บทที่ 437 คาดเดา
บทที่ 437 คาดเดา
อู๋ฝานใช้เวลาที่ชั้นบนสุดอยู่นานพอสมควร เพื่อทำการจดจำเนื้อหาวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่า รวมถึงอ่านแนวคิดและเคล็ดลับสำหรับใช้ฝึกฝนจากคนรุ่นก่อน แต่กลับไม่อาจทำความเข้าใจจนถึงที่สุดกับวิชานี้ได้ ถ้านำไปใช้ฝึกฝนก็ยังมีหลายส่วนที่ชวนให้สับสน
“จริงด้วย!” อู๋ฝานที่กำลังวิเคราะห์วิธีการฝึกฝน ทันใดนั้นเองที่ปรากฏแสงวาบในดวงตา “ที่ในโลกแห่งเกม ขอแค่เป็นวิชาสำหรับใช้ฝึกฝน เพียงวางมือลงบนวิชาก็จะเรียนรู้ได้ทันที และเนื้อหาคำอธิบายของวิชาก็ยังจะซึมซับเข้าสมอง พร้อมช่วยทำความเข้าใจได้โดยตรง แล้วจะเป็นยังไงถ้าเรานำเอาวิชานี่เข้าไปยังโลกแห่งเกม?”
อะไรก็ตามจากโลกแห่งความเป็นจริง ตอนนี้อู๋ฝานนำไปยังโลกแห่งเกมได้เพียงชิงหลี นอกเหนือจากนั้นก็ยังไร้ซึ่งหนทาง เนื่องจากทดลองมาแล้วมากมาย ผลลัพธ์กลับมีเพียงชิงหลีที่เป็นสัตว์เลี้ยงจึงสามารถพาไปด้วยได้ ส่วนสิ่งนอกเหนือจากนั้น ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไร้ชีวิตก็ไม่อาจพาไป
แต่วิชาฝึกฝนเป็นอะไรที่ค่อนข้างพิเศษ ปัจจุบันอู๋ฝานจดจำเนื้อหาวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าได้ครบถ้วนแล้ว เมื่อกลับไปยังโลกแห่งเกม ขอเพียงอาศัยความทรงจำเขียนวิชาฉบับคัดลอกออกมา ถึงตอนนั้นมันก็จะกลายเป็นวิชาในโลกแห่งเกมใช่ไหม?
สิ่งของไม่อาจนำไปยังโลกแห่งเกม แต่การเทเลพอร์ตไม่ได้ล้างความทรงจำ ดังนั้นอะไรก็ตามที่จำได้ย่อมสามารถนำไปใช้กับที่นั่นได้ นับเป็นประเด็นที่น่าสนใจ
แต่ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าช่องโหว่นี้จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ เนื่องจากจำเป็นต้องรอกลับไปยังโลกแห่งเกมแล้วจึงค่อยพิสูจน์อีกครั้งหนึ่ง
ในเมื่อไม่อาจทำความเข้าใจวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าได้ เขาก็ไม่คิดอยู่ที่นี่ต่อนาน แนวคิดที่คิดขึ้นมาทำให้ความอยากทดลองเกิดขึ้นในใจ อู๋ฝานตัดสินใจกลับจากชั้นบนสุดของหอสมุดไปยังชั้นที่สองซึ่งมีฝาแฝดรออยู่
“จะว่าไปแล้ว สำนักนี้กินดื่มด้วยแนวคิดมังสวิรัติไม่แตะต้องเนื้อเลยงั้นเหรอครับ? ไม่เคยทานเนื้อกันเลย?” ขณะเดินกลับ อู๋ฝานนึกถึงเรื่องอาหารมังสวิรัติของเมื่อคืนและเมื่อเช้าขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม
“สำนักของเราไม่ได้มีกฎห้ามทานเนื้อสัตว์ค่ะ แต่วิชาที่พวกเราฝึกฝนส่วนใหญ่คือการทำให้ใจกระจ่างและจิตควบแน่น ดังนั้นการทานเนื้อให้น้อยจึงเป็นเรื่องที่ดีกว่า” เหมยอวี่ตอบกลับ
“ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น การทานเนื้อทำให้อ้วนง่ายด้วยค่ะ!” เหมยเสวี่ยที่อยู่ข้างกันเผยสีหน้าจริงจังออกมา
อู๋ฝานมองร่างผอมเพรียวของแฝดทั้งสองก่อนจะพูดไม่ออก พวกเธอที่ฝึกฝนตนเองไม่น่าจะอ้วนเพราะเหตุผลนี้นะ
แน่นอนว่าหากขึ้นชื่อว่าผู้หญิงก็ต้องห่วงภาพลักษณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะโลกสามัญหรือว่าแวดวงผู้ฝึกตนก็ไม่มีข้อยกเว้น
“แล้วศิษย์ภายในสำนักทุกคนห้ามแต่งงานรึเปล่านะครับ?” อู๋ฝานยังคงถาม
“ไม่นะคะ” เหมยอวี่ส่ายหน้า “ปกติทุกคนมีสิทธิ์แต่งงานอยู่แล้ว แต่ระดับเจ้าหอหรือว่าผู้อาวุโสมักจะเลือกครองตัวเป็นโสด เป็นการตัดสินใจใช้ชีวิตเพื่อสำนัก แต่หอคันธะสงัดของพวกเราก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกับสำนักอื่น รวมถึงไม่ค่อยได้ติดต่อกับโลกภายนอกด้วย ทำให้ศิษย์น้อยคนจะได้แต่งงานค่ะ”
“เป็นแบบนี้นี่เอง” อู๋ฝานพยักหน้ารับ ส่วนใหญ่จะเป็นคำถามที่เขาสงสัย ไม่ได้ต้องการลงลึกแต่อย่างใด แต่ก็มากพอที่จะทำให้เข้าใจสถานการณ์ของศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนัก ว่ามีคนแต่งงานเช่นกัน ทว่ามีจำนวนน้อย
พวกเธอคือกลุ่มหญิงสาวที่เลือกอยู่ที่บนภูเขาแห่งนี้เพื่อฝึกฝน น้อยครั้งจะออกไปโลกภายนอก หากคิดหาคู่ครองจึงเป็นเรื่องยาก
แน่นอนว่าหากพวกเธอต้องการเสาะหา ก็เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นแวดวงผู้ฝึกตนหรือโลกภายนอกตามปกติ ย่อมต้องมีคนมากมายยินดีแต่งงานกับพวกเธอ อย่างไรแต่ละคนก็มีเงื่อนไขที่ดีพร้อมกันทั้งสิ้น
หลังออกจากหอสมุด อู๋ฝานจึงเดินสำรวจพื้นที่ของสำนักร่วมกับเหมยอวี่และเหมยเสวี่ย
อาณาเขตของหอคันธะสงัดค่อนข้างกว้างใหญ่ สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ค่อนข้างดี ด้านหลังที่ตั้งสำนักยังมีน้ำตกและธารน้ำที่ไหลผ่านป่า แน่นอนว่ามีป่าก็ไม่อาจขาดสัตว์ป่า เมื่อได้เห็นปลาแหวกว่ายในธารน้ำ อู๋ฝานก็สายตาเป็นประกาย พร้อมเกิดความคิดอยากจับมาปรุงอาหารเพื่อทาน
แม้จะมีบริเวณกว้างใหญ่และสภาพแวดล้อมดีเยี่ยม แต่ที่นี่กลับไม่มีอะไรให้ทำ ดังนั้นอู๋ฝานที่เบื่อหน่ายเป็นทุนเดิมจึงเริ่มอยากหาสิ่งอื่นทำ
นั่นคือการสร้างอาวุธ!
พื้นที่ของหอคันธะสงัดย่อมมีห้องปรุงยาและโรงตีเหล็กสำหรับศิษย์ในสำนัก ผู้ที่มีความเข้าใจในด้านดังกล่าวจะคอยทำงานอยู่ตามแต่ละสถานที่ ศิษย์ของหอคันธะสงัดอย่างไรก็ต้องใช้งานอาวุธ และส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างขึ้นเอง แน่นอนว่าฝีมือนั้นยังไม่อาจเทียบกับสำนักหลอมกระบี่ ดังนั้นอาวุธของเจ้าหอและผู้อาวุโสจึงยังต้องขอให้ทางสำนักหลอมกระบี่ช่วยทำให้
ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของสำนักหลอมกระบี่อีกครั้งหนึ่ง
แต่ตอนนี้ที่นี่มีอู๋ฝาน เรื่องราวจึงแตกต่างออกไป
อย่างไรอู๋ฝานก็ครอบครองวิชาปรุงยาและวิชาตีเหล็กระดับมาสเตอร์ อาวุธที่เขาสร้างขึ้นจะไม่ด้อยไปกว่าของสำนักหลอมกระบี่อย่างแน่นอน
“เจ้าหอ พวกเรามาทำอะไรที่นี่เหรอคะ? ท่านอยากได้อาวุธ?” เหมยเสวี่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย เนื่องจากทั้งสามเดินมาถึงโรงตีเหล็กกันเป็นที่เรียบร้อย วันนี้ทำให้เหมยเสวี่ยได้เข้าใจว่าอู๋ฝานไม่มีท่าทีความเป็นเจ้าหอผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งยังอัธยาศัยดีจนทำให้เธอเริ่มมีความกล้าที่จะถาม ไม่เหมือนครั้งแรกที่เจอกันที่เธอนึกกลัวและกังวลไปเอง
“แม้ศิษย์พี่ศิษย์น้องของพวกเราสร้างอาวุธได้ แต่คุณภาพก็ยังไม่อาจเทียบสำนักหลอมกระบี่ค่ะ ถ้าเจ้าหอต้องการอาวุธ ฉันคิดว่าไปเจรจากับสำนักหลอมกระบี่น่าจะดีกว่าค่ะ” เหมยเสวี่ยบอก
“ผมไม่ได้มาหาอาวุธให้ตัวเองครับ แต่มาช่วยพวกคุณทำอาวุธต่างหาก” อู๋ฝานยิ้มตอบ
“พวกเรา?” เหมยเสวี่ยมองกระบี่ยาวในมือพลางตอบ “ฉันมีอาวุธแล้วค่ะ”
“อาวุธของพวกคุณยังใช้ไม่ได้ครับ” อู๋ฝานตอบกลับ
“ไม่ได้?” เหมยเสวี่ยทวนคำ “ฉันว่ามันก็ดีแล้วนะคะ”
“ไว้ผมแสดงให้ดูเองว่าอาวุธที่ดีเป็นยังไงนะครับ” อู๋ฝานหัวเราะตอบ
“เจ้าหอรู้วิธีตีอาวุธด้วยเหรอคะ?” เหมยอวี่เกิดความสงสัย
“ครับ” อู๋ฝานพยักหน้ารับ “พอรู้อยู่บ้าง”
เรียกได้ว่าอู๋ฝานถ่อมตัวด้วยซ้ำ เนื่องจากวิชาระดับมาสเตอร์นั้นมากพอจะทำให้ข้ามผ่านคนรุ่นราวคราวเดียวกันแม้แต่ในโลกแห่งเกมด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับโลกความเป็นจริงที่ระดับค่อนข้างต่ำกว่าโลกแห่งเกม
แต่ทั้งเหมยอวี่และเหมยเสวี่ยคิดว่าอู๋ฝานตอบตามความจริง นั่นคือพอรู้อยู่บ้าง มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องประหลาดใจ แม้กระทั่งศิษย์น้องในสำนักของพวกเธอที่รู้วิธีการสร้างอาวุธ แต่ระดับก็ไม่ได้สูงส่งอะไร ทั่วทั้งแวดวงผู้ฝึกตน มีเพียงคนของสำนักหลอมกระบี่เท่านั้นที่กล้ากล่าวอ้างว่าตนเองเชี่ยวชาญในการสร้างและตีอาวุธ คนของสำนักอื่นยังไม่มีหน้าพอจะไปเทียบเปรียบตนเองกับสำนักหลอมกระบี่
“เจ้าหอ” ขณะเดินนำสองแฝดเดินเข้าโรงตีเหล็ก ศิษย์ที่อยู่ภายในต่างรีบวางงานในมือพร้อมเอ่ยทักทายอู๋ฝานด้วยความนอบน้อม
“ตามสบายนะครับ” อู๋ฝานพยักหน้าให้ “ทำอะไรอยู่ก็ทำต่อไปครับ ผมขอยืมที่นี่สักหน่อย”
“ค่ะ!” แม้ในใจของพวกเธอจะสงสัยว่าอู๋ฝานต้องการทำอะไร แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม กระทั่งหลบเลี่ยงเปิดทางให้
“พวกคุณสองคนรอผมหน้าประตูก็แล้วกันครับ” อู๋ฝานบอกกับสองแฝด
“ค่ะเจ้าหอ”
…………………………………………………..