เช้าวันใหม่หลังจากนอนค้างที่โรงเตี๊ยมนั้นไปหนึ่งคืน มื้อเช้าวันนี้เองก็ไม่เลวเลย
เมนูวันนี้มีข้าว ซุปมิโสะ ถั่วหมัก ไข่ออนเซ็น สลัด และปลาย่าง
มีสาหร่ายถ้วยเล็กๆให้ด้วย
เป็นมื้อเช้าแบบธรรมดาสุดๆที่เห็นได้ทุกที่เลย
ไม่ใช่อะไรที่จะทำให้เกิดรีแอคชั่นแบบตะโกนว่า “อาหย่อย!!” ออกมาดังๆ เป็นมื้อเช้าที่ให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
อาหารเช้าสไตล์ญี่ปุ่นก็ต้องแบบนี้ล่ะนะ
ไข่ออนเซ็นทำให้รู้สึกว่าเป็นไข่ที่ถูกต้มในบ่อน้ำร้อนมาตรงๆเลย แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศรอบตัวเท่านั้น ดีไม่ดีไข่นี่ก็คงจะเป็นแบบที่ขายตามร้านทั่วไปนั่นล่ะ
หลังจากนั้นชั้นก็ลงไปแช่น้ำร้อนอีกครั้งเพื่อล้างตัวให้สดชื่นในตอนเช้า
ไม่มีสาวรุ่นๆอยู่เลยจริงๆนั่นแหละ เอาเถอะ ก็ยอมแพ้ไปแล้วล่ะนะ
“นี่โชตะ! อย่าวิ่งลงบันไดสิ!”
พอออกมาจากบ่อแล้วกำลังจะกลับห้อง ก็ได้เจอคนรุ่นๆเป็นครั้งแรกสักที
ถึงจะเป็นแค่เด็กผู้ชายก็เถอะ
ได้ยินเสียงของคนที่น่าจะเป็นแม่ดังมาจากชั้นบน ส่วนไอ้หนูนั่นก็วิ่งลงบันไดมา
โอ้ ร่าเริงจังนะแกเนี่ย ก็นะ ถ้ากลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็คงจะทำอะไรแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็สนุกให้เต็มที่ตั้งแต่ยังเด็กเถอะ
ตอนเด็กๆนี่ชั้นชอบกระโดดลงบ่อน้ำร้อนเหมือนกัน แต่พอโตขึ้นก็เริ่มต้องใส่ใจสายตาคนรอบข้างมากขึ้น เลยเลิกไป…
ตั้งแต่ที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากความอับอายในสายตาชาวบ้าน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มันก็กลายเป็นนิสัยไปซะนี่ ต่อให้อยู่ตัวคนเดียวก็จะไม่ทำ
อย่างเช่นอาหารชุดคุณหนูในร้านแฟมิลี่เรสเตอรองนี่ ตอนเด็กๆชั้นคิดนะว่า “เป็นเมนูที่เด็กจัง” แต่พอโตมาแล้ว ชั้นก็คิดนะว่ามันเป็นเมนูที่ดูดีพอตัวเลย
ปริมาณกำลังดี มีความหลากหลายในเมนูเดียว มีขนมหวานให้ด้วยในชุด แถมยังราคาไม่แพงอีก
แต่เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลยไม่สามารถสั่งได้ ไม่อย่างนั้นก็จะโดนพนักงานมองว่า “โตเป็นควายแล้วยังจะสั่งอาหารชุดคุณหนู” อะไรแบบนั้น
ทุกครั้งที่ชั้นเห็นอาหารชุดคุณหนู ก็อยากจะให้เปลี่ยนชื่อเป็นอาหารชุดเล็กหรืออะไรแบบนั้นดีกว่าน่ะนะ แล้วก็เสิร์ฟมาในจานแบบปกติ ถ้าเป็นแบบนั้นผู้ใหญ่ก็จะสั่งด้วยได้
ในระหว่างที่คิดแบบนั้น ไอ้หนูคนนั้นก็สะดุดและตกลงมาจากบันได
เฮ้เฮ้ ระวังหน่อยสิเฮ้ย
ถ้าปล่อยไว้มันอาจจะตายเอาได้ ชั้นเลยเข้าไปรับตัวไว้
เพราะว่าชั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเวทมนตร์ เลยทำให้ดูเหมือนว่าชั้นเป็นพวกแนวหลังก็จริง แต่ฝีมือดาบชั้นนี่ก็ไม่แพ้เลย์ล่าหรอกนะเออ
แค่จับเด็กที่ล้มตกบันไดนี่ไม่คนามือชั้นหรอก
…ก็นะ ถ้าชั้นสู้กับเลย์ล่าโดยไม่ใช้เวทมนตร์เสริมเลย ชั้นก็น่าจะแพ้นั่นแหละ สเตตัสทางกายภาพต่ำกว่านี่นา
ในฐานะอดีตชายชาตรีแล้วก็น่าอายเหมือนกันนะ
ไงก็เถอะ เอาเป็นว่าชั้นรับเด็กคนนั้นไว้ได้อย่างไม่มีปัญหา
“เป็นอะไรมากไหมจ๊ะ? ที่ร่าเริงก็ดีอยู่ แต่ก็ต้องคอยระวังตัวให้ดีด้วยนะจ๊ะ”
“อ่ะ…คะ คับ..”
เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองชั้นแบบงงๆแล้วก็พยักหน้าตอบ
หน้าแดงแจ๋เลย เป็นหวัดรึเปล่านะ…ล้อเล่นน่า ยังไงชั้นก็เคยเป็นตัวผู้มาก่อน แพอจะเข้าใจหัวอกได้แหละ
ถึงจะดูมีอายุแค่สักสิบขวบ แต่เด็กสมัยนี้น่ะแก่แดดเร็วกันหมดนั่นแหละ
แต่อายุเท่านี้นี่หื่นเป็นแล้วเหรอ?
ชั้นวางไอ้หนูลงแล้วก็เดินกลับไปที่ห้อง ส่วนยามาโตะซังที่อยู่ข้างๆก็พึมพำอะไรสักอย่าง
“น่าสงสารเด็กคนนั้นจัง…กระโจนเข้าใส่หน้าอกของเอลริสแบบนี้…แถมยังเป็นหลังจากแช่น้ำที่ทำให้ประสิทธิภาพรุนแรงขึ้นไปอีก…ถ้าไม่ใจแตกไปก็คงจะดีนะ”
“คิดมากไปแล้วค่ะ”
ไม่ใช่ความผิดชั้นนาเหวย ตูไม่รับผิดชอบหรอกนะ
อุตส่าห์ช่วยเอาไว้ทั้งที
“ได้เจอกันแค่ไม่กี่วินาทีเอง อีกเดี๋ยวก็ลืมแล้วล่ะค่ะ”
“กลัวว่าจะเป็นไม่กี่วินาทีที่ลืมไม่ลงน่ะสิ…”
เอาน่า คงไม่เป้นไรหรอก…มั้ง
“…”
“…”
.
เราเช็คเอาท์ออกจากโรงเตี๊ยมมานานพอสมควรแล้ว
ภายในรถของยามาโตะซังนั้นมีแต่ความเงียบและบรรยากาศที่หนักอึ้ง
ในตอนที่ชั้นมองออกไปนอกรถ คิดว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรดี ยามาโตะซังก็พูดขึ้นมา
“เอลริส เรื่องช่องว่างมิตินั่น่ะ…เธอจะต้องผนึกมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นะ”
คำที่ออกมาจากปากของยามาโตะซังนั้นเป็นสิ่งที่ชั้นคิดไว้อยู่แล้ว
สมกับเป็นโปรเฟตะ คิดออกมาได้ผลลัพท์ตรงกับชั้นเลย
ทั้งการที่ชั้นไปเกิดใหม่ที่ฟิโอริ และยามาโตะที่มาเกิดใหม่ในโลกนี้ ทั้งหมดนั้นล้วนเกิดขึ้นจากช่องว่างมิตินั้น
เมื่อนานมาแล้ว ความรู้สึกด้านลบจากทางฝั่งนี้ถูกถ่ายทอดไปยังฟิโอริ ทำให้เกิดบั๊กในระบบของโลกนั้นขึ้นมา
และเป็นตัวจุดฉนวนให้เกิดโศกนาฏกรรมที่คงอยู่ต่อเนื่องนานกว่าหนึ่งพันปี
ถ้าลองดูที่จาปอน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เห็นได้ชัดว่ามีแรงบันดาลใจมากจากญี่ปุ่น ก็คงคิดได้แค่ว่ามีคนที่เคยไปเกิดใหม่ในโลกนั้นก่อนหน้าชั้นมาแล้ว
การที่มันไม่ทำให้เกิดการก้าวกระโดดของอารยธรรมนี่ก็ถือว่าแปลกมากแล้ว หรือไม่ก็มันเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรหลงเหลือมาจากอารยธรรมพวกนั้นหลังจากผ่านยุคสมัยของเหล่าแม่มดมาเป็นพันปี
ถ้ามีใครกลับไปเกิดใหม่ที่โลกนั้นอีกล่ะก็ ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตของฟิโอริบ้าง
เพราะเช่นนั้น ช่องทางที่เชื่อมต่อสองโลกเอาไว้ จำเป็นต้องถูกตัดขาด
หรือก็คือ…ชั้นจะกลับมาที่ฟากนี้ไม่ได้อีกแล้ว และคงจะไม่มีโอกาสได้เจอยามาโตะอีกแล้วด้วย
นี่จะเป็นการจากลาครั้งที่สอง และเป็นครั้งสุดท้าย…ชั่วชีวิตนี้คงจะไม่ได้พบกันอีก หรือต่อให้เสียชีวิตไปแล้วก็อาจจะไม่ได้เจอกันในโลกหลังความตายด้วยซ้ำ
ถ้าผนึกรอยแยกมิตินั้นไป ยามาโตะก็จะถูกตัดขาดจากฟิโอริโดยสมบูรณ์ วิญญาณของเธอก็จะไม่ได้กลับไปที่นั่นอีก
“ชั้นคิดไว้อยู่แล้วล่ะค่ะ แต่ว่าแบบนั้น…”
“ไม่เป็นไรหรอก”
ยามาโตะจอดรถที่ข้างถนน และหันมาหาชั้น
สีหน้าของเธอนั้นสงบ ราวกับว่าได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว
ว่าแล้วเชียว เธอเองก็รู้อยู่แล้วสินะ
เธอเลือกโลกฝั่งนี้ ไม่มีโปรเฟตะแห่งฟิโอริอีกต่อไปแล้ว เธอในตอนนี้คือยามาโตะ ทามากิ ผู้คนของโลกใบนี้
เธอก็บอกไว้แล้วเมื่อวานนี่นา ว่า “นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย…” น่ะ
ต่อให้ไม่ต้องพูดจนจบ ชั้นก็รู้ว่าประโยคเต็มนั้นคืออะไร
ใช่แล้ว นี่คือครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะได้เจอกัน
เพราะแบบนั้นเลยชวนไปคุย แลกเปลี่ยนมุมมองกันสินะ
“บทบาทของตัวชั้นที่โลกนั้นน่ะจบลงไปแล้วล่ะ ชั้นน่ะพึงพอใจเกินพอแล้ว ทั้งได้เห็นจุดที่โศกนาฏกรรมจบลง ได้ใช้ชีวิตใหม่…และก็ได้เจอกับเจ้าอีกครั้ง ตัวข้าในตอนนี้น่ะ มีความสุขเกินพอเลยล่ะ”
“โปรเฟตะ…”
“ไม่ใช่โปรเฟตะเสียหน่อย ชั้นคือมนุษย์ที่มีชื่อว่ายามาโตะ ทามากิต่างหากล่ะ”
เธอพูดด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ชั้นโต้กลับไปไม่ได้
หลังจากนั้นยามาโตะซังก็หยิบสมา์ทโฟนขึ้นมาเสิร์ชอะไรสักอย่างให้ชั้นดู
เป็นกระทู้ที้เกี่ยวกับการพบเห็นตัวชั้น ดูเหมือนว่าจะมีคนที่พยายามหาตัวชั้นอยู่จริงๆนะเนี่ย
“ดูสิ ว่าแล้วเชียวว่าเธอน่ะเด่นเกินไป แถมยังมีเรื่องที่ช่วยเด็กผู้หญิงไว้จากไฟไหม้อีก… มีคำกล่าวกันอยู่นะว่าปากคนน่ะเอาฝามาปิดไม่มิด ตอนนี้น่ะยังดี แต่ถ้ามีพวกสตอล์กเกอร์ที่ไหนตามเธอไปถึงห้องแล้วเจอกับช่องว่างมิติเข้าล่ะก็แย่แน่ เพราะอย่างนั้นเธอก็ควรจะปิดรอยแยกนั้นก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นดีกว่านะ”
ยามาโตะพูดแบบนั้นในขณะที่เปิดประตูรถออกไป
ที่ตรงหน้านั้นคืออพาร์ทเมนต์เก่าของชั้น
เธอพาชั้นมาส่งถึงที่เลยแฮะ
เราเข้าไปในห้องชั้นที่ไม่มีใครอยู่ และยืนอยู่ด้านหน้าของช่องว่างมิติ
“โปรเฟตะ…ไม่สิ ยามาโตะซัง นี่เป็นการจากลาแล้วสินะคะ”
“ใช่แล้วล่ะ…”
ถ้าชั้นก้าวเข้ารอยแยกนั้นไปเมื่อไร เรื่องก็จะจบลง
ชั้นจะกลับไปที่ฟิโอริ และขอให้อัลเฟรียช่วยปิดช่องว่างนี้ไป
ชั้นจะกลับมาที่ฝั่งนี้ไม่ได้อีก และจะไม่ได้เจอยามาโตะซังอีกแล้ว
ก็ใช่ว่าชั้นจะคลายผนึกแล้วกลับมาเที่ยวไม่ได้หรอกนะ
แต่ถ้าแบบนั้น ชั้นก็จะทำให้ความแน่วแน่ของยามาโตะซังสูญเปล่า
…ว่าไปแล้ว ยามาโตะซังไม่เคยขอกลับไปพบกับอัลเฟรียอีกครั้งเลยนะ
ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับไปเจออีก
และเธอก็คงรู้ดีว่าถ้าแค่ขอชั้น ชั้นก็จะสามารถพาเธอกลับไปด้วยได้
แต่เธอคงจะรู้ตัวเองดี
ว่าถ้าได้เจอกับอัลเฟรียอีกครั้ง จะทำให้การตัดสินใจของเธอสั่นคลอน เธออาจจะอยากอยู่ที่ฟิโอริต่อไป และทอดทิ้งครอบครัวและเพื่อนฝูงในโลกทางฝั่งนี้ไว้เบื้องหลัง
เพราะแบบนั้น โปรเฟตะจึงไม่เคยขอชั้น
และเป็นเหตุผลที่ชั้นไม่สมควรกลับมาที่นี่อีกแล้ว
นี่คือครั้งสุดท้าย
“ไม่ต้องห่วงหรอกเอลริส ตัวชั้นน่ะไม่เคยรู้สึกมีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้มาก่อนเลยนะ ต่างจากพันปีที่ชั้นต้องใช้ชีวิตผ่านไปวันๆโดยไม่ได้ทำอะไร การที่มาเกิดใหม่ในโลกนี้นี่ล่ะ ที่ทำให้ชั้นรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่จริงๆ เพราะแบบนั้น ไม่ต้องเป็นห่วงชั้นไปหรอก แค่ใช้ชีวิตในแบบของเธอต่อไปก็พอแล้ว”
ยามาโตะหัวเราะ และยื่นมือออกมา
ส่วนตัวชั้นก็จับมือนั้นไว้และพยักหน้า
“นี่น่ะไม่ใช่เรื่องราวอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นอนาคตที่พวกเธอจะต้องเป็นคนสร้างเอง โศกนาฏกรรมของบุปผาแห่งนิรันดร์นั้นมาถึงจุดสิ้นสุดแล้วล่ะ ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าต่อจากแฮปปี้เอนดิ้งนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่า…ขอให้พวกเธอมีความสุขนะ”
“ค่ะ ขอให้มีความสุขเช่นกันนะคะ”
เรากอดกันเป็นครั้งสุดท้าย และชั้นก็เดินเข้าไปในช่องว่างมิติโดยไม่หันกลับไปมอง
ชั้นใช้งานบาเรีย และกระโจนเข้าไป
ในเวลาเดียวกันนั้น ชั้นก็ลาส่งท้ายในใจ
ถึงยามาโตะ ทามากิ ถึงประเทศญี่ปุ่น ถึงโลกปัจจุบัน
ถึงสิ่งค้างคาใจที่ชั้นมีทั้งหมดในโลกฝั่งนี้
–ลาก่อน และขอบคุณนะ…
…
แหม นั่นไม่เข้ากับคาแรคเตอร์ของชั้นเลยนะเนี่ย
ไม่เอาดีกว่า อย่างชั้นนี่ต้องจบเรื่องให้สดใสกว่านี้
จบเรื่องแล้วเว้ย! ไปอาบน้ำดีกว่า!
.
สักพักหนึ่งหลังจากเอลริสหายไปในช่องว่างนั้น ยามาโตะก็หันหลังกลับและออกจากอพาร์ทเมนต์นั้นไป
โลกที่ฝั่งนั้นจะต้องไม่เป็นไรแน่
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นแบบไหน ยังไงซะก็ยังมีเอลริสอยู่ทั้งคนนี่นา
เธอเชื่ออย่างนั้น
เพราะแบบนั้น เธอจึงวางใจและปล่อยโลกใบนั้นไปได้
เธอหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา และติดต่อไปหาคนสำคัญของเธอในโลกฝั่งนี้
“ฮัลโหล…อ่ะ แม่คะ? ได้เห็นเมลหนูเมื่อวานมั้ย? …อา ค่ะ ค่ะ เมื่อวานหนูไปค้างอยู่กับเพื่อนน่ะค่ะ เดี๋ยววันนี้หนูก็กลับบ้านแล้ว จะฝากซื้ออะไรมั้ยคะ? อา เคค่ะ เดี๋ยวเจอกันนะ”
เธอวางสายและยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
เธอมีอายุมานานกว่าพันปีแท้ๆ ต้องมาเรียกมนุษย์ที่มีอายุไม่ถึงร้อยว่า “แม่” นี่เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ
แต่คนที่ยืนอยู่ตรงนี้นั้นไม่ใช่โปรเฟตะอีกต่อไปแล้ว เธอคือยามาโตะ ทามากิ และเธอจะใช้ชีวิตที่นี่อย่างมีความสุขกับครอบครัวของเธอ
ไหนๆก็ไหนๆ เดี๋ยวชวนครอบครัวไปออกทริปกันดีกว่า
เธอมีเงินเก็บอยู่มากพอเลย
ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีสิ่งค้างคาใจใดๆเกี่ยวกับโลกฝั่งนั้นอีกแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็จะก้าวเดินต่อไป
ต่างจากครั้งที่ยังเป็นโหร อนาคตที่อยู่ข้างหน้าเธอนี้ เป็นสิ่งที่กระทั่งตัวเธอที่อยู่มาเป็นพันปีก็ไม่สามารถคาดเดาได้
เธอพูดได้เต็มปากเลย ว่าตัวเธอนั้น ใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้
“…แต่ว่า เด็กคนนั้น…เป็นคนที่กลับชาติมาเกิดใหม่จริงๆด้วยสินะ เอาเถอะ เจ้าตัวดูเหมือนจะไม่อยากบอกอะไร ก็จะปล่อยไปให้แล้วกันนะ”
ในขณะที่ผมของเธอปลิวไสวเบาๆไปกับสายลม ยามาโตะก็เดินหายเข้าไปในหมู่ฝูงชน