ตอนพิเศษ 65-1 ก่อกายหยาบใหม่
คนของสำนักเชียนหลันเข้านอนกันเร็ว เพิ่งเข้าสู่ยามวิกาล ทิวเขาก็จมอยู่ในความสงบเงียบ
หลังจากเอาไม้พันหงสากับดินเทพธิดาหนี่ว์วาส่งให้ถึงมือเจ้าตำหนักแล้ว ชิงสุ่ยเจรินก็เริ่มจดจ่อกับเรื่องลอยขึ้นแดนบน
ท่านเทพเป็นคนของแดนเทพ หลังจากเขาเปิดทางแล้วย่อมสามารถกลับไปยังแดนเทพได้อย่างราบรื่น ส่วนเขาที่เป็นเซียนกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ได้ยินว่านานมาแล้วเมื่อครั้งที่เส้นทางสู่แดนเทพยังไม่ถูกปิดตาย ท่านเซียนทุกคนมีโอกาสที่จะได้ลอยขึ้นสู่แดนบน แต่จะต้องมีความสามารถในระดับหนึ่งก่อนเพื่อนำพามหาอัสนีวิบากสวรรค์ชั้นเก้ามา ซึ่งก็คือมหาอัสนีวิบากครั้งสุดท้ายที่จอมมารต้องพบเจอ
ชิงสุ่ยเจินเหรินเคยถามยอดเซียนมาเช่นกัน ว่าหากไม่สามารถนำพามหาอัสนีวิบากมาได้ ก็จะไม่สามารถลอยขึ้นสู่แดนเทพได้แล้วใช่หรือไม่
เกี่ยวกับข้อสงสัยข้อนี้ ยอดเซียนเองก็ตอบได้ไม่แน่ชัด หนึ่งเป็นเพราะเขายังไม่เคยลอยขึ้นแดนบนมาก่อน สองคือเขาไม่เคยลอยขึ้นแดนบนพร้อมกับท่านเทพ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ยอดเซียนยังให้ศิษย์น้องเล็กของตนมุ่งมั่นกับการฝึก เพราะไม่ว่าอย่างไรบนแดนเทพมียอดฝีมืออยู่มากมาย ต่อให้เขาโชคดีได้ไปพร้อมกับท่านเทพ แต่หากไม่มีความสามารถที่แข็งแกร่งพอก็ยากที่จะเอาชีวิตรอดในแดนเทพได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงแผนการตามหาจอมมารเลย
ชิงสุ่ยเจินเหรินเห็นว่าคำพูดของยอดเซียนใช่ว่าจะไร้ซึ่งเหตุผล ดังนั้นพอฟ้ามืดเขาก็ออกไปหาพื้นที่สงบเงียบห่างไกล กางข่ายอาคมแล้วเก็บตัวฝึกตนทันที
เฉียวเวยเวยตื่นขึ้นมาด้วยความหิว หลังจากนางเติบใหญ่ พลังงานที่ต้องการก็มากกว่าเมื่อก่อน นางไม่เพียงต้องบำรุงกายเนื้อ แต่ยังต้องบำรุงจิตตั้งต้นด้วย
นางขยี้ตาไปยังแดนยมโลกด้วยความง่วงงุน
ใต้เท้าเจ้าตำหนักรออยู่ที่เรือนก่อนแล้ว เห็นนางมาก็ไม่นึกแปลกใจ เพียงแต่เมื่อเห็นชุดนอนตัวบางที่นางสวมอยู่ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่ได้พูดอะไร แค่เพียงเคาะปลายนิ้วก็ใช้ไอวิญญาณเปลี่ยนเป็นอาภรณ์สตรีไปใส่บนตัวนาง
นี่เป็นอาภรณ์สีน้ำตาลชุดหนึ่ง รอยจีบคมชัด งานปักไม่เหมือนใคร ยามเยื้องย่างกระโปรงที่ดูราวกับกลีบดอกบัวเปล่งแสงทอประกายประหนึ่งไข่มุกดำ
ตัวนางผิวขาวสวย เมื่อสวมใส่ชุดนี้แล้วไม่เพียงไม่ดูมีอายุ แต่กลับขับให้ผิวพรรณเปล่งประกายราวกับโปร่งแสง ยิ่งเมื่อรวมกับเรือนร่างเพรียวบาง ท่วงท่าที่งดงาม ก็ดูประหนึ่งมีแสงส่องให้สว่างไสว
ภายในแสงสว่างนี้ความอ่อนเยาว์ดูลดลง ที่เพิ่มมาคือความเย้ายวนของสตรีสาว
การแต่งกายเช่นนี้เจ้าตำหนักพอใจยิ่งนัก
ไหนเลยจะคิดว่าเฉียวเวยเวยจับกระโปรงที่ดำเมี่ยมขึ้นมา เบ้ปากเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียเบาว่า “น่าเกลียด!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักถึงกับมุมปากกระตุก ให้ใส่ก็บุญโขแล้ว ยังจะเลือกมากอีก!
ใจคิดเช่นนั้นแต่ปลายนิ้วกลับเคาะลงอีกครั้ง เปลี่ยนให้อาภรณ์บนตัวนางกลายเป็นสีทองทอประกายอร่าม
แล้วเฉียวเวยเวยก็ถูกใจมากจริงๆ นางยืนจับกระโปรงหมนุไปหมุนมาอยู่หลายรอบ ซ้ำยังให้ใต้เท้าเจ้าตำหนักเสกกระจกให้ ชื่นชมความงามของตนอยู่หน้ากระจกพักหนึ่ง สวยถูกใจจนความง่วงงุนหายไป
สีหน้าใต้เท้าเจ้าตำหนักเหลือบมองนางด้วยสีหน้าเฉยชา “ยังหิวอยู่รึไม่”
เฉียวเวยเวยถึงได้นึกขึ้นมาได้ ร้องอ้อคำหนึ่ง “หิวสิ!”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักลุกขึ้น มือเรียวยาวประหนึ่งหยกยกกวักกลางอากาศ กิเลนไฟก็ลากราชรถเข้ามาทันที
ใต้เท้าเจ้าตำหนักขึ้นนั่งบนราชรถ “วันนี้จะพาเจ้าไปกินอย่างอื่นบ้าง”
เฉียวเวยเวยพยักหน้า ขึ้นนั่งบนราชรถอย่างว่าง่าย
แดนยมโลกกว้างใหญ่มาก ใหญ่กว่าแดนเซียน แดนล่าง แดนปีศาจรวมกันเสียอีก ไม่ใช่เพียงเพราะมันอยู่ในอีกมิติหนึ่ง สามารถขยายไปได้ทุกที่นอกเหนือจากแดนเทพ แต่เป็นเพราะเดิมทีอาณาเขตของมันก็กว้างใหญ่มากอยู่แล้ว
เฉียวเวยเวยมายังแดนยมโลกมากครั้งเพียงนี้แล้ว แต่นี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่ได้นั่งราชรถท่องเที่ยวไปยังแดนยมโลกด้วยความสบายใจเช่นนี้
สิ่งแรกที่นางเห็นคือแม่น้ำลืมเลือนที่ทอดยาวคดเคี้ยวไปไม่จบไม่สิ้น หลังจากนั้นก็เห็นเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยหมอกควัน แต่ไม่นานกิเลนไฟก็ลากราชรถทะลุผ่านเมฆหมอกชั้นหนา หลังจากนั้นสิ่งที่นางเห็นก็คือควันไฟของโลกมนุษย์
บนถนนที่ทอดยาวเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ผู้คนเดินกันขวักไขว่ โคมไฟคล้ายมังกรคดเคี้ยวตัวยาว ร้านค้าเล็กๆ ร้องเร่ขายของ เสียงรถม้า เสียงเพลงจากโรงน้ำชา ทุกเสียงที่เกิดขึ้นเต็มไปด้วยความสงบสุขของชีวิตมนุษย์
เฉียวเวยเวยนั่งมองอยู่ข้างหน้าต่าง ยื่นศีรษะกลมๆ ของตนออกไป “ว้าว!”
“ซาลาเปาจ้า! ซาลาเปาร้อนๆ เลยจ้า! หนึ่งลูกห้าอีแปะ! สามลูกสิบอีแปะจ้า!”
“ถัง…หูลู่…ถัง…หูลู่…”
เฉียวเวยเวยสูดน้ำลายโดยแรง
ใต้เท้าเจ้าตำหนักให้กิเลนไฟลงจอดในลานด้านหลังที่ว่างโล่ง จากนั้นเขาก็ลงจากราชรถ จังหวะที่ลงจากราชรถนั้นทั้งอาภรณ์และรูปลักษณ์ของเขาล้วนเปลี่ยนไป เขาถอดชุดตัวโคร่งสีน้ำตาลออก เปลี่ยนเป็นชุดยาวสีขาวนวลที่กระจ่างราวกับแสงจันทร์ ตรงเอวคาดด้วยเข็มขัดหยก ด้านข้างห้อยเครื่องประดับหยกชิ้นหนึ่งไว้แล้วผูกพู่ยาวเอาไว้ที่ปลายหยก
ใบหน้าของเขาก็ไม่ใช่ใบหน้าพร่าเลือนที่เฉียวเวยเวยเคยมองเห็นผ่านมนต์คาถาก่อนหน้านี้ แต่เป็นใบหน้าที่ขาวผ่องหมดจด คมหน้าชัดเจน เครื่องหน้าทั้งห้างดงาม ดวงตาทั้งสองข้างเยือกเย็นและนิ่งลึก มีความเป็นอิสระจากโลกใบนี้ไหลเอื่อยๆ อยู่ในดวงตา
สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือพระจันทร์เสี้ยวสีทองบนใบหน้า
เฉียวเวยเวยเขย่งปลายเท้าจะยื่นหน้าไปจุมพิตพระจันทร์เสี้ยวของตน แต่กลับถูกใต้เท้าเจ้าตำหนักเบี่ยงหน้าหนี
เฉียวเวยเวยชะงักงัน
สายตาใต้เท้าเจ้าตำหนักขยับเล็กน้อย บอกว่า “เจ้าไม่ได้หิวแล้วหรือ อยากกินอะไร”
เฉียวเวยเวยสลัดความเสียใจที่จุมพิตไม่ถึงพระจันทร์เสี้ยวนั้นออกไป “อยากกินหมดเลย”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักพานางเดินเข้าไปยังคลื่นมหาชนที่เคลื่อนตัวไม่หยุด
เขาเดินค่อนข้างเร็ว เฉียวเวยเวยเป็นมังกร ย่อมไม่มีทางตามเขาไม่ทัน เพียงแต่บนถนนมีคนมากเกินไป แค่พลั้งเผลอเพียงนิดก็คลาดกันได้แล้ว
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเดินไปสักพักก็รู้สึกเอะใจ หันกลับมาอีกทีเฉียวเวยเวยก็หายไปเสียแล้ว!
ใต้เท้าเจ้าตำหนักรีบแผ่ดวงจิตออกไปจนพบนางอยู่ที่หน้าร้านแผงลอยขายถังหูลู่ร้านหนึ่ง นางกำลังถือถังหูลู่ไม้ละข้างเคี้ยวกรุบกรับอย่างเอร็ดอร่อย
หวานๆ เปรี้ยวๆ ถูกใจเฉียวเวยเวยยิ่งนัก
ใต้เท้าเจ้าตำหนักจ่ายเงิน รอนางกินจนหมดหนึ่งไม้แล้วก็จับข้อมือนางผ่านแขนเสื้อ มุ่งหน้าเดินต่อไป
เฉียวเวยเวยกินถังหูลู่พลางพยายามดึงมือตนออก ใต้เท้าเจ้าตำหนักยังคิดว่าอีกฝ่ายจะสลัดมือเขาออก ไหนเลยจะรู้ว่านางเปลี่ยนเป็นมาจับมือเขาไว้แทน
จับไว้แน่นมาก ใต้เท้าเจ้าตำหนักจะดึงก็ดึงไม่ออก
ใต้เท้าเจ้าตำหนักพาเฉียวเวยเวยไปยังร้านซาลาเปาที่มีชื่อเสียงในเมืองยมโลก ที่นี่สร้างขึ้นล้อตามแบบในโลกมนุษย์มาทุกอย่าง นอกจากจะไม่มีกลางวันที่ฟ้าใสแล้ว ที่นี่ดูไม่ต่างจากโลกมนุษย์เลยสักนิด