คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 547 นักต้มตุ๋นผู้นี้ไม่มีจรรยาบรรณ

ตอนที่ 547 นักต้มตุ๋นผู้นี้ไม่มีจรรยาบรรณ

ตอนที่ 546 นางปากหวานแต่มีพิษ

ในเมืองหลวงมีบุคคลสูงศักดิ์มากมายราวกับดอกเห็ด แม้ว่าจะมีเถิงเทียนฮั่นเป็นเส้นสายให้ แต่ฉินหลิวซีก็เต็มใจรับด้วยตัวเอง และไม่ใช่ว่าบอกจะไปก็ไปในทันที เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นหัวหน้าของเถิงเทียนฮั่น เป็นคนในตระกูลของอันเจี้ยนถงเสนาบดีศาลต้าหลี่ และผู้ที่เกิดเรื่องคืออันอี้ บุตรชายคนเล็กของใต้เท้าอัน

ดังนั้นเถิงเทียนฮั่นจึงต้องส่งข้อความไปบอกตระกูลอันก่อน เดิมทีคิดว่าจะพาฉินหลิวซีไปในวันพรุ่งนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจวนอันจะใจร้อนมากกว่าเขา ถึงขั้นมารับด้วยตัวเอง

เพื่อเป็นการให้เกียรติ ผู้ที่มาคืออันฮ่าว บุตรชายคนโตของจวนอัน เป็นคนที่มีอายุสามสิบกว่าปี ไว้หนวดสวยงาม แต่งกายเป็นสุภาพบุรุษ ดูเหมือนจะใส่แป้งหอมมาด้วย มีกลิ่นหอมที่อบอวลเป็นอย่างมาก

เรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเสนาบดีลิ่นถูกหมอตัวน้อยช่วยไว้ จวนอันก็ได้ยินมาบ้างเช่นกัน เถิงเทียนฮั่นยังกล่าวอีกว่าฉินหลิวซีก็คือท่านหมอน้อยผู้นั้น เป็นนักพรตที่แท้จริง เก่งในการขับไล่วิญญาณชั่วร้าย

เนื่องจากอันฮ่าวก็พอจะรู้มาบ้าง แต่เมื่อได้เจอฉินหลิวซีจริงๆ ก็ยังรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก อายุน้อยจริงๆ ด้วย อายุน้อยขนาดนี้ยังมีลูกศิษย์แล้ว ซ้ำยังเป็นบุตรชายตระกูลของใต้เท้าเถิง

หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว อันฮ่าวก็อดถามเถิงเทียนฮั่นไม่ได้ว่าเขาทำใจให้บุตรชายคนโตเข้าสู่ลัทธิเต๋าได้อย่างไร

เถิงเทียนฮั่น ‘อย่าถาม คำตอบก็คือถูกหลอกโดยคำพูดอันชาญฉลาดของใครบางคน’

ฉินหลิวซีพาเถิงเจาขึ้นรถม้าของจวนอัน ตอนที่ปิดประตูรถม้าก็เหลือบเห็นฝุ่นลมกระโชกหมุนวนอยู่หัวมุมถนน

เสียงกีบม้าดังขึ้น มีคนนั่งบนหลังม้า ควบม้าวิ่งมาอย่างรวดเร็ว

เพียงแค่เหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจ แต่รู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย

ราวกับบุตรชายผู้สูงศักดิ์ที่เคยรู้จักมาก่อน กำลังวิ่งมุ่งหน้ามาทางนี้

มู่ซีรีบเร่งมาแต่ไม่เจออะไร

เขาเตะม้าด้วยความโกรธ ‘วิ่งช้าขนาดนี้ยังบอกว่าเป็นม้าหายาก ถุย จะมีไปทำไม’

ม้าหายาก ‘เกิดเป็นม้าช่างลำบาก’

ฉีเชียนก็มาแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นน้องเขยในอนาคตก็ขมวดคิ้ว

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” มู่ซีโมโห เลิกคิ้วเมื่อเห็นฉีเชียน

ฉีเชียนกระโดดลงจากหลังม้า “มาหาคน”

“หาใคร”

ฉีเชียนไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้”

“เจ้าไม่ต้องยุ่ง!” มู่ซีเชิดหน้าขึ้นกวาดสายตามอง สายตาไปตกอยู่ที่ร้านสุราที่อยู่เยื้องฝั่งตรงข้ามกับโรงประมูลจิ่วเสียน จากนั้นก็พาคนเดินไป

เขาเข้าไปในโรงประมูลจิ่วเสียนไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าอาละวาด เขารออยู่ในร้านสุราแห่งนี้ คงจะได้เจอเจ้านักต้มตุ๋นน้อยกลับมาจนได้กระมัง

ฉีเชียนขมวดคิ้วพลางมองดูจอมอันธพาลน้อยผู้นั้นเข้าไปในร้านสุรา จากนั้นก็ให้อิงเป่ยไปเคาะประตู

ใครจะไปคิด ทันทีที่คนเฝ้าประตูเปิดประตู ไม่ทันรอให้อิงเป่ยกล่าวอะไร ก็กล่าวขึ้นมาว่า “มาหาท่านเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิวหรือ นางไม่อยู่ เชิญกลับไปเถิด”

อิงเป่ย “…”

ฉีเชียนมองไปที่ร้านขายสุราอย่างครุ่นคิด

ที่เรือนด้านหลังในโรงประมูล เฟิงซิวสบถอย่างหงุดหงิด พอเขาไม่อยู่ นายท่านน้อยผู้นั้นก็ดึงดูดแมลงวันมาไม่รู้กี่ตัว ไม่ใช่สิ แมลงวันพวกนั้นชอบกลิ่นเหม็น ดึงดูดผึ้งและผีเสื้อต่างหาก

จวนอัน

ใต้เท้าอันเสนาบดีศาลต้าหลี่ไม่ได้ออกไปข้างนอก เมื่อเห็นเถิงเทียนฮั่นก็ใบหน้ายิ้มแย้ม เรียกนามแฝงของเขา “รบกวนอวิ๋นหยาช่วยเป็นธุระให้แล้ว”

เถิงเทียนฮั่นยกมือขึ้นคำนับ ในใจคิดว่าถุงหอมของใต้เท้ากลิ่นแรงเกินไปหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ

“บังเอิญอาจารย์ของบุตรชายข้ามาเมืองหลวงพอดี มิเช่นนั้นข้าก็ไม่สามารถเป็นเส้นสายให้ได้ เพียงแต่พวกเราไม่ได้รู้เรื่องภายใน ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้หรือไม่”

กล่าวเรื่องที่ไม่น่าฟังไว้ก่อน หากฉินหลิวซีจัดการไม่ได้ ก็จะได้มีทางออก

ดวงตาของใต้เท้าอันมีความกังวลและเหนื่อยล้าเล็กน้อย ฝืนยิ้มพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร เจ้าใส่ใจแล้ว”

เขามองไปยังเด็กคู่หนึ่งที่อยู่ข้างหลังใต้เท้าเถิง มุมปากที่ถูกบดบังด้วยหนวดเครากระตุกเล็กน้อย อายุน้อยเกินไปแล้ว หลานชายคนโตตระกูลเขายังโตกว่าเสียอีก

เถิงเทียนฮั่นหลบออกไปเล็กน้อย เมื่อเห็นฉินหลิวซีกำลังมองไปรอบๆ ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา

แม้ว่านางจะเป็นนักพรตหญิงที่เติบโตมาในอารามเต๋า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีมารยาท การมองไปรอบๆ เช่นนี้ กำลังดูความมั่งคั่งของจวนอันหรือเป็นสิ่งอื่น

ใต้เท้าอันเป็นขุนนางนักปราชญ์ที่มาจากการสอบราชสำนัก แต่งงานกับซูฮุ่ยจวิ้นจู่ซึ่งเกิดในราชวงศ์ แม้แต่จวนอันในตอนนี้ก็เป็นจวนจวิ้นจู่ และตอนที่จวิ้นจู่ผู้นี้แต่งงาน เรียกได้ว่าเลื่องลือกันไปทั้งเมือง ตัวนางเองก็เก่งในเรื่องการจัดการกิจการ ตั้งแต่แต่งงานมาจนถึงตอนนี้ ได้ทำให้สินสอดแต่งงานของตัวเองเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแล้ว

เดิมทีก็เกิดมาจากตระกูลสูงศักดิ์ มีความสุขกับเกียรติยศและความมั่งคั่ง ซ้ำยังมีเงิน ซูฮู่ยจวิ้นจู่ก็ไม่มีทางปฏิบัติไม่ดีต่อคนของตัวเอง ดังนั้นแผนผังในจวนอันจึงวิจิตรงดงามและยิ่งใหญ่ สวนบอนไซและสนามหญ้าก็ได้รับการจัดแต่งอย่างสวยงาม

ดังนั้นเถิงเทียนฮั่นจึงกล้ากล่าวว่า งานนี้มีค่าตอบแทนอย่างงาม เนื่องจากว่าพวกเขาไม่ขาดแคลนเงิน และอันอี้ก็เป็นบุตรชายคนเล็กของจวิ้นจู่กับใต้เท้าอัน แม้ว่าจะเป็นจอมเสเพลที่ไม่เอาถ่าน แต่ก็ได้รับความรัก หากแก้ไขเรื่องนี้ได้ ย่อมมีผลประโยชน์มากมายอย่างแน่นอน

เถิงเทียนฮั่นกระแอม กล่าวแนะนำว่า “เจ้าอาวาสน้อย ท่านนี้คือใต้เท้าอันเสนาบดีศาลต้าหลี่”

ฉินหลิวซีละสายตาจากที่แห่งหนึ่งในจวนอัน มองไปยังใต้เท้าอัน คำนับพลางเอ่ย “ขอสวรรค์จงประทานพร” เมื่อรู้ว่าเขากำลังหยั่งเชิงจึงไม่กล่าวเหลวไหลไปทั่ว ชี้ไปยังตำแหน่งมุมทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ “ด้านนั้นก็คือเรือนของคุณชายน้อยจวนท่าน?”

ใต้เท้าอันกับอันฮ่าวมองไปตามนิ้วของนาง ใจสั่นเล็กน้อย ชายชราไม่ได้กล่าวอะไร แต่อันฮ่าวกลับอดกล่าวไม่ได้ว่า “ท่านรู้ได้อย่างไร”

แม้ว่าเถิงเทียนฮั่นจะเคยมาเป็นแขกที่จวน แต่ก็ไม่รู้ว่าเรือนของอันอี้อยู่ที่ไหน ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะเป็นคนบอก

“เนื่องจากใต้เท้าเถิงบอกว่าเกิดเรื่องประหลาดขึ้นกับคุณชายน้อยจวนของท่าน ข้าเดินจากข้างนอกมาถึงตรงนี้ เห็นรูปแบบฮวงจุ้ยของจวนท่านมีลักษณะที่ดี มีเพียงด้านบนของสถานที่แห่งนั้นที่มีพลังงานสีเทาดำ นั่นจึงเป็นที่อยู่ของคุณชายน้อยอันไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซียืนเอามือไขว้หลัง กล่าวว่า “ไปกันเถิด ดูว่ามีวิญญาณร้ายอะไรกำลังก่อกวน”

อันฮ่าวกับบิดาของเขามองหน้ากัน แล้วกลืนน้ำลาย เขาเดินนำทางอยู่ข้างหน้า ถามอย่างสบายๆ ว่า “เจ้าอาวาสน้อยดูพลังงานได้ด้วยหรือ พลังงานสีเทาดำหมายถึงสิ่งไม่ดีหรือ”

ใต้เท้าอันถอยหลังไปหนึ่งก้าว เดินอยู่ข้างเถิงเทียนฮั่น ดูเหมือนไม่ได้สนใจ แต่กลับเงี่ยหูฟังผู้ที่กล่าวอยู่ด้านหน้า

ฉินหลิวซีตอบว่า “สีเทาและสีดำเป็นตัวแทนของความโศกเศร้า ซึ่งเป็นความโชคร้าย วิญญาณร้าย หรือแม้กระทั่งพลังหยิน แน่นอนว่าไม่ดี เช่นเดียวกับบรรดาพวกท่านบนตัวเต็มไปด้วยพลังงานสีแดงมงคล ประการแรกเป็นเพราะตำแหน่งหน้าที่การงานมีความเจริญรุ่งเรือง เมื่อเป็นขุนนาง ทำผลงานประสบความสำเร็จ แสวงหาผลประโยชน์ให้กับราษฎรในแผ่นดิน เป็นมงคลและมีบุญกุศล ย่อมเป็นสิริมงคล”

ฟังสิ นี่ไม่ได้กำลังชมว่าพวกเขาเป็นขุนนางที่ดีหรอกหรือ

ตายจริง คำยกยอปอปั้นนี้ ฟังแล้วรู้สึกสบายใจจริงๆ

ใต้เท้าอันและคนอื่นๆ ต่างพากันยืดหลังตรง ในเมื่อเป็นขุนนาง แน่นอนว่าต้องทำประโยชน์และรับใช้ราษฎร นี่คือความหมายว่าทำไมพวกเขาจึงได้ศึกษาเล่าเรียน

“ส่วนคุณชายน้อยอัน ไม่ใช่ว่าข้าใจร้าย เพียงแต่มีแค่เรือนนั้นที่มีโชคร้าย กล่าวได้ว่าหากไม่ใช่เพราะเขาไปทำบาปมา ก็เป็นเพราะเขารนหาที่ตายหาเรื่องใส่ตัว” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไปว่า “อีกอย่างก็คือไม่ว่าเขาไปทำอะไรมา สิ่งนั้นยังนับว่ามีเหตุผล รู้ว่าต้องไปแก้แค้นใคร หากไปเจอที่ไร้เหตุผล ความโชคร้ายก็จะลามไปทั่วทั้งจวน พวกท่านที่อาศัยอยู่ที่นี่ อย่าคิดว่าจะรอด”

ทุกคน ‘ใจร้ายหรือไม่ค่อยว่ากัน ปากหวานแต่มีพิษ!’

ฉินหลิวซีกล่าวพลางก้าวไปข้างหน้า ไม่นานก็มาถึงที่เรือนแห่งนั้น ทันทีที่อันฮ่าวผลักประตู ฉินหลิวซีเป็นคนแรกที่ถูกโจมตี เอามืออังจมูกแล้วถอยหลังไปหลายก้าว ท่าทางจะอาเจียน

สวรรค์ เรือนนี้เทมูลสัตว์ไว้หรือ เหม็นมาก!

ตอนที่ 547 นักต้มตุ๋นผู้นี้ไม่มีจรรยาบรรณ

ฉินหลิวซีเอามือปิดจมูกแล้วถอยหลังหลายก้าว ส่วนเถิงเทียนฮั่นก็ถูกรมควันโดยไม่ทันได้ระวังจนสีหน้าซีด ท่าทางกระอักกระอ่วนจะอาเจียนอยู่หลายครั้ง

ทำไมเหม็นขนาดนี้

มีเพียงเถิงเจาที่หลังจากสีหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้ง ก็หยิบกระดาษสองแผ่นออกมาอุดจมูกอย่างเงียบๆ รู้สึกดีขึ้นมาก

อย่าถามว่าทำไมเขาถึงได้มีกระดาษสองแผ่น คำตอบก็คือเป็นกระดาษยันต์ที่วาดเสีย เอาเก็บไว้ในกระเป๋าแล้วลืมทิ้ง มีประโยชน์ขึ้นมาพอดี

แม้ว่าสีหน้าของใต้เท้าอันและบุตรชายจะซีดอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นฉินหลิวซีพวกเขาก็รู้สึกอายเล็กน้อย

“ท่านอาจารย์มาแล้วหรือ” เสียงที่เป็นกังวลของสตรีดังเข้ามาใกล้

ฉินหลิวซีร่ายคาถาชำระสิ่งสกปรกให้ตัวเอง สีหน้าดูดีขึ้นมาบ้างแล้ว จากนั้นก็มองไปยังผู้ที่มา เป็นสตรีที่สง่างาม สวมเสื้อผ้าหรูหรา ปักปิ่นสีแดง เพียงแค่คิ้วของนางเต็มไปด้วยความกังวล แม้แต่การแต่งหน้าก็ไม่สามารถซ่อนความซีดเซียวบนใบหน้าของนางได้

“จวิ้นจู่” ใต้เท้าอันเข้าไปพยุงภรรยา กล่าวว่า “ได้ไปเชิญมาแล้ว วางใจเถิด จะต้องแก้ปัญหาแปลกๆ ของอี้เอ๋อร์ได้แน่นอน”

ฮูหยินอันมองไปยังฉินหลิวซี หรี่ตาลง “เด็กขนาดนี้เชียวหรือ”

“แม้ว่าจะอายุน้อย แต่มีความสามารถ” ใต้เท้าอันกล่าว

ฮูหยินอันระงับความวิตกกังวล เหลือบมองไปยังเถิงเทียนฮั่น ช่างเถิด หากแก้ไขไม่ได้ค่อยไปเชิญอาจารย์ที่อารามจินหัว

ฉินหลิวซีพยักหน้าให้ฮูหยินอันเป็นการคำนับแล้วเดินเข้าไปในเรือน เมื่อเห็นว่าสีหน้าของพวกเขาไม่ค่อยดีนัก จึงร่ายคาถาชำระสิ่งสกปรกอีกครั้ง กลิ่นสกปรกกระจายหายไปราวกับไม่มีอยู่แล้ว ทำให้คนรู้สึกสดชื่น

ฮูหยินอันดวงตาเป็นประกาย ท่านพี่ไม่ได้หลอกนาง มีความสามารถจริงๆ นางสะบัดสามีของนางออก ก้าวไปหาพลางเอ่ย “อาจารย์ ท่านต้องช่วยบุตรชายของข้าด้วย”

ฉินหลิวซีเข้าไปในเรือน สายตามองสำรวจไปรอบๆ กล่าวว่า “วางใจเถิด ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ไม่สู้ลองบอกมาว่าคุณชายน้อยอันไปที่ไหนมาบ้าง”

หลังจากได้กลิ่นเมื่อครู่นี่ นางก็พอเดาบางอย่างได้

“ข้ามีหมู่บ้านบ่อน้ำพุร้อนแห่งหนึ่งที่ปลูกต้นท้อและต้นสาลี่ ตอนนี้เป็นช่วงที่ดอกกำลังเบ่งบานเต็มที่ บุตรชายข้าจึงนัดกับสหายสนิทสองสามคนไปพักอยู่ที่หมู่บ้านสองวัน ปรากฏว่าเมื่อสามวันก่อนเขากลับมา ดูสติล่องลอยราวกับไม่ได้นอนเลย ง่วงเป็นอย่างมาก ตัวก็มีกลิ่นเหม็น” ฮูหยินอันเล่าเรื่องราวของบุตรชายคนเล็กอย่างต่อเนื่อง”

นี่ก็คือเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับอันอี้ ตั้งแต่ที่เขากลับมาจากหมู่บ้านเมื่อสามวันก่อน ร่างกายของเขาเริ่มมีกลิ่นเหม็นโดยไม่มีสาเหตุ จากนั้นก็ลามไปทั้งห้อง จนลามไปทั้งเรือน ทำเอาไม่มีใครกล้าเข้ามาในเรือนนี้ ถูกรมกลิ่นไปหมด

สิ่งที่แปลกก็คือกลิ่นเหม็นนี้ไม่ลอยออกไป ดูเหมือนแค่ปกคลุมทั่วทั้งเรือนนี้ ทำให้ทันทีที่ผลักประตูเรือนก็รู้สึกเหม็นจนทนดมไม่ได้

เพียงแค่เรื่องกลิ่นเหม็นที่ไม่มีที่มาที่ไปไม่พอ ซ้ำทั้งๆ ที่อันอี้ง่วงนอนมากแต่กลับนอนไม่หลับ หมอเคยมาตรวจดู สั่งยาผ่อนคลายให้เขา กระทั่งจุดกำยานผ่อนคลาย แต่ทันทีที่เขาหลับตาก็ถูกทำให้ตกใจจนลืมตาตื่น ราวกับมีคนไม่อนุญาตให้เขานอน แม้กระทั่งเปลี่ยนเรือนก็ไม่ได้

คนไม่กินอาหารสามารถอยู่ได้หลายวัน แต่หากไม่นอนจะอยู่ได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่ายังมีกลิ่นเหม็นที่ไม่สามารถปกปิดได้ด้วยเครื่องหอมกลิ่นเข้มข้น ทำให้ยิ่งกินอาหารได้ยากขึ้น

เวลาผ่านไปเพียงสามวัน รูปลักษณ์ของอันอี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป ทั้งครอบครัววิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง ฮูหยินอันรู้สึกว่าบุตรชายของนางกำลังเจอกับวิญญาณร้าย แต่ก็ไม่กล้าไปหาอาจารย์นักพรตเต๋าอะไรเหล่านั้นมาดูอย่างเปิดเผย ทำได้เพียงแอบส่งคนไปที่อารามจินหัว ใครจะไปรู้ว่าอารามจินหัวก็เกิดเรื่องจนปิดอาราม

เถิงเทียนฮั่นก็เป็นเพียงคนเดียวที่ได้ยินจากปากใต้เท้าอัน และเมื่อตระกูลอันกังวลเกี่ยวกับสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับอันอี้ ฉินหลิวซีก็มาเมืองหลวง จึงได้เป็นเส้นสายแนะนำมาให้

ดังนั้นมันช่างบังเอิญจริงๆ

“เจ้าอาวาสน้อย ท่านว่าเรือนนี้เต็มไปด้วยพลังงานโชคร้าย เป็นปัญหาอะไรหรือ” อันฮ่าวประคองมารดาที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจจากสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับบุตรชายคนเล็กด้วยตัวเองพลางเอ่ยถามฉินหลิวซี

“ไปเจอคนก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

กลุ่มคนเดินเข้าไปในห้อง ในเรือนนี้มีกลิ่นเหม็นเกินไป จึงมีคนรับใช้อยู่ที่นี่ไม่มาก มีเพียงบ่าวรับใช้ของอันอี้กับสาวใช้อีกสองคน ตอนนี้บ่าวรับใช้เฝ้าอยู่ที่ห้องนอน

ฉินหลิวซีเดินเข้าไปข้างใน สายตามองไปรอบๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน

ทันทีที่เดินเข้าไป นางก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างผอมเพรียวจนผิดรูปลักษณ์ มีรอยคล้ำขนาดใหญ่ใต้ตาสองข้าง นั่งเหม่อลอยอยู่ที่หัวเตียง บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็พึมพำกับตัวเอง ราวกับเป็นโรคประสาทหลอน ที่ข้างเตียงมีบ่าวรับใช้คนหนึ่งเฝ้าอยู่โดยเอาผ้าปิดหน้าไว้

ข้างในห้องราวกับโถส้วม เหม็นจนทนดมไม่ได้ นอกจากนี้ในห้องก็ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นไม้จันทน์และอื่นๆ ซึ่งทำให้กลิ่นยิ่งแปลกขึ้นไปอีก

สีหน้าของหลายคนเปลี่ยนไปอีกครั้ง อดกระอักกระอ่วนไม่ได้

บ่าวรับใช้คำนับเจ้านายทั้งหลายด้วยท่าทางเฉื่อยชา จากนั้นก็ถอยไปอยู่ด้านข้าง เขาไม่กล้าบอกว่าสูญเสียการรับกลิ่นไปแล้ว

ฉินหลิวซียืนเอามือไขว้หลัง จ้องไปที่ชายหนุ่ม กล่าวให้ถูกก็คือกำลังจ้องมองไปยังวัตถุที่อยู่เหนือศีรษะที่กำลังแยกเคี้ยวขู่นาง

เพียงพอน

เพียงพอนที่กลายเป็นปีศาจกำลังหมอบอยู่บนศีรษะของอันอี้ อุ้งเท้าทั้งสองข้างดึงเปลือกตาของเขาไว้ไม่ให้เขานอนหลับ กลิ่นเหม็นมาจากบนตัวมันที่ปล่อยออกมา ซ้ำมันยังกระซิบคำพูดร้ายกาจในหูของอันอี้เป็นครั้งคราว

เมื่อเห็นมีคนมา ปีศาจเพียงพอนก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งรู้สึกว่ามีสายตาที่ผิดปกติมองมา เมื่อมองดูจึงได้รู้ว่าดวงตาของฉินหลิวซีจ้องมาที่ตัวเอง

นางมองเห็นตนได้

“เจ้าก็คือนักต้มตุ๋นที่คนตระกูลนี้เชิญมาหรือ”

หวงต้าเซียนตกใจ แต่ก็ผ่อนคลายในทันที เพียงแค่ชายหนุ่มที่มีตาทิพย์ จะไปทำอะไรได้

ฉินหลิวซีมองสำรวจปีศาจเพียงพอนตัวนี้ ทันใดนั้นก็เอ่ยปากถามว่า “คนโชคร้ายผู้นี้ไปทำอะไรให้เจ้า เจ้าจึงได้ทำกับเขาเช่นนี้”

ทุกคน “?”

พวกเขามองไปตามสายตาของฉินหลิวซี ก็ไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง หรือว่าในห้องนี้ยังมีสิ่งอื่นอยู่ด้วย

ใต้เท้าอันและคนอื่นๆ สามคนอดยืนเบียดกันไม่ได้ ตัวสั่นเทา

เจ้าเด็กไม่รักดีผู้นี้ไปนำวิญญาณชั่วร้ายกลับมาจริงๆ หรือ

เถิงเทียนฮั่นถามบุตรชายอย่างเบาๆ “เจ้ามองเห็นหรือไม่”

เถิงเจาใช้มือร่ายคาถา ท่องคาถาเปิดดวงตาสวรรค์ สองนิ้ววาดผ่านดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง หรี่ตามองไป ใบหน้าไร้ความรู้สึก

เมื่อเถิงเทียนฮั่นเห็นท่าทางนี้ก็รู้สึกใจชา เด็กคนนี้ได้เรียนรู้จริงๆ ดูท่าทางที่แม่นยำนี่สิ

เขากลั้นความโศกเศร้า ถามอย่างสงสัยว่า “มันคืออะไร”

“เพียงพอน”

“หา”

ทุกคนอุทาน อะไรนะ เพียงพอนหรือ

เพียงพอนตัวนั้นคำราม ตะโกนว่า “เพียงพอนอะไรกัน ข้าคือหวงต้าเซียน!”

“หวงต้าเซียนก็คือเพียงพอนไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “รีบเก็บกลิ่นเหม็นๆ ของเจ้าเดี๋ยวนี้ เหม็นจะตายอยู่แล้ว”

นางร่ายคาถาชำระสิ่งสกปรกอีกครั้ง ถูกรมด้วยกลิ่นนี้ทำเอานางเวียนหัว

“ไม่ ข้าจะให้เขาเหม็นตาย เขากล้าด่าว่าข้าเหม็น ซ้ำยังทำให้ข้าไม่ได้รับเลื่อนขั้น ข้าจะทำให้เขาตาย” หวงต้าเซียนแยกเขี้ยว ปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาอีก

ฉินหลิวซีโมโห คิดจะต่อต้านนางหรือ

นางพุ่งเข้าไปคว้ามัน

หวงต้าเซียนกระโดดจากศีรษะของอันอี้ เอ่ยอย่างดูถูกว่า “เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้า คิดจะจับเซียนอย่างข้า ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว เฮือก…”

มันก้มมองยันต์แผ่นหนึ่งที่ติดอยู่ที่เท้า คิดจะใช้เท้าสะบัดออก แต่ยันแผ่นนั้นกลับลุกไหม้ขึ้นมา ประกายไฟลอยไปติดตามขนยาวๆ ของมัน

“อ๊ากกก” หวงต้าเซียนกระโดดโลดเต้นไปมา ตบตีบนตัว กรีดร้องโหยหวน “เจ้านักต้มตุ๋นไม่มีจรรยาบรรณ มีที่ไหนไม่กล่าวอะไรสักคำก็จุดไฟเผาแล้ว ขาดคุณธรรมเกินไปแล้ว รีบดับไฟให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Score 10
Status: Completed
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาชีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวชี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเดำเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่นปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมรื่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้วหน้าใดๆ แต่สรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเขียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นดันเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! "เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ" "ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ" "ไม่ป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง" "ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า" ฉีเซียนเอ่ย "ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป..." ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ "เดิมที่ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน" "..."

Options

not work with dark mode
Reset