บทที่ 433 มาถึงที่หมาย
บทที่ 433 มาถึงที่หมาย
อู๋ฝานคาดเดาไว้ไม่ผิด เถาหรูไห่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอันแรงกล้า เนื่องมาจากสำนักติดอยู่กับการเป็นสำนักชั้นสองมายาวนาน แม้จะเป็นแถวหน้าของชั้นที่สอง แต่เขาก็ไม่ได้พอใจที่จะหยุดอยู่แค่ตรงนั้น ทำให้อีกฝ่ายความต้องการเสาะหาหนทางอื่นมาเพื่อใช้เป็นหินให้เหยียบย่ำขึ้นไป
ขณะนั้นเองที่เถาหรูไห่เกิดความคิดที่จะเล่นงานหอคันธะสงัด เนื่องจากวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่ามีชื่อเสียงโด่งดัง แม้จะไม่เคยมีใครฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุด แต่คำบรรยายเกินจริงก็มากพอให้เกิดความสงสัย เถาหรูไห่คิดอยากลองให้รู้ กระทั่งมองว่าตนเองได้รับพรจากฟ้าที่สามารถหาทางใช้วิชาไปสู่จุดสูงสุดอันลึกลับได้สำเร็จ
เริ่มจากจุดนั้น นำไปสู่การให้เหล่าศิษย์ของตนเองเริ่มกลั่นแกล้งศิษย์หอคันธะสงัดที่ออกมาดูแลจัดการเรื่องราวเกี่ยวกับโลกภายนอก รวมถึงรอคอยให้หอคันธะสงัดส่งคนมาถามหาเหตุผลของการกระทำ ที่ไม่คาดคิดคือการที่เจ้าหอของอีกฝ่ายจะมาด้วยตนเอง เมื่อเรื่องดำเนินถึงจุดนั้นเขาจึงไม่อาจหยุดยั้งความปรารถนาอันแรงกล้าได้ และมองว่าเจ้าหอคันธะสงัดจะต้องมีความเข้าใจอันลึกล้ำต่อวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่ายิ่งกว่าผู้อื่น ดังนั้นอีกฝ่ายจึงตกเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งให้รีดเร้นข้อมูลสำหรับใช้ฝึกฝน
เพียงแต่เถาหรูไห่ไม่คาดคิดว่าเจ้าหอคันธะสงัดจะหัวดื้อและปากแข็งขนาดนี้ กระทั่งเผชิญกับดักถูกซุ่มโจมตีจนถึงแก่ความตาย อีกฝ่ายก็ยังไม่เผยเนื้อหาวิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าออกมาแม้แต่น้อย ทำให้ความคิดของเถาหรูไห่เปลี่ยนไปเป็นเหล่าศิษย์หอคันธะสงัด โดยเฉพาะกับผู้อาวุโสเช่นฮุ่ยเหวินที่ก่อนหน้านี้นำกลุ่มคนเดินทางเข้าแดนลับภูเขาเทียนเหลียง
ทว่าแผนการของเถาหรูไห่กลับต้องสิ้นสุดลงเพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอู๋ฝาน จนสุดท้ายก็ถูกเหล่านักรบโลกอสูรและทหารราชสำนักเหยียนเฟิงฆ่า ความตายครั้งนั้นเขายังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าบรรดาผู้ที่ปรากฏตัวลงมือสังหารนั้นมาจากที่ใด
ที่ตั้งหอคันธะสงัดค่อนข้างอยู่ไกลจากภูเขาเทียนเหลียง กลุ่มคนเดินทางโดยใช้รถตั้งแต่เช้า กว่าจะมาถึงก็เป็นช่วงเย็น ที่ตั้งสำนักอยู่บนภูเขา รถมาถึงได้เพียงแค่บริเวณรอบนอก จากนั้นก็ไม่อาจไปต่อ หนทางที่เหลือนับจากนี้ต้องเดินเท้า
“สภาพแวดล้อมดีพอสมควรเลยนะครับ” อู๋ฝานพูดขึ้นมาขณะมองรอบด้านที่เริ่มมืดลง
สภาพแวดล้อมของที่นี่เงียบสงบ รายล้อมไปด้วยต้นไม้มากมาย ไม่มีเสียงจอแจของเมืองใหญ่ให้ได้ยิน อีกทั้งอากาศก็ยังค่อนข้างสดชื่น อู๋ฝานเห็นว่าไม่ไกลมีหิงห้อยกำลังบินไปมาอย่างช้า ๆ ซะด้วยซ้ำ
“วิชาที่หอคันธะสงัดของพวกเราฝึกฝนคือการทำสมาธิ ดังนั้นพื้นที่รอบ ๆ จึงเงียบเป็นพิเศษค่ะ” เป้ยอวี่ฉวนเอ่ยขึ้น “สำนักอื่นก็มีสภาพคล้าย ๆ กันค่ะ ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างอยู่ไกลห่างจากโลกปกติอยู่พอสมควร”
อู๋ฝานพยักหน้ารับ ภูเขาตรงหน้านี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางเดินด้วยซ้ำ เรียกว่าไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยว คนของหอคันธะสงัดเองก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกับคนอื่นแม้แต่ในแวดวงผู้ฝึกตน ดังนั้นจึงยิ่งออกห่างจากโลกปกติทั่วไป แต่ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้มีใครมารบกวน
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป อู๋ฝานและคณะก็เดินทางมาถึงยอดเขาซึ่งมีลานกว้างตั้งอยู่ และเหนือลานกว้างนั้นเป็นบ้านเรียงราย
ที่นี่คือที่ตั้งสำนักแห่งหอคันธะสงัด
ตอนนี้บริเวณลานกว้างมีกลุ่มคนกว่าสองร้อยยืนเรียงราย พวกเธอคือเหล่าศิษย์ของหอคันธะสงัดที่ได้ทราบข่าวมาก่อนแล้ว
“คำนับเจ้าหอ!”
เมื่ออู๋ฝานและกลุ่มคนเข้ามาใกล้ คนกว่าสองร้อยทางด้านนั้นต่างก็พร้อมใจคุกเข่าลงคำนับอู๋ฝาน
เห็นได้ว่าพวกเธอทราบข่าวกันมาเรียบร้อยแล้วว่าเจ้าหอคนใหม่เป็นเช่นไร ที่นี่ตอนนี้มีอู๋ฝานเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงเป็นการยืนยันไปในตัว
“ลุกขึ้นก่อนครับ” อู๋ฝานรีบบอก แม้ก่อนหน้านี้จะได้รับการคุกเข่าคำนับจากเหล่าศิษย์ของหอคันธะสงัดที่แดนลับภูเขาเทียนเหลียงไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้เมื่อเจออีกครั้งก็ยังรู้สึกว่าชวนลำบากใจอยู่พอสมควร
คำพูดของอู๋ฝานได้รับการเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด พวกเธอลุกขึ้น และหนึ่งในนั้นที่อายุราวสามสิบก็เดินตรงเข้ามาหาพร้อมพูดว่า “เจ้าหอ ห้องพักของท่านได้เตรียมเรียบร้อยแล้ว อาหารก็เช่นกัน ขอเชิญทางนี้ค่ะ”
“เธอคนนี้คือศิษย์พี่หญิงใหญ่ของฉันเองค่ะ ชื่อว่าสวีฮุ่ย เป็นศิษย์คนโตของอาจารย์ของฉัน” เป้ยอวี่ฉวนเดินเข้ามาแนะนำให้อู๋ฝาน
อู๋ฝานพยักหน้ารับ “ไปกันต่อเถอะครับ”
ตามหลักการ หากอู๋ฝานไม่ปรากฏตัว ผู้มีคุณสมบัติสืบทอดสำนักสูงสุดก็ต้องเป็นสวีฮุ่ย ตอนนี้เขาจึงมองอีกฝ่ายเพราะสงสัยว่าในใจเธอกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ และจะมีความเห็นต่างอะไรในตัวเขาหรือไม่
แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะอู๋ฝานปรากฏตัว เหล่าศิษย์หอคันธะสงัดที่ภูเขาเทียนเหลียงคงถูกฆ่าตายกันหมด พวกเธอที่เหลือรอดและรั้งอยู่สำนักก็จะมีโชคชะตาไม่ต่างกัน คนของสำนักเที่ยงยุทธ์จะไม่ปล่อยพวกเธออย่างแน่นอน อีกทั้งสำนักอื่นจะยังหมายตาประหนึ่งเสือพร้อมขย้ำเหยื่อ
สวีฮุ่ยนำทางให้อู๋ฝานไปยังห้องที่ใช้พักอาศัย และเห็นว่าบนโต๊ะภายในห้องมีอาหารจัดเตรียมไว้ ทั้งยังมีไอร้อนฟุ้งออกมาให้เห็น บ่งบอกว่าเพิ่งจัดเตรียมได้ไม่นาน
ส่วนพวกเป้ยอวี่ฉวนและคนอื่นต่างกลับไปพัก เนื่องจากพวกเธอได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งวันนี้ยังเร่งเดินทางกลับมาตลอดทั้งวันจึงเหนื่อยล้า
“เจ้าหอเชิญทานอาหารก่อนค่ะ ถ้ามีคำสั่งอะไรก็เรียกฉันนะคะ” สวีฮุ่ยบอกอู๋ฝาน
“ขอบคุณครับ” อู๋ฝานตอบรับ
“ตอนนี้คุณคือเจ้าหอของพวกเรา เป็นสิ่งที่ฉันควรทำอยู่แล้วค่ะ” สวีฮุ่ยตอบอู๋ฝาน
หลังจากนั้นเธอก็ขอตัวกลับไป ส่วนอู๋ฝานนั่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง
อู๋ฝานสำรวจภายในของห้อง และพบว่ามีการตกแต่งที่เรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น มีเพียงเตียงนอน โต๊ะ และเก้าอี้ม้านั่งคู่หนึ่ง เรียกว่าไม่มีอะไรเลยก็ไม่ผิด
“หอคันธะสงัดเป็นแนวสะอาดตาเรียบง่ายรึเปล่านะ” อู๋ฝานพึมพำกับตัวเองขณะมองจานบนโต๊ะ พร้อมตระหนักว่าคล้ายจะเป็นมังสวิรัติ เมื่อเห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “ที่นี่คล้ายสำนักนักบวชแล้ว เรื่องมังสวิรัตินี่เพราะชอบหรือว่าอะไรนะ?”
อู๋ฝานครุ่นคิดไปมาก็ยิ่งพบว่าเป็นไปได้มาก ไม่ว่าจะอดีตเจ้าหอหรือว่าผู้อาวุโสเช่นฮุ่ยเหวินต่างก็ไม่ได้แต่งงาน และระหว่างทางกลับมายังสำนัก ช่วงที่พักระหว่างทางเป้ยอวี่ฉวนและคนอื่นก็ทานแต่อาหารมังสวิรัติ
อู๋ฝานเริ่มกังวลชีวิตของตนถัดจากนี้ไป ไม่ว่าคนที่นี่จะตัดสินใจแต่งงานหรือไม่นั้นเขาไม่ได้สนใจ อย่างไรมันก็แทบไม่ได้เกี่ยวข้องทางตรงอะไรถึงตัวเขา แต่หากต้องกินแต่อาหารมังสวิรัติไปตลอดและไม่มีเนื้อสักชิ้น เกรงว่าเขาจะทนไม่ไหว
“พรุ่งนี้คงต้องคุยกัน” อู๋ฝานพึมพำขณะนั่งลงและเริ่มทาน
ทว่าที่ทำอู๋ฝานต้องประหลาดใจคือการที่รสชาติอาหารมังสวิรัตินี้กลับดีเกินคาด แม้จะไม่ได้ดีเทียบเท่าฝีมือทำอาหารของตนเอง แต่ก็ดีกว่าตอนที่เขายังมีวิชาทำอาหารระดับสูง
หลังทานอาหารอู๋ฝานจึงคิดจะไปเดินเล่น แต่พอนึกถึงสภาพแวดล้อมที่มีแต่ผู้หญิงของที่นี่ การเดินเล่นกลางคืนอาจจะไม่เหมาะสมจึงตัดสินใจไม่ออกไป และตรงเข้านอนแทน
แต่ที่ทำให้อู๋ฝานรู้สึกว่าชีวิตยากลำบากยิ่งขึ้นคือการที่ที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์! เพราะคิดอยากท่องโลกออนไลน์จึงรอโหลดสักพัก ทว่าก็ต้องผิดหวังเนื่องจากไม่มีสัญญาณ ที่ทำได้ก็มีเพียงแค่นอนลงนิ่ง ๆ รอเวลาผ่านไปเพื่อที่จะได้เทเลพอร์ตสู่โลกแห่งเกม
…………………………………………………..