บทที่ 739 เจียวเจียวมาแล้ว (2)
เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดาเลย อันที่จริงพวกเขาไม่ควรจะสนใจด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนป่านี้ไม่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวหรืออะไรเลย หากเด็กคนนี้โตไปจะต้องเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน!
ทันใดนั้น แววตาที่ส่องประกายเจตนาฆ่าของพ่อค้าปลอมก็เริ่มชัดขึ้น
เขาพุ่งตัวไปทางเสี่ยวจิ้งคง แล้วคว้าที่ลำคออย่างไร้ความปราณี!
ไม่มีทางที่เด็กห้าขวบจะต้านแรงของเขาไหว
กรงเล็บของเขาพันรอบคอของเสี่ยวจิ้งคงอย่างอุกอาจ
และในตอนนั้นเอง เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เสียงคำรามของนกอินทรีดังมาจากท้องฟ้า!
หอกสีเงินแวววาวพร้อมพู่สีแดงพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าและด้วยพลังอันท่วมท้น!
อาวุธนั้นพุ่งเข้ามาทางเขาอย่างรวดเร็ว
เขารีบหลบมัน!
น่าเสียดายที่มันสายเกินไป เขาถูกกระแทกอย่างแรง และแขนทั้งหมดของเขาถูกตัดออกด้วยคมหอก!
ร่างของเขาล้มลงแทบเท้าชายชุดดำพร้อมเลือดที่กระเซ็นไปทั่ว!
แรงหอกยังคงไม่ลดละหลังจากเฉือนแขนของเขาออก มันยังคงพุ่งตรงจนปักเข้าไปยังลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังพวกเขา
ชายชุดดำเริ่มเหงื่อตก
เขามองไปอีกฟากหนึ่งของป่าด้วยสายตาไม่เชื่อ และเห็นเด็กชายอายุสิบห้าหรือสิบหกปีควบม้ามาหาเขา
ชายหนุ่มมีรูปร่างผอมเพรียวและมีดวงตาที่เฉียบคม เขาดูไม่เหมือนเขามาจากส่วนลึกของป่า แต่ดูเหมือนมาจากไฟนรกเพื่อแก้แค้นเสียมากกว่า
ราวกับพญายม เทพแห่งความตายไม่ปาน!
อีกทั้งม้าที่ชายหนุ่มขี่นั้น ไม่ใช่ม้าที่ไม่มีใครเทียบได้ มันเป็นม้าศึกที่สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณการต่อสู้และความกล้าหาญของผู้ขี่ ที่ส่งให้มันมีท่วงท่าแข็งแกร่งและสง่างามท่ามกลางผืนป่าใหญ่
มันวิ่งมุ่งหน้ามาทางเด็กสองคนนั้น แล้วขายหนุ่มก็ใช้แส้ช้อนร่างพวกเขาขึ้นมา
“หลับตาไว้นะ”
นางเอ่ย
แล้วเด็กทั้งสองก็เอามือปิดตาอย่างเชื่อฟัง
กู้เจียวใช้ขาทั้งสองเกาะลำตัวม้าไว้แน่น มือข้างหนึ่งกอดเด็กทั้งสอง และใช้มืออีกข้างบังคับให้ม้ากระโดดข้ามหัวของชายชุดดำ
กู้เจียวดึงหอกที่ปักอยู่บนต้นไม้ออกระหว่างที่กีบของม้ากำลังลงสู่พื้น
ลำหอกที่ปักจนเกือบจะทะลุต้นไม้กลับถูกกู้เจียวดึงออกมาอย่างง่ายดาย
นางคว้าอาวุธไว้ในมือแน่น ยกขึ้น แล้วแทงไปทางด้านหลัง
ร่างของทั้งชายชุดดำและพ่อค้าปลอมที่เพิ่งลุกขึ้นก็ร่วงลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว
…กะโหลกของพวกเขาถูกเปิดออกจนชิ้นเนื้อสมองไหลออกมา
…
ไม่นาน ทหารห้านายก็ได้มาถึงจุดเกิดเหตุ และต่างพากันตกใจกับภาพนองเลือดอันแสนโหดร้ายนี้
“นี่มัน เกิดอะไรขึ้น ฝีมือใคร”
แม้พวกเขาจะเป็นทหารที่ผ่านศึกมานักต่อนัก แต่น้อยครั้งที่จะได้เจอกับสภาพอันน่าเวทนาเช่นนี้
พวกเขาจะไม่แปลกใจเลยถ้าอยู่ในสงคราม
แต่ที่นี่เป็นแค่ป่าแห่งหนึ่งในเมืองเซิ่งตูเท่านั้น!
ทหารตระกูลต่งจำลักษณะผู้ตายได้ “ชายที่แต่งตัวเหมือนพ่อค้า คือมือสังหารของตระกูลมู่ที่ไปได้ตัวมาจากสนามต่อสู้ใต้ดิน”
ทุกคนเริ่มหน้าถอดสี
ทหารตระกูลเฉินเริ่มตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ เขาเป็นคนที่ละเอียดมากที่สุด ไม่แปลกที่เขาเป็นคนแรกที่ตามหาองค์หญิงพบ
เขาจ้องไปที่ร่องรอยบนผิวต้นไม้ “ผู้กระทำเป็นคนที่ใช้หอกยาว อีกทั้งตรงนี้มีรอยเท้าของเด็ก เกรงว่าองค์หญิงน้อยถูกคนคนนั้นพาตัวไปแล้ว”
ทหารตระกูลหยางถามต่อ “เป็นฝีมือของใครกัน”
“ต้องไม่ใช่ทหารของตระกูลพวกเราอย่างแน่นอน เพราะไม่มีใครพกหอกยาวกันมาเลย พวกท่านเองก็น่าจะรู้กันอยู่” ทหารตระกูลต่งเอ่ย
คนที่เหลือพยักหน้า
หากตัดตระกูลพวกเขาออก ก็จะเหลือตระกูลหวัง หัน มู่ ซู เฟิง รวมถึงตำหนักราชครูและตระกูลหนานกง
ตั้งแต่ตระกูลหนานกงสูญเสียหนานกงลี่ พวกเขาก็งานยุ่งกันตลอดและไม่ได้มีส่วนร่วมในการค้นหาและช่วยเหลืออย่างจริงจัง
ผู้ตายเป็นคนของตระกูลมู่ ดังนั้นตระกูลหวังและตระกูลซูไม่น่าจะทำร้ายคนกันเอง
ดังนั้น ก็จะเหลือแค่ตระกูลหัน ตระกูลเฟิง และตำหนักราชครู
ด้วยสถานะของตพหนักราชครูพวกเขา พวกเขาไม่สนใจที่จะต่อกรกับตระกูลขุนนางใดๆ ด้วยซ้ำ ตัดพวกเขาออกได้เลย
และนี่ไม่ใช่การเผชิญหน้าธรรมดา วิธีการอันโหดร้ายนี้เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอันน่าสยดสยองอย่างชัดเจนราวกับเป็นการแก้แค้น
เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นตระกูลเฟิง นักพรตชิงเฟิงไม่ได้พกหอกยาวมา
ทหารตระกูลต่งย่นคิ้ว “หรือว่าจะเป็น ตระกูลหัน”
เขาจำได้ว่าทหารของตระกูลหันมีการฝึกใช้หอกยาว
ทหารตระกูลเฉินเอ่ยเสริม “ตระกูลหันกับตระกูลมู่ไม่ถูกกัน ก็อาจเป็นไปได้”
“ถ้าองค์หญิงน้อยอยู่กับฉีเซวียน เกรงว่าพวกเราคงหมดหนทางแล้วล่ะ” ทหารตระกูลหยางถอนหายใจ
ฉีเซวียนจากสำนักถังเหมิน ฝีมือการต่อสู่ของเขาจัดอยู่ในระดับแนวหน้าของแคว้น
ทหารตระกูลต่งทำหน้ายิ้มกริ่มเหมือนกับเจ้านายของเขา “เช่นนั้น พวกเราลองร่วมมือกันกำจัดฉีเซวียนก่อนไหมละ แล้วค่อยมาสู้กันทีหลัง”
…
กู้เจียวพาเด็กๆ ทั้งสองไปที่ลำธาร โดยมีเสี่ยวจิ่วบินอยู่เหนือศีรษะ
นางค่อยๆ อุ้มเด็กทั้งสองลงจากม้า
ตอนแรกพวกเขายังฝืนอดทนได้ แต่พอได้เจอกับกู้เจียว ความเข็มแข็งทั้งหมดของพวกเขาก็มลายหายไป
องค์หญิงน้อยปล่อยโฮอย่างหนัก “ท่านอาจารย์…ข้ากลัวเหลือเกิน…พวกเขาเอาแต่แย่งตัวข้า แถมยังทำข้าหกล้มอีก…ฮือ ฮือ ฮือ…”
กู้เจียววางหอกไว้บนพื้น นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งราวกับอัศวิน ปาดน้ำตาบนใบหน้าของเด็กน้อยเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างปลอบโยน “อย่ากลัวไปเลย จะไม่มีใครมาลักพาตัวท่านไปอีกแล้วนะ”
องค์หญิงน้อยโผเข้าอ้อมอกของกู้เจียวแล้วแผดเสียงร้องไห้
เสี่ยวจิ้งคงพยายามกลั้นน้ำตาให้ได้มากที่สุด
กู้เจียวอ้าแขนแล้วคว้าเขาเข้ามากอดด้วย
นางไม่ได้ทำสิ่งที่อ่อนโยนเช่นนี้บ่อยนัก ดังนั้นการเคลื่อนไหวอาจดูแข็งทื่อเล็กน้อย
แต่เหล่านี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการถ่ายทอดความรักและความห่วงใยของพวกเขาเลย
เด็กๆ เชื่อมั่นในตัวนาง
กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็ร้องห่มร้องไห้กันจนหมดแรง
องค์หญิงตัวน้อยมีอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้น เป็นเด็กสาวที่บอบบางและอ่อนแอ พอรู้สึกปลอดภัยก็ผล็อยหลับลึกไปในอ้อมแขนของกู้เจียว
เสี่ยวจิ้งคงหลุบตาลงด้วยความรู้สึกผิด “ข้าทำให้เจียวเจียวผิดหวัง ข้าจัดการกับคนร้ายไม่ได้”
กู้เจียวยื่นมือแตะศีรษะเล็กๆ ของเขาและคลี่ยิ้ม “ไม่จริงเลย เจ้าทำได้ดีมาก เจ้าปกป้องทั้งเพื่อนของเจ้าและตัวเจ้าเอง เจ้าไม่เคยทำให้ข้ากังวล เจ้าเป็นเด็กน้อยที่กล้าหาญที่สุด และข้าภูมิใจในตัวเจ้ามาก”
“เจียวเจียว…” เสี่ยวจิ้งคงเริ่มแสบจมูก
ทันใดนั้น เสี่ยวจิ่วก็เริ่มส่งเสียง
แววตาของกู้เจียวเริ่มเย็นและนิ่งลง
“ตรงนั้น!”
ปรากฏไม่ใช่ทหารยามห้าคนนั้น แต่เป็นหัวหน้าของตระกูลขุนนางทั้งห้าพร้อมด้วยทหารยามอีกหลายนาย
เรียงจากซ้ายไปขวาตำลำดับ ใต้เท้าต่ง ใต้เท้าหยาง ใต้เท้าเฟิ่ง ใต้เท้าตู้ และใต้เท้าเฉิน
กู้เจียวเคยเห็นภาพวาดเสมือนของพวกเขาในห้องสมุดของตำหนักราชครู
กู้เจียวห่อร่างองค์หญิงไว้ด้วยเสื้อคลุมแล้ววางลง จากนั้นหันไปบอกเสี่ยวจิ้งคง “ปิดหูไว้ แล้วอย่าหันกลับมาเป็นอันขาด”
“อือ!” เสี่ยวจิ้งคงนั่งหันหน้าไปทางลำธาร และยกมือขึ้นปิดหูเล็กๆ ของเขาอย่างเชื่อฟัง
กู้เจียวหยิบหอกยาวขึ้นมาแล้วเดินมุ่งหน้าไปทางพวกเขา
เสี่ยวจิ่วกางปีกและบินอยู่เหนือหัวของนางด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่ง ราวกับว่ามันกำลังรอคำสั่งของนางเพื่อเตรียมรับการโจมตี
ทุกคนต่างมองดูชายหนุ่มที่เดินเข้ามาทางนี้ด้วยรังสีอำมหิตภายใต้แสงจันทร์พร้อมทั้งนกอินทรีที่คอยบินคุ้มกัน พวกเขาเริ่มรู้สึกถึงลางร้ายที่กำลังจะเกิด
ทหารคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับชักดาบออกมา “เจ้าเป็นใคร! ส่งตัวองค์หญิงตัวน้อยมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้อง…”
เด็กหนุ่มปริศนาก็ขว้างหอกใส่เขาทันทีก่อนที่ทหารคนนั้นจะเอ่ยจบ!
ทหารคนนั้นคุกเข่าลงบนพื้น และจ้องมองอีกฝ่ายตาค้าง
เด็กหนุ่มถีบเขาเข้าที่หน้าอกแล้วดึงหอกออกมาอย่างเย็นชา!
เลือดจากอีกฝ่ายพุ่งกระเซ็นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม โดยเฉพาะบริเวณหว่างคิ้วของเขาราวกับหยดไฝชาดสีแดงเลือด
“เซวียนหยวนเฉิง…” นัยน์ตาของใต้เท้าต่งเริ่มสั่นไหว
ชายหนุ่มยกมือขึ้น ปาดเลือดบนใบหน้าอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะกวาดสายตาไปหาทุกคนด้วยความอาฆาต “ไหน มีอีกไหม”