บทที่ 436 หอสมุด
บทที่ 436 หอสมุด
ท่าทีของสวีฮุ่ยค่อนข้างผิดจากที่อู๋ฝานคาด สีหน้าท่าทีของเธอที่บ่งบอกว่าพูดเรื่องจริง ทำให้เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดโกหกเพื่อเอาใจตนแต่อย่างใด
“เจ้าหอวางใจเถอะค่ะ ฉันไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่เจ้าหอมารับตำแหน่ง และฉันเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกส่วนตัวอะไรด้วย กลับกัน ฉันนึกนับถือและขอบคุณคุณซะด้วยซ้ำ” สวีฮุ่ยตอบกลับมา “ฉันได้ทราบเรื่องที่ภูเขาเทียนเหลียงแล้วค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหอมีใจเที่ยงธรรม เกรงว่าศิษย์ทั้งหมดที่เดินทางไปครั้งนี้คงเหลือรอดกลับมาแค่น้อยนิด และจะทำให้พวกเราที่เหลืออยู่ยิ่งคุ้มกันสำนักได้ยากลำบากยิ่งขึ้นซะด้วยซ้ำ ฉันที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยอดีตเจ้าหอตั้งแต่เด็กและเติบโตมากับที่นี่ หอคันธะสงัดคือทั้งหมดของฉัน ทุกอย่างของฉันอยู่ที่นี่ ขอเพียงทำให้สำนักอยู่รอดต่อไปได้ ฉันก็ยินดีที่จะสนับสนุน ทั้งยังเห็นได้ชัดว่าเจ้าหอเป็นคนที่เหมาะสมมากกว่า ดังนั้นเรื่องนี้ฉันจึงไม่มีความไม่พอใจแม้แต่น้อย อีกทั้งยังจะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ เพื่อประโยชน์ของสำนักแล้ว ถ้าจำเป็นก็ขอให้ออกคำสั่งมาได้เลยค่ะ”
คำพูดของสวีฮุ่ยทำให้อู๋ฝานรู้สึกนึกนับถือขึ้นมา
เห็นได้ว่าเธอคือคนที่ผูกพันอย่างลึกล้ำกับที่แห่งนี้ เป็นคนที่ยอมสละและทุ่มเทให้กับสำนักอย่างแท้จริง ในอดีตเธออาจมีความคิดเรื่องการขึ้นเป็นเจ้าหอ แต่เหตุผลนั้นก็เพื่อนำพาสำนักไปให้ไกลยิ่งกว่าที่เคยเป็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้ว่ามีคนอื่นที่เหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าหอมากกว่า ดังนั้นเธอจึงไม่ลังเลที่จะสนับสนุนและไม่คิดเป็นอื่นเพียงเพราะประโยชน์ส่วนตน
“วางใจได้ครับ ตราบใดที่ผมยังอยู่จะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหอคันธะสงัดทั้งนั้น!” อู๋ฝานตอบรับ
“ฉันเชื่อค่ะ!” สวีฮุ่ยตอบรับ
หลังอีกฝ่ายกลับออกไปแล้ว อู๋ฝานจึงนั่งนิ่งเหม่อมอง
แนวคิดของสวีฮุ่ยคือการปล่อยให้คนที่เหมาะสมกว่าได้ทำหน้าที่ เพียงแต่ในใจนั้น เธอเองก็ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเช่นกัน
เนื่องจากเขามีกิจการมากมายต้องดูแล และยังหลากหลายทับซ้อน ไหนจะยังเรื่องของโลกแห่งเกม จึงเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับหอคันธะสงัดทั้งหมด แต่สวีฮุ่ยไม่ใช่ โลกทั้งใบของเธอคือที่นี่ ทุกสิ่งของเธออยู่ที่นี่ ทุกวันเอาแต่คิดถึงเพียงสำนัก มีความคิดที่ต้องการจะพัฒนาสำนักให้ดีและก้าวหน้ายิ่งขึ้น เป็นคนที่มีความเป็นหอคันธะสงัดอย่างเปี่ยมล้น ดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้ท้าชิงขึ้นเป็นเจ้าหอยิ่งกว่าใคร
แต่อู๋ฝานก็ทราบดีว่าสถานการณ์ปัจจุบันของหอคันธะสงัดค่อนข้างพิเศษ เขาไม่อาจละทิ้งตำแหน่งเจ้าหอได้ตามใจนึกคิด เพราะที่นี่ยังต้องการยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมาคอยสยบปัญหาจากภายนอก แม้สวีฮุ่ยจะมีความสามารถยอดเยี่ยม แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังไม่อาจควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
‘เมื่อไหร่สถานภาพของหอคันธะสงัดมั่นคงกว่านี้ ไว้ค่อยส่งต่อตำแหน่งเจ้าหอให้สวีฮุ่ยก็แล้วกัน’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ “ตอนนี้ที่นี่เผชิญปัญหาสูญเสียกำลังการต่อสู้อย่างหนัก คงต้องหาทางฟื้นฟูส่วนนี้กลับมาก่อน”
ไม่ว่าจากคำพูดของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์หรือข้อมูลจากแหล่งอื่น แวดวงผู้ฝึกตนคือความโหดเหี้ยม วัฏจักรปลาใหญ่กินปลาเล็ก ความแข็งแกร่งของหอคันธะสงัดที่ถือว่าอ่อนแอมาตลอด ทำให้แถวหน้าของสำนักชั้นสองเกิดต้องตาต้องใจเล็งเป็นเหยื่อ แม้เขาจะรับหน้าที่มาแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถสกัดขัดขวางทุกคนได้
ดังนั้นเรื่องการฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับคืนมา และทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นจึงมีความสำคัญ
แต่จะฟื้นคืนหรือทำให้หอคันธะสงัดแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร?
ประการแรกคืออู๋ฝานคิดรับสมัครศิษย์เพิ่ม เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่ควรต้องทำ อย่างไรหอคันธะสงัดก็เพิ่งสูญเสียศิษย์ไปไม่น้อย ทำให้เกิดที่ว่างภายในสำนัก อย่างไรก็จำเป็นต้องรับศิษย์ใหม่เข้าร่วม ไม่ว่าจะเลื่อนขั้นมาจากสำนักนอก หรือเฟ้นหาจากโลกของคนทั่วไปก็ดี
ทว่าแค่การรับศิษย์ใหม่เข้ามาเพิ่ม กว่าจะเชี่ยวชาญจนเก่งกาจและช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่หอคันธะสงัดได้ก็จำเป็นต้องใช้เวลา ดังนั้นจึงต้องคิดหาทางอื่นเผื่อเอาไว้ด้วย
‘ถ้าทำให้เหล่าศิษย์ที่รอดชีวิตกลับมาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ก็เท่ากับการทำให้สำนักแข็งแกร่งขึ้นอีกไม่ใช่รึไง?’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ
หากต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เหล่าศิษย์ในสำนักที่รอดศึกกลับมา ก็จำเป็นต้องคิดหาหนทางนำมาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพาวิชาสำหรับใช้ฝึกฝน อาวุธ และสิ่งอื่นอีกหลายอย่าง
เพราะความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ ชายหนุ่มจึงแทบไม่ได้แตะอาหารเช้าเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายจึงลุกขึ้นยืนและออกไป
เพียงเปิดประตู ก็ได้พบเหมยอวี่และเหมยเสวี่ยยืนรออยู่ที่ด้านหน้า
“เจ้าหอ” เมื่อเห็นอู๋ฝานออกมา ทั้งสองจึงรีบเอ่ยทักทาย
“นำทางผมไปที่สถานที่เก็บรวบรวมวิชาทีครับ” อู๋ฝานกล่าวบอก
“ค่ะ” สองพี่น้องพยักหน้ารับพร้อมกัน ไม่ว่าจะสีหน้าหรือการเคลื่อนไหวก็แทบจะคล้ายกัน
ที่ตั้งของหอคันธะสงัดมีอาณาเขตกว้างขวางพอสมควร ไม่ว่าจะด้วยอะไรที่แห่งนี้ก็เป็นสำนักชั้นสอง พวกเขายังพอมีกำลังและอำนาจ อู๋ฝานที่เป็นเจ้าหอคนปัจจุบันคิดอยากเดินเที่ยวชมที่ใดก็ทำได้
หอสมุดเป็นสถานที่ซึ่งใช้เก็บรวบรวมวิชาฝึกฝนภายในหอคันธะสงัด เป็นอาคารสูงสี่ชั้น ชั้นที่หนึ่งจะเก็บวิชาระดับปฐพี ชั้นบนสุดจะเก็บวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าอันเป็นวิชาประจำสำนัก แต่ละชั้นจะเก็บวิชาที่ต่างระดับกัน รวมถึงเก็บบันทึกเคล็ดลับการฝึกฝนของศิษย์ในสำนักแต่ละรุ่น เคล็ดลับเหล่านั้นจะเป็นส่วนช่วยให้ศิษย์รุ่นหลังสามารถฝึกฝนและทำความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การฝึกฝน
นอกหอสมุดจะมีศิษย์ในสำนักเฝ้าคุ้มกันอยู่ แน่นอนว่าการที่อู๋ฝานต้องการเข้าไปนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
ทั้งเหมยอวี่และเหมยเสวี่ยต่างร่วมทางกับอู๋ฝานไปจนถึงชั้นที่สอง ก่อนจะต้องหยุดอยู่เพียงแค่ที่นี่
“เจ้าหอ หลังจากนี้ท่านต้องขึ้นไปด้วยตัวเองค่ะ พวกเราไม่อาจขึ้นไปที่ชั้นสามได้” เหมยอวี่เอ่ยขึ้น
“เป็นอะไรไปครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ตอนนี้พวกเราฝึกฝนได้แค่วิชาระดับลึกล้ำ จึงยังไม่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นไปยังชั้นสามค่ะ” เหมยอวี่ตอบกลับ
“แบบนี้นี่เอง เข้าใจแล้วครับ ถ้างั้นรอตรงนี้แล้วกัน” อู๋ฝานมองว่าตนเองไม่ควรฝ่าฝืนกฎโดยการพาทั้งสองขึ้นไปชั้นบน
“ค่ะ” แฝดทั้งสองตอบรับพร้อมกัน
อู๋ฝานขึ้นไปยังชั้นที่สามตามลำพัง ที่นี่ก็เหมือนชั้นแรกและชั้นที่สอง ที่มีศิษย์ในสำนักมาอ่านหนังสือ ส่วนใหญ่เป็นการมองหาเคล็ดลับที่ผู้อาวุโสของสำนักเหลือเอาไว้ แต่หากเทียบกับชั้นที่หนึ่งและสองจะมีจำนวนคนน้อยกว่า
ขณะอู๋ฝานขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด มันไม่เพียงมีแค่ชั้นหนังสือหนึ่งเดียวในห้องกว้างใหญ่ แต่ยังไม่มีใครอื่น อย่างไรที่ชั้นนี้ก็มีน้อยคนจะสามารถขึ้นมาได้
บริเวณตรงกลางของชั้นหนังสือ อู๋ฝานได้พบวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่า
จากนั้นเขาจึงนำมันออกมาเพื่อศึกษา
แต่ไม่นานเขากลับต้องขมวดคิ้ว เพราะได้พบว่าเทคนิคการฝึกฝนส่วนแรกดูง่ายและสามารถไล่ลำดับทำความเข้าใจได้ แต่ส่วนที่สองเห็นได้ชัดว่ายากทำความเข้าใจ ต่อให้เขาในตอนนี้ศึกษาเคล็ดวิชามากมายมาแล้ว ก็ยังพบว่ามันยากทำความเข้าใจและเรียนรู้
“ไม่แปลกใจเลยที่ตลอดช่วงพันปีที่ผ่านมาของหอคันธะสงัด จะไม่มีใครเคยเรียนวิชานี้จนถึงขีดสุดได้สักคน มันไม่ใช่แค่ยากธรรมดาแล้ว” อู๋ฝานพึมพำกับตัวเอง
…………………………………………………..