิว

ไห่คงจื่อไม่เคยได้ยินว่ามีท่านเทพองค์ใดมีชื่อนี้มาก่อน คิดดูแล้วคงเป็นชื่อปลอม เป็นชื่อปลอมก็ปลอมไปเถิด บางครั้งการรู้อะไรมากเกินไปกลับไม่ใช่เรื่องดี

กระรอกตัวนั้นดูดกินเอาปราณเทพของหมิงซิวเข้าไปถึงได้กลายเป็นสัตว์ภูต เดิมทีที่ให้มันแปลงเป็นสัตว์ภูตก็เพื่อให้มันสะดวกต่อการเข้าไปเอาของในหมู่บ้าน เวลานี้เมื่อหมิงซิวกับเฉียวเวยเวยเข้ามาพักอยู่ในหมู่บ้านแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้กระรอกตัวนี้อีก

หมิงซิวเลยปล่อยกระรอกน้อยคืนสู่ป่า

ไห่คงจื่อพอรู้วิชาการแพทย์อยู่บ้าง หลังจากได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากท่านเทพแล้ว เขาก็เริ่มลงมือรักษาแม่นางที่บาดเจ็บหนักผู้นั้น เขาไม่รู้ว่าแม่นางน้อยกับท่านเทพมีความสัมพันธ์เช่นไรต่อกัน รู้เพียงว่าอีกฝ่ายใกล้ชิดสนิทสนมกับท่านเทพมาก หากต้องการเอาใจท่านเทพก็ไม่อาจละเลยแม่นางผู้นี้ได้

ไห่คงจื่อจับชีพจรให้นาง สำรวจบาดแผลแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ “บาดแผลของแม่นางดูเหมือนจะสมานไม่ได้… ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าแม่นางถูกอาวุธประเภทใดทำให้บาดเจ็บมา”

หมิงซิวนิ่งไป นัยน์ตาปรากฏแววดุดัน “ธนู”

ไห่คงจื่อสูดหายใจดังเฮือก “นี่ไม่เหมือนบาดแผลจากธนูเลยนี่”

แผลจากธนูไม่มีที่ใหญ่เช่นนี้ หนำซ้ำยังไม่ได้สมานยากเช่นนี้ด้วย หน้าอกและแผ่นหลังของแม่นางผู้นี้ฉีกขาดไปหมด หากไม่ได้ท่านเทพที่ใช้พลังเทพรั้งลมหายใจเฮือกสุดท้ายของนางเอาไว้ นางคงวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว

“อีกอย่าง…” ไห่คงจื่อจับต้องเส้นชีพจรของเฉียวเวยเวยอีกครั้ง “ดูเหมือนนางจะไม่ได้บาดเจ็บแค่เพียงร่างกาย วิญญาณนางก็กระจัดกระจายไปแล้ว ชีพวิญญาณของนางอ่อนแรงมาก”

หมิงซิวไม่ได้พูดอะไร ธนูดอกนั้นพุ่งตรงมาที่เขา มีคนไม่อยากให้เขากลับสู่แดนเทพ จึงทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อสังหารเขาให้ตาย ธนูแสงลำนั้นยิงออกมาจากธนูเทพ ซึ่งไม่เพียงสามารถทำลายกายเนื้อที่ก่อขึ้นใหม่ของเขา แต่ยังสามารถทำลายวิญญาณของเขาได้ด้วย

เจ้ามังกรน้อยถูกธนูเช่นนั้นเข้าไป ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ได้

สองร่างเดิมของนางล้วนถูกโจมตีอย่างรุนแรงในระดับที่หวังให้นางมอดไหม้ นางไม่เพียงแปลงเป็นมารมังกรไม่ได้ แต่ยังเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นบัวน้ำแข็งไม่ได้แล้วด้วย

ที่ยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ ดวงจิตตั้งต้นของนางถูกทำลายจนกระจัดกระจาย กายหยาบก็อ่อนล้าอย่างยิ่งยวด เมื่อกายหยาบไม่อาจดึงรั้งดวงจิตตั้งต้นที่กระจัดกระจายเอาไว้ได้ ทุกวันก็จะได้เห็นไอวิญญาณของนางไหลซึมออกจากร่าง

ไอวิญญาณจากตัวนางซึมออกมาเท่าไร หมิงซิวก็คว้ากลับมาให้นางเท่านั้น แต่นั่นไม่อาจช่วยเรื่องบาดแผลของนางได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้นหุบเขาซือกั้วไม่มีพลังปราณเทพ หมิงซิวมีแต่ใช้ออกไม่มีซับเข้า พลังเวทย์จึงใกล้จะเหือดแห้งเต็มทีแล้ว

ไห่คงจื่อบอกว่า “เปลือกนอกของคนก็เหมือนภาชนะ ส่วนดวงจิตตั้งต้นก็เหมือนน้ำแข็งในภาชนะ ดวงจิตของพวกเราทุกคนล้วนเป็นแผ่นสมบูรณ์ที่ควบแน่นอยูในภาชนะ อาการของแม่นางในตอนนี้กลับเป็นน้ำแข็งที่แตกละเอียด ภาชนะก็แตกร้าว หากคิดจะประคองอาการของแม่นางไว้ จะต้องซ่อมภาชนะให้ดีเสียก่อน น้ำแข็งก็ต้องแช่แข็งให้นางใหม่ ข้าแก่แล้วไร้ความสามารถ แต่แผลภายนอกยังสามารถรักษาได้ ส่วนดวงจิตที่แตกละเอียดของนาง… เกรงว่าคงต้องใช้ยารวมวิญญาณแล้ว”

หมิงซิวเอ่ยว่า “ในหุบเขาซือกั้วของพวกเจ้ามียารวมวิญญาณ?”

ไห่คงจื่อส่ายหน้า “ไม่มี ยารวมวิญญาณในแดนเทพยังนับเป็นของล้ำค่าหาใดเปรียบ นักโทษชั้นต่ำอย่างพวกข้าจะมีของเช่นนั้นได้อย่างไร แต่หากท่านเทพเชื่อในตัวข้า ท่านสามารถทิ้งเม่นางไว้ที่นี่แล้วออกไปตามหายารวมวิญญาณด้านนอกหุบเขาซือกั้วได้”

หมิงซิวเหลือบมองเฉียวเวยเวยที่อยู่ข้างกาย “ข้าไม่อาจทิ้งนางให้อยู่ที่นี่คนเดียวได้”

ไห่คงจื่อบอกว่า “แต่นางบาดเจ็บถึงเพียงนี้ หากท่านเทพพานางออกไปตามหายาด้วยแล้วเกิดพบเจออันตรายเข้า เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่ออาการบาดเจ็บของนาง”

หมิงซิวหันไปเอ่ยกับไห่คงจื่อ “ข้าขอถามเจ้า หากข้าเอาพลังฝึกตนให้เจ้า เจ้าสามารถทำยารวมวิญญาณขึ้นมาได้หรือไม่”

ไห่คงจื่ออึ้งงันไป

หมิงซิวเข้าใจทันทีจึงเอ่ยต่อว่า “จะทำยารวมวิญญาณต้องใช้สมุนไพรอะไรบ้าง”

ไห่คงจื่อตอบว่า “จิตตั้งต้น”

“ต้องใช้เท่าไร” หมิงซิวถาม

ไห่คงจื่อจึงบอกว่า “ต้องดูว่าจะทำยาระดับใด โดยทั่วไปจิตตั้งต้นสิบดวงก็เพียงพอแล้ว ระดับของยาจะแตกต่างไปตามระดับของจิตตั้งต้น จิตตั้งตนระดับล่างก็จะทำยารวมวิญญาณออกมาได้ในระดับล่าง จิตตั้งต้นระดับกลางก็จะทำยารวมวิญญาณได้ระดับกลาง…”

หมิงซิวเอ่ยโดยไม่หยุดคิด “ชั้นเลิศเล่า?”

ไห่คงจื่อถอนหายใจ “ชั้นเลิศคงยากแล้ว อย่างน้อยต้องใช้จิตตั้งต้นสี่สิบเก้าดวง”

หูซือไห่กำลังนั่งกินบะหมี่อยู่ตรงมุมกำแพง บุรุษร่างกำยำนั่งอยู่ข้างเขา เขาเลือกคีบเอาเนื้อติดมันในชามใส่ลงไปในชามของบุรุษร่างกำยำ

บุรุษร่างกำยำกินลงไปจนหมด ระหว่างที่เคี้ยวยังเอ่ยถามเสียงอู้อี้ว่า “ท่านเทพเข้ามาพักอาศัยที่นี่แล้ว ได้บอกหรือไม่ว่าเมื่อไรจะเอาเจ้านั่นออกจากตัวเจ้า”

หูซื่อไห่ซดน้ำแกงข้นๆ ลงคอก็พลันรู้สึกสบายตัว เอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “จะสนใจมันไปไย มีชีวิตอยู่ก็หาได้มีความหมายอันใด”

บุรุษร่างกำยำมองเนื้อติดมันในชาม เอ่ยอย่างหดหู่ว่า “จะพูดเช่นนั้นไม่ได้”

“เช่นนั้นจะให้พูดอย่างไร” หูซื่อไห่กินบะหมี่ไปคำหนึ่ง คิดจะปลอบใจบุรุษร่างกำยำว่าตนแค่พูดให้เขาตกใจเฉยๆ เขายังใช้ชีวิตมาไม่พอเลย ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักร้อยปี แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไป แสงจากเหนือศีรษะก็มืดลง เขาถูกเงาคนสูงใหญ่เลื่อนมาครอบเอาไว้

เขาเงยหน้าขึ้นไปอย่างอึ้งๆ “ท่าน เทพ เทพ…”

ท่านเทพคว้าคอเสื้อเขาแล้วยกตัวขึ้นมา อีกมือหนึ่งแตะเบาๆ ตรงหว่างคิ้ว พลังเวทย์ช่วยคลายตาที่ผนึกอยู่กลางหน้าผากของเขาให้

หลังจากผนึกคลายลงแล้ว สายตาของหูซื่อไห่ก็เบิกโพลง…

“ซี๊ด…”

แม่ทัพเทพที่ขี่ม้าสีขาวตามหาร่องรอยของหมิงซิวอยู่ห่างจากหุบเขาซือกั้วไปเจ็ดสิบแปดสิบลี้ อยู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ดวงตาทั้งสองข้าง เขากดตาไว้พลางสูดปากด้วยความเจ็บ

องครักษ์เทพที่อยู่ด้านข้างถามว่า “ใต้เท้า ท่านเป็นอะไรไปหรือ”

แม่ทัพเทพกะพริบตา ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มดุดัน “ข้าเห็นเขาแล้ว”

องครักษ์เทพถามว่า “เขาอยู่ที่ไหนหรือ”

แม่ทัพเทพบอกว่า “หุบเขาซือกั้ว”

ตราผนึกที่แม่ทัพเทพทิ้งเอาไว้ตรงหว่างคิ้วหูซื่อไห่แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเพื่อให้สามารถควบคุมความเป็นความตายของเขาได้ ความเป็นความตายของนักโทษคนหนึ่ง แม่ทัพอย่างเขาไม่เห็นอยู่ในสายตา ที่เขาทำเช่นนั้นก็เพราะสงสัยว่าคนในหุบเขาซือกั้วมีเรื่องปิดบังเขาอยู่ จึงใช้ดวงตาของหูซื่อไห่ในการตามหาท่านเทพ

หมิงซิวมองเล่ห์กลนี้ของเขาออกแต่แรกแล้ว ตอนที่พวกหูซื่อไห่ขึ้นมาหาเขาที่ถ้ำ เขาก็ลอบปิดผนึกดวงตาของหูซื่อไห่ไว้แล้ว จนกระทั่งผนึกนั้นถูกคลายลง ดวงตาของหูซื่อไห่ถึงได้ส่งต่อภาพที่แท้จริงให้กับแม่ทัพเทพ

แม่ทัพเทพนำองครักษ์เทพนับร้อยชีวิตมาปิดล้อมหุบเขาซือกั้ว ภายในหมู่บ้านว่างเปล่าไร้ผู้คน เหลือเพียงหมิงซิวที่ยืนอยู่กลางพื้นที่โล่ง

หมิงซิวอยู่ในอาภรณ์ยาวสีขาวนวล เส้นผมดำขลับพลิ้วสยายอยู่ด้านหลัง ดูคล้ายผ้าไหมมีหมึกที่ทิ้งตัวยาวลงมา

ต่อให้ผ่านไปแล้วสองหมื่นปี รูปลักษณ์ของเขายังคงงดงามจนไม่อาจบรรยาย

แต่ลักษณะท่าทางของเขากลับเปลี่ยนไป ไม่ใช่บุรุษหนุ่มที่สุภาพนุ่มนวลประหนึ่งหยกเช่นในความทรงจำอีก ในตาเต็มไปด้วยไอสังหารที่แสดงความดุดัน

จังหวะนั้นแม่ทัพเทพถึงกับไม่กล้าคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนเดียวกับในความทรงจำของตน

หมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ทำไม ยังต้องให้ข้าเงยหน้าพูดคุยกับเจ้าด้วยหรือ ไม่ได้พบหน้ากันสองหมื่นปี ท่วงท่าของเด็กถือหนังสือเปลี่ยนเป็นผ่าเผยเช่นนี้แล้ว”

เมื่อเอ่ยถึงเด็กถือหนังสือ สีหน้าแม่ทัพเทพก็พลันเปลี่ยน

มือที่จับบังเหียนของแม่ทัพเทพพลันกำแน่น “เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นท่านเทพเจ้าตำหนักเมฆาผู้สูงส่งอีกหรือ อย่าฝันไปเลย ตำหนักเมฆาล่มสลายแล้ว เจ้าก็ไม่ใช่คนมีตำแหน่งแห่งที่มาจากไหนอีก! เวลานี้เจ้ายังสู้สุนัขเช่นข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!”

สายตาจีหมิงซิวดูดุดันขึ้น “เจ้าว่าอะไรนะ ตำหนักเมฆาล่มสลายแล้ว?”

แม่ทัพเทพหัวเราะด้วยความสะใจ “ถูกต้อง! ตำหนักเมฆาล่มสลายแล้ว! ทั้งนายบ่าวในตำหนักเมฆานับร้อยชีวิตถูกเนรเทศไปหมดแล้ว! น้องชายน้องสาวของเจ้าก็ตายไปแล้ว! หากรู้ว่าควรทำเช่นไร ก็จงก้มหัวคำนับให้ข้าแต่โดยดี บางทีข้าอาจจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน ยอมให้เจ้าตายสบายๆ ก็เป็นได้!”

บนตัวของหมิงซิวพลันมีไอสังหารรุนแรงแผ่ออกมาทันที หุบเขาซือกั้วที่รกร้างพลันเปลี่ยนเป็นคุกในโลกมนุษย์ “ตายสบายๆ นั้นเก็บไว้ให้ตัวเจ้าเองเถิด”

แม่ทัพเทพถูกบรรยากาศรอบตัวเขาทำให้ขวัญผวา แต่ก็เป็นเพียงชั่วแวบหนึ่งเท่านั้น พอนึกถึงความต่างเรื่องฐานะของทั้งสองในเวลานี้ แม่ทัพเทพก็ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอีก

แม่ทัพเทพกางสองแขนออก เอ่ยอย่างหยิ่งผยองเหลือแสนว่า “ดูสภาพของเจ้าในเวลานี้เข้า ก็แค่สุนัขที่ไร้บ้านตัวหนึ่ง เจ้ายังจะทำอะไรข้าได้อีก”

“เช่นนั้นก็ต้องดูว่าข้าทำอะไรเจ้าได้หรือไม่แล้ว” หมิงซิวเอ่ยเสียงดุจบก็ยื่นมือที่เรียวยาวประหนึ่งหยกของตนออกไป ปลายนิ้วเล็งตรงไปที่หว่างคิ้วอีกฝ่าย แสงทองอร่ามพุ่งออกจากปลายนิ้วเขา

เดิมทีแม่ทัพเทพคิดว่าลำแสงทองนี้มุ่งตรงมาที่ตน ถึงขั้นควักโล่หุ่นเทียนออกมา ไหนเลยจะรู้ว่าลำแสงทองนั้นหักเลี้ยวกลางทาง พุ่งทะลุม้าตัวที่เขาขี่อยู่!

ม้าบินร้องครวญเสียงก้อง ล้มคว่ำลงตรงนั้นทันที!

แม่ทัพเทพเสียสมดุล ตัวร่วงหล่นจากกลางอากาศ แน่นอนว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นแม่ทัพเทพ การฝึกตนของเขาเพียงพอที่จะรับมือสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ เพียงแต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเลยก็คือ เขาเพิ่งใช้คาถาประคองตนไว้ได้และคิดจะโจมตีกลับใส่ท่านเทพ แต่กลับต้องตกใจเมื่อพบว่าเจ้าตำหนักเมฆาที่อยู่กลางพื้นที่โล่งหายตัวไปแล้ว!

“หึ~”

เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังขึ้นเบาๆ ที่ข้างหู

ตัวของแม่ทัพเทพถูกกระตุ้น เขาพลันตั้งสติได้แต่น่าเสียดายที่ช้าไปเสียแล้ว

ฝ่ามือใหญ่ของหมิงซิวตะปบเข้าที่กะโหลกศีรษะของเขา พลังปราณเทพของเขาไหลกรูเข้าร่างหมิงซิวอย่างบ้าคลั่ง

ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา กว่าองครักษ์เทพที่ล้อมอยู่จะตั้งสติได้ พลังฝึกตนของแม่ทัพเทพก็ถูกดูดจนไม่เหลือหลอแล้ว

พวกไห่คงจื่อที่คอยดูอยู่ในบ้านถึงกับตาค้าง

ไม่เพียงแค่พวกเขา องครักษ์เทพที่ล้อมอยู่ก็ตะลึงค้างไปกับภาพที่เห็นเช่นกัน

เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แม่ทัพเทพของพวกเขา…ถูกนักโทษคนหนึ่งบดขยี้ต่อหน้าองครักษ์เทพนับร้อยชีวิตเชียวหรือ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง (偏方方) แนะนำเรื่องย่อ เมื่อหมอสาวยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณแถมพ่วงด้วยลูกแฝดอีกสอง ทำขนม ดักสัตว์ ทำไร่ ทำทุกอย่างที่ได้เงิน! เฉียวเวย เด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรจู่ๆ ก็ทะลุมิติมายังยุคโบราณที่ไม่รู้จัก นอกจากจะมาอาศัยร่างคนอื่นอยู่แล้ว ร่างเดิมนี้ยังมีลูกแฝดอีกสองชีวิตให้ต้องเลี้ยงดู! นางที่ไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ ในโลกใบใหม่แต่พราะทักษะติดตัวสมัยยังต้องดิ้นรนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้ชีวิตไม่ลำบากเกินไปนัก ทำขนม ดักสัตว์ ปลูกพืช รักษาคน จากนี้นางจะเลี้ยงลูกๆ ให้เติบใหญ่ด้วยมือของนางเอง! เจ้าซาลาเปาน้อยจูงมือบุรุษใบหน้าเคร่งขรึมเข้ามา "ท่านแม่ ท่านลุงบอกว่าเขาเป็นพ่อของข้า" เฉียวเวยยิ้มละไม "ลูกรัก บอกพ่อเจ้าหน่อย ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะพิสูจน์ว่าเป็นพ่อของเจ้าได้" เจ้าซาลาเปาน้อยเปิดสมุดทองคำ พูดอย่างชื่อๆ ว่า "ข้อที่หนึ่งร้อยหนึ่งของ 'กฎครอบครัวเฉียว' หลอกลวงเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านลุง หากท่านเป็นพ่อของข้าจริงๆแล้วล่ะก็..." โดยไม่รอให้เจ้าซาลาเปน้อยจะพูดจบ ปลายนิ้วอันย็นเฉียบของชายคนนั้นก็บีบคางของเฉียวเวย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชาและเป็นอันตราย "หากข้าจำไม่ผิด คืนนั้น เหมือนเจ้าจะเป็นคนบังคับขืนใจข้า!"

Options

not work with dark mode
Reset