บทที่ 469 เด็กที่เกิดจากลูกสาวของเขาจะต้องยอดเยี่ยมกว่า
บทที่ 469 เด็กที่เกิดจากลูกสาวของเขาจะต้องยอดเยี่ยมกว่า
เมื่อโดนเซี่ยโยว่หมิงจับได้ นั่นยิ่งทำให้หวังผิงไร้ชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เธอทำหน้าบูดบึ้งและแสร้งทำเป็นเยาะเย้ย “เธอมีแม่สามี มีแม่บ้านที่บ้าน แล้วฉันจะเป็นที่ต้องการตอนไหนล่ะ? ฉันแค่กลัวว่าลูกเขยจะหาว่าครอบครัวฝั่งเราเป็นคนเฉยเมยจึงส่งของไปต่างหาก”
หลังจากนั้นเธอจึงหันหลังกลับเข้าบ้าน “ฉันขี้เกียจคุยกับคุณแล้ว ฉันจะไปดูว่าเด็ก ๆ ห่มผ้าห่มแล้วรึยัง”
แต่เธอแอบถอนหายใจ แม่สามีของเซี่ยชิงหยวนดูปวกเปียกจริง ๆ ไม่รู้ว่าจะช่วยดูแลอะไรได้มากหรือเปล่า
การอยู่ไฟของผู้หญิงก็เหมือนกับการได้เกิดใหม่เป็นครั้งที่สอง
ความเจ็บป่วยทางกายก่อนหน้านี้สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการอยู่ไฟ แต่ในทำนองเดียวกัน หากการอยู่ไฟทำได้ไม่ดี ปัญหาก็จะตามติดตลอดชีวิตของผู้หญิงคนนั้น
การอยู่ไฟเป็นเช่นนั้นเอง
ตอนเธอให้กำเนิดเซี่ยชิงหยวนและลูกคนอื่น ๆ เธอไม่ได้อยู่ไฟดีนัก ตอนนี้เมื่อแก่ตัวขึ้น จึงมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง บางครั้งเอวกับขาของเธอก็เจ็บในวันที่มีเมฆมากและมีฝนตก
เธอมองไปยังหลาน ๆ ที่กำลังหลับอยู่และถอนหายใจอีกครั้ง
เฮ้อ… ผิดมากนักเหรอที่เธอไม่อยากให้แยกครอบครัวออกจากกัน?
เมื่อเห็นหวังผิงเข้าไปในบ้าน เซี่ยโยว่หมิงและเซี่ยจิ่งเยว่ก็นั่งยอง ๆ อยู่ที่ประตูดูเป็นกังวล “เจ้าใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับลูกและภรรยาของแกกันแน่?”
ต่อหน้าหวังผิง เซี่ยจิ่งเยว่ไม่กล้าพูดอะไร แต่เมื่ออยู่กับเซี่ยโยว่หมิงเขาเล่าโดยไม่ปิดบังว่ากงเหลียนซินต้องการไปอยู่ในเมือง
เมื่อได้ยินสิ่งนี้เซี่ยโยว่หมิงก็เงียบไปสักพักแล้วพูดว่า “ถ้าภรรยาของแกอยากไปอยู่ในเมืองก็ไปกับเธอซะ ส่วนแม่ของแก พ่อจะเป็นคนพูดให้เอง”
เซี่ยจิ่งเยว่ลังเลก่อนจะพูดว่า “แต่…ร่างกายของพ่อกับแม่… ”
เซี่ยโยว่หมิงมองไปยังเซี่ยจิ่งเยว่ ดูเหมือนเขาเองก็จะเกลียดความจริงที่ว่าลูกคนนี้ทำอะไรไม่เด็ดขาดหนักแน่นสักอย่างเช่นกัน “ในเรื่องนี้พวกลูกสองพี่น้องไม่ดีเท่าน้องเขยของลูกเลยจริง ๆ ลูกสัญญากับภรรยาของตัวเองแล้วว่าจะไปอยู่ในเมืองกับเธอ แต่ตอนนี้กลับไม่ไป ถ้าเธอไม่ทะเลาะกับลูกแล้วเธอจะไปทะเลาะกับใคร?”
“ตอนนี้ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว และทั้งครอบครัวของเราก็ตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย ทำไมไม่คิดให้รอบคอบก่อนที่จะตกลงล่ะ?”
เขาหยุดชั่วคราว “ผู้ชายที่เป็นลูกผู้ชายจริง ๆ จะต้องยึดถือคำพูดของตัวเองเสมอ การจะกตัญญูต่อพ่อแม่ก็ต้องคำนึงถึงการแบกรับภาระของครอบครัวของตัวเองด้วย ถ้าแกคิดว่าไม่สามารถทำได้ก็อย่าได้ไปสัญญาอะไรแบบไร้เหตุผล”
“และนี่ยังแสดงให้เห็นถึงปัญหาเหมือนกัน แกต้องทำงานให้หนักขึ้นเพื่อทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้นสิ”
พอเซี่ยโยว่หมิงเห็นว่าสีหน้าของเซี่ยจิ่งเยว่ดูผ่อนคลาย เขาจึงตบไหล่ลูกชายและพูดว่า “อย่ากังวลไปเลย เมื่อแกสามารถตั้งหลักในเมืองได้แล้ว ก็แค่มารับพ่อและแม่ไปเที่ยวเล่นบ้างก็พอ ส่วนทางบ้านนี้มีทั้งพ่อและแม่อยู่ด้วย เพราะงั้นมันจะไม่มีความวุ่นวายอะไรหรอก”
เซี่ยโยว่หมิงได้พิจารณาอย่างรอบคอบถึงการตัดสินใจแยกครอบครัวแล้ว
ตอนนี้ลูกสาวคนเล็กและลูกเขยประสบความสำเร็จ พวกเขาส่งเงินมาให้ทุกเดือน ส่วนเซี่ยจิ่งเฉินก็ค่อย ๆ หาทางหาเงิน เรียกได้ว่าถ้าใช้อย่างระมัดระวังเงินก็เพียงพอแล้ว
หากเซี่ยจิ่งเยว่และภรรยาพาหลานชายสองคนไปอยู่ในเมืองในอนาคต พวกเขาจะปล่อยเช่าที่ดินที่พวกเขาไม่สามารถทำนาเองให้ผู้อื่นได้ และเก็บส่วนเล็ก ๆ ไว้ทำเอง ซึ่งเพียงพอสำหรับครอบครัวของพวกเขา
เพื่อไม่ให้ตัวเองหมดแรงจากการทำนา แล้วยังไม่ต้องพูดถึงการเสียเงินและทำให้ลูกต้องกังวลด้วย
หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยโยว่หมิง เซี่ยจิ่งเยว่ก็หลั่งน้ำตา
เขาปาดน้ำตาจากหางตา “พ่อครับ เป็นผมเองที่ไร้ประโยชน์ ผมขอโทษจริง ๆ”
เซี่ยโยว่หมิงหัวเราะและดุ “แกก็รู้ว่าตัวเองไร้ประโยชน์ แล้วทำไมไม่ทำงานให้หนักกว่าเดิมล่ะ? หรือทำไมไม่รีบเกลี้ยกล่อมให้ภรรยาของแกกลับมาเร็ว ๆ เพื่อที่แม่กับพ่อจะได้ไปหาน้องสาวของแกสักทีหะ”
เซี่ยจิ่งเยว่ยืนขึ้น “ผมจะออกไปโทรหาเหลียนซินตอนนี้เลย และขอให้เธอกลับมาช่วยดูแลเด็ก ๆ ก่อน เพื่อที่พ่อแม่จะได้ไปหาน้องสาว”
“เฮ้ นี่ในหัวแกคิดอะไรอยู่?” เซี่ยโจว่หมิงรั้งลูกชายไว้ “นี่มันมืดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยโทรไปเถอะ”
เซี่ยจิงเยว่เกาหัวอย่างเขินอาย “ครับ พรุ่งนี้เช้าผมค่อยไปแล้วกัน”
เซี่ยโหย่วหมิงมองดูลูกชายคนโตของเขาที่เริ่มโง่มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วส่ายหัว
เห็นได้ชัดว่าเขาฉลาดมากเมื่อตอนเป็นเด็ก แต่ทำไมโตขึ้นมาถึงโง่อย่างนี้นะ?
โชคดีที่ลูกสะใภ้ของเขานั้นฉลาด ไม่เช่นนั้นแม้แต่หลานชายของเขาคงจะโง่ไปด้วย
ดวงตาที่มีความสุขของเซี่ยโยว่หมิงหรี่ลงเมื่อเขาคิดถึงหลานที่ใกล้จะเกิดของตน
เด็กที่เกิดจากลูกสาวของเขาจะต้องยอดเยี่ยมกว่าเด็กที่เกิดจากไอ้ลูกชายเหลือขอสองคนนี้แน่นอน!
…
งานเลี้ยงน้ำชาในเขตที่พักอาศัยสำหรับสาว ๆ จะถูกจัดขึ้นทุก ๆ สองสัปดาห์
ทุกครั้งที่จัดที่บ้านใครก็แทบจะเคลื่อนที่ได้
เนื่องจากเซี่ยชิงหยวนตั้งครรภ์ เธอจึงไม่ได้ออกจากบ้านเป็นเวลานานแล้ว ทว่าหญิงสาวบังเอิญสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่สองสามอย่างจากตรอกเก่า เธอจึงเชิญทุกคนมาที่บ้านของตัวเองเพื่อชิมและให้ออกความคิดเห็น
ตอนนี้ถึงฤดูร้อนแล้ว จึงไม่สามารถซื้อหัวไชเท้าได้ เดิมทีเซี่ยชิงหยวนวางแผนที่จะหยุดทำต้มเครื่องในเนื้อวัวและหัวไชเท้า แล้วค่อยกลับไปทำต่อเมื่อมีหัวไชเท้าในฤดูหนาว
แต่เพราะไม่สามารถต้านทานความต้องการของทุกคนได้ ดังนั้นต้มเครื่องในเนื้อวัวและหัวไชเท้าจึงยังคงอยู่และมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น เต้าหู้ทอด เต้าหู้เสียบไม้ และลูกชิ้นต่าง ๆ ก็เพิ่มเข้ามาด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าไต้ยังส่งชุดน้ำจิ้มซาฉามาให้เธอกินด้วยกัน ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกถึงรสชาติที่แปลกใหม่
เมื่อใช้ประโยชน์จากฤดูร้อน ยอดซื้อของอาหารจานเย็นก็กลับมาอีกครั้งในร้านตรอกเก่า นอกจากอาหารมังสวิรัติแล้ว ยังมีอาหารประเภทเนื้ออีกมากมายที่มีรสเผ็ดและอร่อย ผู้คนที่ผ่านไปมาก็อดไม่ได้ที่จะมาซื้อ
ปากต่อปากแพร่กระจายให้ร้านตรอกเก่า และผู้คนที่อาศัยอยู่ห่างไกลยังต้องมาเพื่อซื้ออาหารจานเย็นหรือต้มเครื่องในเนื้อวัวที่พวกเขาชื่นชอบ
ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผลิตโดยเซี่ยชิงหยวนนั้นจริง ๆ แล้วคล้ายกับไก่เสียบไม้ หลังจากย่างไก่แล้วก็ลวกผัก เทซุปที่เตรียมไว้แล้วแช่ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
แต่ถึงอย่างนั้น หากคุณทำที่ร้าน คุณอาจต้องใช้หม้อเหล็กขนาดใหญ่และลึกเพื่อพักมันไว้
ป้าอู๋นำไก่เสียบไม้ออกมา ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน แม้แต่เด็ก ๆ ที่เล่นอยู่ข้าง ๆ ก็ยังถูกกลิ่นดึงดูดจนต้องมารวมตัวกันอยู่รอบ ๆ
เฟิงหว่านมองดูอาหารชามใหญ่ที่ชุ่มไปด้วยน้ำมันสีแดงและชมเชย “ชิงหยวน คุณมีความสามารถจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “ลองเร็ว ๆ เถอะค่ะ ดูว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง”
ทุกคนตื่นเต้นมาก จากนั้นก็หยิบกินอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการกิน ป้าอู๋ก็มากระซิบที่ข้างหูของเซี่ยชิงหยวน “คุณนายคะ คุณเซี่ยมาค่ะ”
……………………………………………